ประวัติศาสตร์โลก

ประวัติศาสตร์โลก
World History

ประวัติศาสตร์โลก

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

ประวัติศาสตร์โลกหรือประวัติศาสตร์มนุษยชาติเริ่มต้นที่ยุคหินเก่า ประวัติศาสตร์โลกไม่รวมประวัติศาสตร์ธรรมชาติที่ไม่ใช่มนุษย์และประวัติศาสตร์ธรณีวิทยา ยกเว้นตราบเท่าที่โลกธรรมชาตินั้นกระทบต่อชีวิตมนุษย์เป็นอย่างมาก ประวัติศาสตร์โลกประกอบด้วยการศึกษาทางโบราณคดีและหลักฐานลายลักษณ์อักษรตั้งแต่สมัยโบราณ ประวัติศาสตร์โบราณที่มีบันทึกเริ่มต้นจากการประดิษฐ์การเขียน ทว่า รากเหง้าแห่งอารยธรรมมีมาแต่ก่อนการประดิษฐ์การเขียน สมัยก่อนประวัติศาสตร์เริ่มต้นในยุคหินเก่า ต่อด้วยยุคหินใหม่และการปฏิวัติเกษตรกรรม(ระหว่าง 8000 ถึง 5000 ปีก่อนคริสตกาล) ในวงพระจันทร์เสี้ยวไพบูลย์ (Fertile Crescent) การปฏิวัติเกษตรกรรมเป็นเครื่องหมายการเปลี่ยนแปลงในประวัติศาสตร์มนุษย์ โดยมนุษย์เริ่มต้นทำการเกษตร คือ กสิกรรมและการเลี้ยงสัตว์อย่างเป็นระบบ เมื่อเกษตรกรรมก้าวหน้าขึ้น มนุษย์ส่วนมากเปลี่ยนจากวิถีชีวิตเร่ร่อนมาเป็นตั้งถิ่นฐานเป็นเกษตรกรในนิคมถาวร การเร่ร่อนยังมีอยู่ในบางที่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่ห่างไกลซึ่งมีพืชที่เพาะปลูกได้ไม่กี่ชนิด แต่ความมั่นคงสัมพัทธ์และผลิตภาพที่เพิ่มขึ้นจากกสิกรรมทำให้ชุมชนมนุษย์ขยายเป็นหน่วยที่ใหญ่กว่า ซึ่งความก้าวหน้าในการขนส่งก็มีส่วนช่วย

เมื่อกสิกรรมพัฒนา การเพาะปลูกธัญพืชมีความซับซ้อนขึ้นและทำให้มีการแบ่งงานกันทำเพื่อเก็บอาหารระหว่างฤดูเพาะปลูก จากนั้นการแบ่งงานทำให้เกิดชนชั้นสูงที่สุขสบายและพัฒนาการนคร สังคมมนุษย์ที่ซับซ้อนมากขึ้นทำให้ระบบการเขียนและการบัญชีมีความจำเป็น หลายนครพัฒนาบนตลิ่งทะเลสาบและแม่น้ำ ตั้งแต่ 3000 ปีก่อนคริสตกาล เกิดนิคมโดดเด่นและมีการพัฒนาดียุคแรก ๆในเมโสโปเตเมีย ริมตลิ่งแม่น้ำไนล์แห่งอียิปต์ และหุบแม่น้ำสินธุ อาจมีอารยธรรมคล้ายกันพัฒนาขึ้นตามแม่น้ำสำคัญในจีน แต่หลักฐานทางโบราณคดีของการสร้างเมืองอย่างกว้างขวางในที่นั้นชัดแจ้งน้อยกว่า

ประวัติศาสตร์โลกเก่า (โดยเฉพาะอย่างยิ่งยุโรปและเมดิเตอร์เรเนียน) โดยทั่วไปแบ่งเป็นยุคโบราณ ถึง ค.ศ. 476, สมัยกลาง ตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 5 ถึง 15 ซึ่งรวมยุคทองของอิสลาม (ประมาณ ค.ศ. 750-1258) และยุคฟื้นฟูศิลปวิทยายุโรปตอนต้น (เริ่มต้นประมาณ ค.ศ. 1300), ยุคใหม่ตอนต้น ตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 15 ถึงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 18 ซึ่งรวมยุคเรืองปัญญา และยุคใหม่ตอนปลาย นับแต่การปฏิวัติอุตสาหกรรมถึงปัจจุบัน รวมทั้งประวัติศาสตร์ร่วมสมัย ตะวันออกใกล้โบราณ กรีซโบราณและโรมโบราณมีความโดดเด่นในยุคโบราณ ในประวัติศาสตร์ยุโรปตะวันตก การเสียกรุงโรมมักยึดเป็นการสิ้นสุดของยุคโบราณและการเริ่มต้นของสมัยกลาง ขณะที่ยุโรปตะวันออกมีการเปลี่ยนผ่านจากจักรวรรดิโรมันเป็นจักรวรรดิไบแซนไทน์ ซึ่งรุ่งเรืองต่อมาอีกเป็นเวลานาน กลางคริสต์ศตวรรษที่ 15 การประดิษฐ์การพิมพ์สมัยใหม่ของโยฮันน์ กูเทนแบร์ก ซึ่งใช้การสื่อสารแบบเคลื่อนที่ได้และเปลี่ยนแปลงอย่างสิ้นเชิง เป็นจุดสิ้นสุดของยุคกลางและนำไปสู่การปฏิวัติวิทยาศาสตร์ เมื่อคริสต์ศตวรรษที่ 18 การสะสมความรู้และเทคโนโลยี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุโรป ได้ถึงจำนวนวิกฤต (critical mass) อันนำมาซึ่งการปฏิวัติอุตสาหกรรม

ในส่วนอื่นของโลก เช่น ตะวันออกใกล้โบราณ จีนโบราณ และอินเดียโบราณ เส้นเวลาทางประวัติศาสตร์ได้คลี่ออกต่างกัน อย่างไรก็ดี จนถึงคริสต์ศตวรรษที่ 18 เนื่องจากการค้าโลกที่ขยายตัวและการล่าอาณานิคม ทำให้ประวัติศาสตร์ของอารยธรรมโลกส่วนมากสานเข้าด้วยกันอย่างแน่นหนา ในช่วงสองร้อยกว่าปีล่าสุด การเติบโตของความรู้ เทคโนโลยี การพาณิชย์ และศักยภาพการทำลายล้างของสงครามได้เร่งให้เกิดขึ้น ก่อให้เกิดโอกาสและอันตรายซึ่งปัจจุบันกำลังเผชิญชุมชนมนุษย์ที่อยู่อาศัยบนดาวเคราะห์ดวงนี้

แปลจากหนังสือ World History โดย...Mcdougal Littel
ผู้แปล...ทรงศักดิ์ สายหยุด

อียิปต์โบราณและอาณาจักรกูช

อียิปต์โบราณและอาณาจักรกูช

อียิปต์โบราณและอาณาจักรกูช (Kush)
ของขวัญแห่งแม่น้ำไนล์
ภูมิประเทศอียิปต์โบราณ
แม่น้ำที่ยาวที่สุด แม่น้ำไนล์ ยาว 4,160 ไมล์-เป็นแม่น้ำที่ยาวที่สุดในโลก  มันเริ่มต้นใกล้เส้นศูนย์สูตรใน​​ทวีปแอฟริกาและไหลไปทางเหนือสู่ทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ในภาคใต้มันหมุนเป็นฟองกับน้ำตก  Cataract (KAT•uh•RAKT) คือ น้ำตก ใกล้ทะเลแม่น้ำไนล์แตกสาขาเป็นพื้นที่สามเหลี่ยมปากแม่น้ำ (Delta) เดลต้าเป็นพื้นที่ที่อยู่ใกล้ปากแม่น้ำ ซึ่งน้ำตกตะกอนเป็นดินตะกอนเล็ก ๆ เรียกว่า Silt ในสามเหลี่ยมปากแม่น้ำ แม่น้ำไนล์แบ่งออกเป็นหลายสาย
ลำดับเหตุการณ์โลกยุคอียิปต์โบราณ
ลำดับเหตุการณ์โลกยุคอียิปต์โบราณ

แผนที่อียิปต์โบราณ ในระหว่าง 3,100 - 1,200 ปี ก่อน ค.ศ.
แผนที่อียิปต์โบราณ ในระหว่าง 3,100 - 1,200 ปี ก่อน ค.ศ.
ขวดรูปปลานิล
ขวดรูปปลานิล (ซึ่งเป็นปลาที่มีอยู่ทั่วไปในแม่น้ำไนล์) ยาวประมาณ นิ้ว เป็นเครื่องประดับที่ล้ำค่า

         แม่น้ำเริ่มตั้งแต่ทางใต้และไหลไปทางเหนือ เป็นตะกอนในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ด้วยเหตุนี้ แม่น้ำไนล์ตอนบน อยู่ทางใต้และแม่น้ำไนล์ตอนล่างอยู่ทางเหนือ เป็นเวลาหลายศตวรรษ  ฝนตกหนักบนที่ราบสูงเอธิโอเปีย ทำให้เกิดแม่น้ำไนล์ท่วมทุกฤดูร้อน น้ำท่วมได้ทิ้งดินที่อุดมสมบูรณ์ไปตามชายฝั่งของแม่น้ำไนล์  ดินที่อุดมสมบูรณ์นี้เรียก ปุ๋ย”  (Fertile-อุดม) ซึ่งหมายความว่ามันเป็นสิ่งที่ดีสำหรับการปลูกพืช ในความเป็นจริง ดินอุดมสมบูรณ์ที่สุดในทุกที่ของทวีปแอฟริกา เป็นโชคดีสำหรับเกษตรกรชาวอียิปต์ ลุ่มแม่น้ำไนล์ท่วมในเวลาเดียวกัน ทุกปี ดังนั้นเกษตรกรสามารถคาดการณ์ล่วงหน้าได้ว่าจะปลูกพืชของพวกเขา ณ ที่ใด

ดินดำ ดินแดง
  ชาวอียิปต์โบราณที่อาศัยอยู่ในบริเวณที่ดินที่แคบบนฝั่งทั้งสองฝั่งของแม่น้ำไนล์  พวกเขาเรียกภูมิภาคนี้ ว่า แผ่นดินดำเพราะดินอุดมสมบูรณ์ที่น้ำท่วมทิ้งเอาไว้  แผ่นดินสีแดงเป็นทะเลทรายอันแห้งแล้งมากกว่าภูมิภาคที่อุดมสมบูรณ์
แผ่นดินอันดมสมบูรณ์ทอดยาวเหยียดไปตามแมน้ำไนล์
แผ่นดินอันดมสมบูรณ์ทอดยาวเหยียดไปตามแมน้ำไนล์

          สภาพอากาศในประเทศอียิปต์ ส่วนมากเป็นเป็นเหมือนกันตลอดปี  แปดเดือนในหนึ่งปีมีแสงแดดและร้อน
  สี่เดือนในฤดูหนาวมีแสงแดด แต่เย็น ภูมิภาคที่ได้รับน้ำฝนมากที่สุดได้รับเพียงหนึ่งนิ้วต่อปีเท่านั้น (inch of rain = 5.6 แกลลอนต่อพื้นที่สามฟุต 1แกลลอน = 3.79 ลิตร  ประมาณ 16 ลิตรต่อพื้นที่สามฟุต (1 หลา)  แสดงว่าแล้งมาก)
ส่วนของอียิปต์ที่ไม่ได้อยู่ใกล้แม่น้ำไนล์เป็นทะเลทราย ทะเลทรายที่ยุ่งเหยิงเป็นอุปสรรคในการกีดกันศัตรู  ชายฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียนเป็นแอ่งน้ำและขาดการคุ้มกันอย่างแน่นหนาดี  ด้วยเหตุผลเหล่านี้ชาวอียิปต์ยุคต้น ๆ  จึงอยู่ใกล้ชิดกับบ้านเกิดเมืองนอน

นก ibis
นก ibis
          ในแต่ละปี เกษตรกรชาวอียิปต์ดูนกสีขาวที่เรียกว่า ibis (EYE•bihs•uhz-ชื่อนกขนาดใหญ่ชนิด Anastomus oscitansในวงศ์ Ciconiidae ซึ่งเป็นวงศ์เดียวกับนกกาบบัวแต่ตัวเล็กกว่า ลำตัวสีเทาปนขาว แต่จะเป็นสีเทาเข้มในฤดูผสมพันธุ์ ปากหนาแหลมตรง เมื่อจะงอยปากสบกัน ส่วนกลางของปากบนและปากล่างแยกห่างจากกัน ทั้งนี้เพื่อสะดวกในการคาบเหยื่อซึ่งบินขึ้นจากทางทิศใต้ เมื่อนกมาถึง น้ำก็จะไหลท่วมประจำปีในไม่ช้า  หลังจากที่น้ำเหือดหายไป เกษตรกรสามารถปลูกพืชในดินอุดมสมบูรณ์

เทคนิกทางเกษตร
 การควบคุมกระแสน้ำหลากประจำปีของแม่น้ำไนล์สำหรับใช้ในการเกษตรต้องเป็นความพยายามของชุมชน  ในการใช้น้ำ เกษตรกรอียิปต์ในยุคต้น ๆ  ต้องทำงานร่วมกัน  ส่วนใหญ่พวกเขาจะต้องย้ายที่อยู่ คลองชลประทานจะต้องมีการขุดเพื่อเบี่ยงเบนน้ำไปยังพื้นที่น้ำแห้ง  อ่างเก็บน้ำ ซึ่งเป็นที่กักเก็บน้ำไว้ใช้ในปีต่อ ๆ  ไป จำเป็นก็จะต้องขุดดิน  ดินเป็นจำนวนมากที่ขุดออกเพื่อสร้างคลองและอ่างเก็บน้ำสามารถนำมาใช้เพื่อสร้างเขื่อนเพื่อป้องกันพื้นที่อื่น ๆ จากน้ำท่วม

Shadoof
Shadoof คือถังบรรจุน้ำจากแม่น้ำไนล์
หรือคลองไปยังนา
ทุกวันนี้ชาวอียิปต์ก็ยังใช้กันอยู่
ต่อมาประมาณ 1,600 ปี ก่อนคริสตศักราช  เครื่องมือที่เรียกว่า shadoof (shah • Doof-อุปกรณ์ยกนำเพื่อนำน้ำไปทำการเกษตร มีเสาตรงกลางและมีของหนักถ่วงไว้ที่ปลายข้างหนึ่งอีกปลายข้างหนึ่งมีถังผูกไว้นำเข้ามาจากเอเชียตะวันตกเฉียงใต้  เกษตรกรชาวอียิปต์ใช้มันเพื่อนำน้ำระหว่างแม่น้ำไนล์และคลอง ระหว่างคลองและอ่างเก็บน้ำหรืออ่างเก็บน้ำและทุ่งนา  shadoof  ทำให้ความสามารถในการใช้น้ำของชาวอียิปต์ดีขึ้นอย่างมีประสิทธิภาพเป็นอย่างมาก

พืชผลของชาวอียิปต์ ชาวอียิปต์โบราณได้เพาะปลูกอาหาร ธัญพืชหลากหลายพรรณ เช่น ข้าวสาลีและข้าวบาร์เลย์ ซึ่งเป็นพืชหลักของชาวอียิปต์ ชาวอียิปต์เป็นพวกแรกที่บดข้าวสาลีลงในแป้งและผสมแป้งกับยีสต์และน้ำเพื่อให้แป้งเป็นขนมปัง พวกเขาได้ปลูกผัก  เช่น  ผักกาดหอม หัวไชเท้า หอมและแตงกวา  ผลไม้รวมถึงผลอินทผลัม ลูกมะเดื่อและองุ่น
ชาวอียิปต์ยังได้ปลูกวัสดุสำหรับทำเสื้อผ้าอีกด้วย พวกเขาเป็นพวกแรกที่ทอเส้นใยจากต้นลินินเป็นผ้าที่เรียกว่า linen (ผ้าลินิน) ผ้าลินินที่มีน้ำหนักเบาเป็นสิ่งที่ดีเลิศในวันที่ร้อนของชาวอียิปต์ ผู้ชายสวมผ้าลินินห่อรอบเอว ผู้หญิงสวมชุดเสื้อแขนกุดหลวม ๆ  ชาวอียิปต์ยังถักหญ้าที่เกิดในบึงเป็นรองเท้าแตะอีกด้วย

บ้านพักอาศัยของชาวอียิปต์
  ชาวอียิปต์สร้างบ้านโดยใช้อิฐที่ทำจากโคลนจากแม่น้ำไนล์ผสมกับฟางสับ  พวกเขาวางหน้าต่างแคบ ๆ  สูงขึ้นไปบนกำแพงเพื่อลดแสงแดดจ้า ชาวอียิปต์มักทาสีขาวที่กำแพงเพื่อสะท้อนความร้อนดังไฟ พวกเขาถักกิ่งไม้ และกิ่งปาล์มทำเป็นหลังคา ภายในบ้าน ทอเสื่อกกครอบคลุมพื้นดิน ชาวอียิปต์ส่วนใหญ่นอนอยู่บนเสื่อที่ปกคลุมไปด้วยแผ่นผ้าลินิน  ประชาชนที่มั่งคั่งจะมีความสุขบนเตียงและหมอนอิง
ขุนนางชาวอียิปต์มีบ้านอย่างมีรสนิยมกับสนามหญ้าที่มีต้นไม้เรียงรายเพื่อให้ร่มเงา  บางคนมีสระว่ายน้ำเต็มไปด้วยดอกบัวและปลา  ชาวอียิปต์ที่ยากจน ก็ไปขึ้นบนหลังคาที่เย็น หลังจากพระอาทิตย์ตกดิน พวกเขามักจะทำกับข้าว รับประทานอาหาร และหลับแม้กระทั่งภายนอกบ้าน

ภูมิศาสตร์สร้างชีวิตให้กับชาวอียิปต์
          เศรษฐกิจของอียิปต์ขึ้นอยู่กับเกษตรกรรม แต่อียิปต์ยังใช้ทรัพยากรธรรมชาติอื่น ๆ เพื่อเตรียมจัดความต้องการในชีวิตประจำวันและพัฒนากิจกรรมทางเศรษฐกิจ

การทำเหมืองแร่
 ชาวอียิปต์ได้ทำเหมืองแร่และขุดโลหะและแร่ต่าง ๆ มากมายเพื่อวางขอบข่ายแห่งกิจกรรม ซึ่งเป็นส่วนสำคัญสำหรับสังคมอื่น ๆ  ให้กว้างขวาง ตัวอย่างเช่น พวกเขาขุดทองแดงก่อนใครทั้งหมด คือ เมื่อ 4,000 ปี ก่อนคริสต์ศักราช และใช้ทำเป็นเครื่องมือและอาวุธ  ต่อมาเนื่องจากความแข็งแกร่งอันยอดเยี่ยม เหล็กจึงกลายเป็นโลหะทางเลือก  ทองแดงและเหล็กถูกขุดในทะเลทรายตะวันออกและบนคาบสมุทรไซนาย (Sinai)
ทองยังขุดได้ทั้งในพื้นที่ร้อนจัดและหยาบอีกด้วย   ชาวอียิปต์ได้รับราคาทองคำสูงมากและช่างทองของพวกเขาเป็นหนึ่งในกลุ่มที่ดีที่สุดในโลกยุคโบราณ  คำในภาษาอียิปต์เรียกทองคำว่า  “nub”   เป็นผลให้พวกเขาเรียกพื้นที่ทางตอนใต้ของน้ำตกแห่งที่สองของแม่น้ำไนล์-อีกภูมิภาคหนึ่งที่มีทองคำอุดมตกค้าง ว่า Nubia (NOO•bee•uh)
ภาพจิตรกรรมฝาผนังจากสุสานแสดงภาพผู้ชายกำลังล่านกชายเลนบึง
ภาพจิตรกรรมฝาผนังจากสุสาน
แสดงภาพผู้ชายกำลังล่านกชายเลนบึง
หินหลายประเภทยังถูกใช้งานทั่วประเทศอียิปต์  ชาวอียิปต์ใช้หินปูนสีขาวบริสุทธิ์ ซึ่งถูกขุดใกล้เมืองเมมฟิส สำหรับโครงการพิเศษ เช่น กำแพงวิหารและหลุมฝังศพ ทางตอนเหนือของน้ำตกแห่งแรก หินแกรนิตถูกขุดที่เมืองอัสวาน  แรงงานขนมันลงบนเรือเพื่อขนส่งไปยังศูนย์กลางทางศาสนาและศิลปะที่สำคัญ เช่น เมืองธีบีส์ (Thebes) หรือเมมฟิส มันเป็นวัตถุดิบที่สำคัญสำหรับการก่อสร้างและประติมากร          ชาวอียิปต์ได้ขุดหินที่ล้ำค่าเช่นกัน บางที พวกเขาอาจจะเป็นคนพวกแรกในโลกที่ขุดแร่เทอร์ควอยซ์ ที่มีสีน้ำเงินหรือน้ำเงินอมเขียว (turquoise -TUR•KWOYZ)  แร่เทอร์ควอยซ์ และหินมีค่าชนิดอื่น มรกต ถูกขุดได้ในทะเลทรายด้านตะวันออก ทั้งสองถูกนำมาใช้ในการทำเครื่องประดับสำหรับราชวงศ์และขุนนาง

การตกปลาและการล่าสัตว์ แม่น้ำไนล์มีปลาและสัตว์ป่าอื่น ๆ ที่ชาวอียิปต์ต้องการ  การเดินทางไปตามแม่น้ำ ชาวอียิปต์ได้สร้างแพที่มีน้ำหนักเบาด้วยการผูกต้นกกเข้าด้วยกัน พวกเขาใช้ทุกอย่าง ตั้งแต่ตาข่ายจนถึงฉมวกเพื่อจับปลา ยิ่งกว่านั้น ยังมีภาพวาดโบราณภาพหนึ่งแสดงคนเตรียมพร้อมที่จะตีปลาดุกด้วยค้อนไม้
นักล่าผจญภัยมากมาย ได้แทงฮิปโปโปเตมัสและจระเข้ตามแม่น้ำไนล์ ชาวอียิปต์ยังจับนกกระทาด้วยตาข่ายอีกด้วย พวกเขาใช้บูมเมอแรงในการขว้างเป็ดและห่านที่กำลังบินตกลงมา (บูมเมอแรงคือกิ่งไม้ที่มีรูปโค้งซึ่งจะหมุนกลับมาหาคนที่ขว้างมันไป)
เซรามิกรูปฮิปโปโปเตมัส
เซรามิกรูปฮิปโปโปเตมัสเคลือบสีเขียวขุ่นเขียนลายรูปนกต้นกกและดอกบัว
แสดงว่าผู้ทำอาศัยอยู่ตามแม่น้ำ
การขนส่งและการค้าขาย  ในที่สุด ชาวอียิปต์ได้เอาใบเรือและพายติดที่เรือต้นกกของพวกเขาและแม่น้ำไนล์กลายเป็นทางหลวง  สายน้ำไหลช้า  ดังนั้น ชาวเรือจึงใช้พายถ่อให้ไปเร็วขึ้นเมื่อพวกเขาเดินทางขึ้นเหนือทวนสายน้ำ  การเดินทางไปทางใต้ พวกเขายกเรือและปล่อยให้ลมผลักดันเรือไป
แม่น้ำไนล์ยังเอื้ออำนวยให้ชาวอียิปต์มีสินค้าที่เหลือเฟือหรือมากมายกว่าที่พวกเขาต้องการเป็นประจำเสียด้วยซ้ำไป  พวกเขาก็เริ่มซื้อขายซึ่งกันและกัน อียิปต์โบราณไม่มีเงิน ดังนั้น ผู้คนจึงขายสินค้าส่วนเกินของพวกเขา วิธีการของการค้านี้จะเรียกว่า การแลกเปลี่ยน”  (bartering) พวกเขายังทำการค้ากับคนอื่น ๆ ที่ใกล้เคียง  การค้ากับนูบิอา ได้นำสัตว์แปลก ๆ  ใหม่ ๆ   ทอง  งาช้างและเครื่องหอมไปยังอียิปต์ อียิปต์ยังค้าขายไปถึงตะวันออกเฉียงเหนือข้ามทะเลเมดิเตอร์เรเนียนกับประเทศที่ในปัจจุบัน คือ เลบานอนและซีเรีย

การดำเนินชีวิตในอียิปต์โบราณ
ชีวิตการทำงานและครอบครัว
รูปมัมมีแมว
รูปมัมมีแมว ชาวอียิปต์บางคนจะนำสัตว์เลี้ยงที่ตายแล้วมาทำมัมมี่
และทำพิธีฝังศพแมวจะได้รับเกียรติเป็นพิเศษในอียิปต์
          เมื่อเกษตรกรผลิตอาหารล้นเหลือ  เศรษฐกิจสังคมเริ่มขยายตัว  หลายเมืองพัฒนาออกมาเป็นศูนย์รวมของวัฒนธรรมและอำนาจ และผู้คนก็เรียนรู้การทำงานที่ไม่เกี่ยวข้องกับการเกษตรกรรม  ยกตัวอย่างเช่น ชาวอียิปต์โบราณบางพวก เรียนรู้ในการเป็นนักเขียน (scribes – หรืออาลักษณ์คือ คนที่มีงานเกี่ยวกับการเขียนและเก็บบันทึก

การงานที่ศึกษาเป็นพิเศษ ในขณะที่อารยธรรมอียิปต์พัฒนาขึ้นอย่างซับซ้อนมาก คนที่ใช้เวลาทำงานมากกว่าคือชาวนาหรืออาลักษณ์  ช่างศิลป์ที่มีความสามารถบางพวกสร้างบ้านหรือวิหารที่เป็นหินหรืออิฐ  ช่างฝีมืออื่น ๆ ก็ได้พัฒนาความเชี่ยวชาญของตัวเอง  พวกเขาได้สร้างเครื่องปั้นดินเผา เสื่อ เฟอร์นิเจอร์  ผ้าลินิน รองเท้าหรือเครื่องประดับ
ชาวอียิปต์ไม่มากนัก ได้เดินทางท่องเที่ยวไปยังแม่น้ำไนล์ตอนบน เพื่อการค้ากับชาวแอฟริกาพวกอื่น ๆ  ผู้ค้าเหล่านี้เอาผลิตภัณฑ์อียิปต์ เช่น ม้วนกระดาษ ผ้าลินิน  ทอง  และเครื่องประดับ  พวกเขาได้นำไม้ หนังสัตว์ และสัตว์ป่าที่มีชีวิตแปลกใหม่ กลับไป

เมืองลักซอร์ในอียิปต์
เมืองลักซอร์ในอียิปต์ ในภาพเป็นรูปวิหารมีเสาเป็นยอดแหลมที่เรียกว่า โอเบลิสก์ (Obelisk)
นักปกครองและนักบวช  เนื่องจากอียิปต์เจริญขึ้น ฉะนั้นจึงมีความจำเป็นที่ต้องจัดระเบียบ  ชาวอียิปต์จึงได้สร้างรัฐบาล ซึ่งแบ่งอาณาจักรออกเป็น 42 หัวเมือง ข้าราชการหลายคนได้ทำงานเพื่อรักษาหัวเมืองให้ดำเนินไปอย่างราบรื่น อียิปต์ยังสร้างกองทัพเพื่อปกป้องตัวเองอีกด้วย
หนึ่งในงานที่สูงที่สุดในอียิปต์คือการเป็นนักบวช นักบวชปฏิบัติตามพิธีกรรมอย่างเป็นทางการและดูแลวิหาร  ก่อนที่จะเข้าไปยังวิหาร นักบวชจะอาบน้ำและใส่เสื้อผ้าลินินพิเศษและรองเท้าแตะ สีขาว  นักบวชจะทำความสะอาดรูปปั้นอันศักดิ์สิทธิ์ในวิหาร เปลี่ยนเสื้อผ้าและแม้กระทั่งถวายอาหาร
นักบวชและผู้ปกครองจะจัดพิธีเพื่อให้พระเจ้าโปรดร่วมกัน  ชาวอียิปต์เชื่อว่าถ้าพระเจ้าพิโรธ  แม่น้ำไนล์จะไม่เกิดน้ำไหลหลาก  เป็นผลให้พืชจะไม่เติบโตและคนจะตาย  ดังนั้นผู้ปกครองและนักบวชจึงพยายามอย่างหนักเพื่อให้พระเจ้าพอใจ โดยการทำเช่นนั้น  พวกเขาหวังว่าจะรักษาระเบียบสังคมและการเมืองไว้ได้

ทาส
 ทาสเป็นชนชั้นต่ำของสังคม  ในอียิปต์  ทาสส่วนใหญ่จะถูกจับได้ในสงคราม  บางคนถูกจับไปเป็นทหาร
พวกที่ตกเป็นทาสเหล่านี้หลายคน ทำงานในโครงการสร้างอาคารสาธารณะ เช่น ปิรามิดหรือวิหาร  การทำงานที่เหมืองแร่และเหมืองถ่านหิน ในทะเลทรายด้านตะวันออกและแหลมไซไนก็ยากพอ ๆ  กัน  แต่พวกทาสชอบทำงานที่นี่มากกว่า  การมอบหมายสถานที่ให้ทำงานเหล่านี้มักจะเป็นการสัญจรแบบทางเดียว  การขาดแคลนแรงงานทาสได้รับการแก้ไขได้อย่างรวดเร็วและอย่างโหดร้าย  ยกตัวอย่างเช่น เมื่อฟาโรห์ รามเสสที่ 2 (Ramses II) ต้องการแรงงานเป็นจำนวนมากสำหรับโครงการก่อสร้างที่สำคัญของพระองค์โครงการหนึ่ง พระองค์จึงส่งทหารเข้าไปในทะเลทรายตะวันตกเพื่อลักพาตัวชาวลิเบียเป็นจำนวน
ทาสที่เป็นคนรับใช้ในประเทศก็โชคดีเมื่อเปรียบเทียบกัน  พวกเขาทำงานในสถานการณ์ที่มีอันตรายน้อยกว่า อาศัยอยู่ในที่อยู่อาศัยที่สะดวกสบายมากกว่าและกินอาหารมากกว่าและดีกว่า  พวกเขายังสามารถก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งที่สำคัญ  เป็นที่ไว้วางใจภายในครัวเรือนได้อย่างเป็นธรรมอีกด้วย

บทบาททางสังคมของอียิปต์โบราณ
บทบาททางสังคมของอียิปต์โบราณ
1.  ฟาโรห์  2.  พระหรือนักบวชและขุนนาง  3. อาลักษณ์และข้าราชการ
4. ช่างฝีมือและพ่อค้า  5. เกษตรกรหรือชาวนา  6. แรงงานและทาส
สตรีและเด็ก  อียิปต์เป็นสถานที่ที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งสำหรับสตรีในโลกยุคโบราณ ซึ่งแตกต่างจากวัฒนธรรมแอฟริกายุคโบราณอื่น ๆ  ในสังคมอียิปต์ ผู้ชายและผู้หญิงมีสิทธิเท่าเทียมกันอย่างเป็นธรรม  ยกตัวอย่างเช่น ทั้งสองสามารถเป็นเจ้าของและจัดการทรัพย์สินของตนเองได้
งานหลักของผู้หญิงส่วนมากก็คือการดูแลลูก ๆ  และดูแลบ้าน แต่บางคนก็ทำงานอื่น ๆ ด้วย  ผู้หญิงบางคนก็ทอผ้า คนอื่น ๆ ทำงานร่วมกับสามีของตนในท้องนาและในโรงงาน
เด็ก ๆ  ในอียิปต์เล่นกับของเล่นเช่น  ตุ๊กตา รูปปั้นสัตว์ เกมกระดานและหินอ่อน พ่อแม่ของพวกเขาทำของเล่นจากไม้หรือดิน เด็กชายและเด็กหญิงยังเล่นเกมทางกายภาพแบบหยาบ ๆ  กับลูกบอลที่ทำจากหนังหรือต้นกก เด็กชายและเด็กหญิงบางส่วนจากครอบครัวที่ร่ำรวยไปโรงเรียนที่ดำเนินการโดยอาลักษณ์หรือนักบวช  เด็กคนอื่น ๆ  ส่วนมาก เรียนรู้งานของพ่อแม่ของตนเอง  ชาวอียิปต์เกือบทั้งหมดจะแต่งงานในช่วงวัยรุ่น

สัตว์เลี้ยง
  ชาวอียิปต์โบราณเลี้ยงสัตว์มากมายหลายต่าง ๆ  กัน  สุนัขเลี้ยงไว้เพื่อใช้ในการเดินทางล่าสัตว์ เหมือนกับทุกวันนี้ที่บางครั้งก็ยังทำกันอยู่  ยังมีสายพันธุ์ที่เป็นที่นิยม (คล้ายสุนัขพันธุ์ดัชชุนด์) ซึ่งเป็นสุนัขตัวเล็ก ๆ  มากกว่า  แต่แมวเป็นสัตว์เลี้ยงที่ชื่นชอบมากที่สุด  กระทั่งมีเทวีแมว ที่เรียกว่า Bastet คำอียิปต์สำหรับเรียกแมว คือ miw (มิ้ว)  ตามเสียงที่แมวร้อง


การพัฒนาความรู้
          เหมือกับในสังคมโบราณมากมาย  ความรู้เป็นอันมากของอียิปต์อุบัติขึ้นมาจากการที่นักบวชได้ศึกษาค้นคว้าโลกเพื่อหาวิธีการที่จะทำให้พระเจ้าโปรดปราน  ความก้าวหน้าอื่น ๆ อุบัติขึ้นเพราะการค้นคว้าด้วยการลงมือปฏิบัติ

การเขียน
  เริ่มต้นประมาณ 3,000 ปี ก่อนคริสต์ศักราช  ชาวอียิปต์ได้พัฒนาระบบการเขียนด้วยการใช้กราฟฟิค    ระบบการเขียนโดยใช้สัญลักษณ์ภาพ (Hieroglyphs - HY•uhr•uh•GLIHFS) ซึ่งเป็นภาพที่แทนคำหรือเสียงที่หลากหลาย ชาวอียิปต์ยุคแรก ๆ  สร้างระบบการเขียนโดยใช้สัญลักษณ์ภาพ ประมาณ 700 ตัวอักษร เมื่อเวลาผ่านไป ระบบก็พัฒนาไปมากกว่า 6,000 สัญลักษณ์
ชาวอียิปต์ยังได้พัฒนาวัสดุคล้ายกระดาษ ซึ่งเรียกว่าปาปิรัส (papyrus - puh•PY•ruhs) มาจากต้นกกที่มีชื่อเดียวกัน ชาวอียิปต์ตัดลำต้นเป็นเส้นกดรีดพวกมันและตากแห้งจนเป็นแผ่นที่สามารถจะม้วนเป็นม้วนกระดาษ ม้วนปาปิรัสน้ำหนักเบาและง่ายต่อการพกพา  ชาวอียิปต์ได้สร้างหนังสือเล่มแรกด้วยการใช้ม้วนกระดาษเหล่านี้

คณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์
  ชาวอียิปต์ได้พัฒนาเรขาคณิตเป็นครั้งแรก ในแต่ละปีน้ำท่วมแม่น้ำไนล์ได้ชะล้างขอบเขตพื้นดิน  เพื่อฟื้นฟูร่องรอยแห่งความอุดมสมบูรณ์ นักสำรวจรังวัด จะวัดที่ดินโดยการใช้เชือกที่ผูกปมที่ระยะห่างสม่ำเสมอ รูปทรงเรขาคณิต เช่น สี่เหลี่ยมและสามเหลี่ยม เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์สำหรับชาวอียิปต์ สถาปนิกใช้รูปทรงเรขาคณิตเหล่านั้น ในการออกแบบวิหารและอนุสาวรีย์ที่เป็นของหลวง
นักบวชชาวอียิปต์ได้ศึกษาท้องฟ้าในฐานะเป็นส่วนหนึ่งของศาสนา  ประมาณ 5,000 ปีที่ผ่านมา พวกเขาได้สังเกตเห็นว่า ดาว ซึ่งปัจจุบันนี้เรียกว่า ซิริอุส (Sirius - SIHR•ee•uhs) จะปรากฏเป็นระยะเวลาสั้น ๆ ก่อนที่แม่น้ำไนล์เริ่มท่วม ดาวจะกลับไปที่ตำแหน่งเดิม ใน 365 วัน ชาวอียิปต์จึงได้พัฒนาปฏิทินใช้เป็นครั้งแรกของโลก โดยอาศัยพื้นฐานะจากดาวดวงนั้น
อาลักษณ์
ในสังคมอียิปต์โบราณ
 ผู้ที่เป็นอาลักษณ์
จะต้องมีความรู้มากมาย
            และเรียนรู้อักษรอียิปต์โบราณทุกตัว

การแพทย์  แพทย์ชาวอียิปต์มักจะเตรียมศพไว้ฝัง  ดังนั้นพวกเขาจึงรู้จักชิ้นส่วนของร่างกาย  ความรู้นั้นได้ช่วยให้พวกเขาดำเนินการทำศัลยกรรมบางอย่างได้เป็นครั้งแรกของโลก  ยกตัวอย่างเช่น ม้วนกระดาษปาปิรัสม้วนหนึ่ง จะติดคำแนะนำเกี่ยวกับวิธีการเย็บแผลผ่าตัดที่ฉกรรจ์ไว้  ข้อความอื่น ๆ  ยังแนะนำให้วางชิ้นส่วนของขนมปังราลงบนบาดแผลไว้อย่างวิจิตรพิสดาร  เพนิซิลลิน (penicillin) คือ ยาปฏิชีวนะซึ่งได้เปลี่ยนเป็นยาที่ทันสมัย ทำมาจากรา  แพทย์ชาวอียิปต์ยังใช้เปลือกของต้นวิลโลว์ (willow) เพื่อบรรเทาความปวดอย่างมีประสิทธิภาพ  การวิเคราะห์แสดงให้เห็นว่า เปลือกนี้มีสารค่อนข้างคล้ายกับยาแอสไพริน

ศรัทธาและศาสนา
ชีวิตหลังความตาย  มุมมองเชิงบวกโดยทั่วไปของชาวอียิปต์ ได้สร้างศาสนาของพวกเขาและนำพวกเขาไปสู่ความเชื่อว่าพระเจ้าโปรดปรานพวกเขา  ชาวอียิปต์เชื่อว่ามันไม่ใช่แค่ฟาโรห์และขุนนางที่อาจมุ่งหวังที่จะมีชีวิตหลังความตาย  มันกลายเป็นเรื่องความเชื่อธรรมดา ที่ว่าความเจริญรุ่งเรืองของคนสามารถดำเนินการต่อไปได้หลังความตายอย่างมีความสุข ชีวิตหลังความตายคือชีวิตที่เชื่อว่าจะตามมาหลังจากตาย (คือตายแล้วเกิดอีก)  สังคมอียิปต์แต่ละระดับ มีมุมมองของตัวเองถึงสิ่งที่ทำให้มีความสุขแก่ชีวิตหลังความตาย  ตัวอย่างเช่น  ชาวนาในชนบท อ้าแขนรับความนิรันดร์ในดินแดนแห่งการประสบความสำเร็จของพวกเขา  โดยปราศจากความเจ็บปวดหรือได้รับบาดเจ็บ ในที่ซึ่งทุกคนมีแปลงที่ดินเท่ากัน  ไม่ใช่ทุกวัฒนธรรมในสมัยโบราณที่ใช้ความเชื่อของชาวอียิปต์ร่วมกัน  ตัวอย่างเช่น ชาวสุเมเรียน (Sumerians) คิดว่าชีวิตหลังความตายจะมีความทุกข์ทรมาน

คัมภีร์แห่งความตาย
(The Book of the Dead)


คัมภีร์แห่งความตาย

          คัมภีร์แห่งความตายเป็นคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์สร้างขึ้นจากพระสูตรและเวทย์มนตร์อันวิเศษ ซึ่งออกแบบมาเพื่อช่วยผู้ตายในการเดินทางหลังความตาย  จำนวนของเวทมนตร์อันศักดิ์สิทธิ์เติบโตในช่วงเวลาที่ผ่านมา จนถึงประมาณ 200 ปี  แม้ว่า จะไม่มีม้วนกระดาษปาปิรัสบันทึกไว้ทั้งหมด  อาลักษณ์ก็ได้เขียนข้อความออกมา และศิลปินได้เพิ่มภาพประกอบอันยอดเยี่ยม ชาวอียิปต์เชื่อว่า การทำชั่วจะทำให้หัวใจหนัก  ตามหนังสือแห่งความตาย  เทพอานูบิส (Anubis) จะชั่งน้ำหนักหัวใจของคนตายแต่ละคน ถ้ามันเบากว่าขนนก รางวัล ก็คือชีวิตหลังความตายที่มีความสุข ถ้าไม่ใช่ เทพอานูบิส ก็เอาหัวใจไปเลี้ยงปีศาจ Ammit (ปิศาจเพศเมียในศาสนาโบราณของอียิปต์ มีรูปร่างคล้ายสิงโต ฮิปโปโปเตมัสและจระเข้)

เทพหลากหลาย    ศาสนาที่นับถือพระเจ้าหลายองค์ (polytheism) ก็คือ ความเชื่อในเทพเจ้าหลายองค์ ชาวอียิปต์บูชาพระเจ้าหลายองค์ ที่เกี่ยวข้องกับชีวิตหลังความตาย และส่วนต่าง ๆ  ของธรรมชาติ เช่น ดวงอาทิตย์หรือแม่น้ำ
        พระเจ้าหลายองค์ได้รับการบูชาในบางพื้นที่เท่านั้น เทพอามุน (Amun) กลายเป็นเทพท้องถิ่น เทพหัวหน้าของเมืองธีบส์(Thebes)  ต่อมา เทพอามุนก็กลายเป็นเทพที่สำคัญมากขึ้น เมื่อตระกุลแห่งเมืองธีบส์กลายเป็นเชื้อสายของฟาโรห์  

การสร้างมัมมี่
 ชาวอียิปต์ดองศพของผู้ตายก่อนที่จะเอาไปฝังไว้ในหลุมฝังศพ ดองหมายถึงการรักษาร่างกายไว้หลังจากตาย  กระบวนการดองศพมีข้อปฏิบัติที่แตกต่างอยู่ตลอดเวลา แต่การปฏิบัติบางอย่างเป็นเรื่องปกติ   อันดับแรก สัปเหร่อ จะรื้อเอาอวัยวะทั้งหมดออกยกเว้นหัวใจ  น่าแปลกประหลาด สมองถือว่าไม่สำคัญ  ในขณะที่อวัยวะอื่น ๆ ได้ถูกเก็บและรักษาไว้    สมองจะถูกคว้านออกและทิ้งอย่างง่าย ๆ   อวัยวะอื่น ๆ  นอกเหนือจากสมองจะถูกทำความสะอาดและใส่ลงไปในไหแยกกัน  สัปเหร่อ จะล้างและฟอกด้านในร่างกายที่ว่างเปล่า  ต่อมาพวกเขาจะบรรจุและคลุมร่างด้วยเนทรอน (natron(เป็นเกลือที่ใช้ในการทำมัมมี่ ซึ่งก็คือเกลือโซเดียมคาร์บอเนต หรือโซดาแอซ นั้นเอง)-ธรรมชาติ ซึ่งเป็นตัวแทนการอบแห้งและน้ำยาฆ่าเชื้อที่มีเกลือเป็นจำนวนมาก
รูปปั้นศีรษะเทพอานูบิส
รูปปั้นศีรษะเทพอานูบิส ชาวอียิปต์มีความหวังว่า 
เมื่อเอาใจเทพเจ้าที่มีหัวเป็นสุนัขจิ้งจอก
ก็จะป้องกันไม่ให้สุนัขจิ้งจอกมาถ่ายของเสียในสุสาน
การทำการอบแห้งด้วยเนทรอน เปลี่ยนร่างกายเป็นมัมมี่  มัมมี่คือร่างกายที่ได้รับการอบแห้งเพื่อไม่ให้เสื่อมสลาย แผ่นผ้าลินินหรือแม้แต่ขี้เลื่อยจะถูกนำมาใช้เพื่อเติมเต็มช่องว่างของร่างกาย  มัมมี่จะถูกห่อหุ้มไว้ในชิ้นผ้าลินินหลายร้อยหลา  กระบวนการทั้งหมดของการดองและการห่อใช้เวลาประมาณ 70 วัน  การดองจะมีค่าใช้จ่ายมากและไม่สามารถจ่ายได้ทุกคน
สุสานของชาวอียิปต์ การรักษาร่างกายและวัตถุ รวมไว้ในหลุมฝังศพแสดงว่าชาวอียิปต์เชื่อว่าชีวิตหลังจากความตายเป็นชีวิตที่ต่อเนื่องไปจากชีวิตในโลกนี้อย่างหนึ่ง  หลุมฝังศพได้เก็บสิ่งของที่จำเป็นในชีวิตประจำวันไว้มากมาย เช่น อาหาร เครื่องดื่ม เครื่องมือ เครื่องนุ่งห่ม และเฟอร์นิเจอร์
ญาติ ๆ  ที่มีชีวิตอยู่ได้รับการคาดหวังว่าจะนำอาหารสดและเครื่องดื่มไปยังหลุมฝังศพทุกวัน การสวดภาวนาเพื่อดวงวิญญาณของผู้ตายยังสวดอยู่ทุกวัน ครอบครัวที่อยู่ไกลบางครอบครัว จะว่าจ้างผู้ช่วยให้นำไปสู่หลุมฝังศพและปฏิบัติหน้าที่ให้สำเร็จ 
ปิรามิด สุสานของฟาโรห์ ได้กลายเป็นสัญลักษณ์ที่รู้จักกันดีของอียิปต์โบราณ

ผู้สร้างปิรามิด
อาณาจักรเก่า
          ตำนานบอกว่ากษัตริย์ชื่อนาร์เมอร์ (Narmer) ได้รวมอียิปต์ตอนบนและตอนล่างเข้าด้วยกัน นักประวัติศาสตร์บางคนคิดว่า นาร์เมอร์ เป็นตัวแทนกษัตริย์หลายพระองค์ที่ค่อย ๆ รวมดินแดนทั้งสองเข้าด้วยกัน การรวมอียิปต์ตอนบนและตอนล่างเข้าด้วยกัน เกิดขึ้น ประมาณ3,100 ปี ก่อนคริสต์ศักราช นักประวัติศาสตร์แบ่งประวัติศาสตร์ของอียิปต์โบราณ เป็นอาณาจักรเก่า อาณาจักรกลางและอาณาจักรใหม่ ประชาชนส่วนมากทั่วอียิปต์สร้างรามิดขึ้นในสมัยอาณาจักรเก่าซึ่งเริ่มประมาณ 2,575 ปี ก่อนคริสต์ศักราช
รูปภาพแมลงปีกแข็งซแคแร็บ
รูปภาพแมลงปีกแข็งซแคแร็บ 
แมลงปีกแข็งสแคแร็บเป็นสัญลักษณ์
แห่งความมีชีวิตนิรันดร์ของอียิปต์โบราณ



ราชวงศ์แรก ราชวงศ์แรกของจักรวรรดิอียิปต์  เริ่มขึ้นเมื่อประเทศเป็นปึกแผ่น ราชวงศ์สามราชวงศ์แรกของอียิปต์ เกิดขึ้นก่อนอาณาจักรเก่า  ราชวงศ์ (Dynasty - DY•Nuh•stee)  คือ เชื้อสายของผู้ปกครองมาจากวงศ์เดียวกัน  เมื่อกษัตริย์สวรรคต  บรรดาราชบุตรของพระองค์  องค์หนึ่ง มักจะแทนที่ในฐานะผู้ปกครอง  สมาชิกของพระราชวงศ์จะสืบทอดบัลลังก์ตามลำดับ เรียกว่า การสืบทอดราชบัลลังก์  ราชวงศ์ มากกว่า 30 ราชวงศ์ ที่ปกครองอียิปต์โบราณ

การปกครองของฟาโรห์
 กษัตริย์แห่งอียิปต์กลายเป็นที่รู้จักกันว่า ฟาโรห์ (pharaoh - FAIR•oh) ฟาโรห์หมายความว่า "บ้านใหญ่"  และแต่เดิมใช้อธิบายวังของพระราชา หลังจากนั้นก็กลายเป็นชื่อของกษัตริย์เอง ฟาโรห์ปกครองตั้งแต่เมืองหลวงชื่อเมมฟิส
ชาวอียิปต์โบราณคิดว่า ฟาโรห์เป็นลูกของพระเจ้าและเป็นพระเจ้าเอง ชาวอียิปต์เชื่อว่าถ้าฟาโรห์และอาณาประชาราษฎร์ของพระองค์เคารพพระเจ้า  ชีวิตของพวกเขาจะมีแต่ความสุข ถ้าอียิปต์ประสบเวลาที่ยากลำบากเป็นระยะเวลานาน ประชาชนก็ตำหนิฟาโรห์ว่าทำให้พระเจ้าขุ่นเคือง ในกรณีเช่นนี้ คู่แข่งอาจขับไล่เขาออกจากอำนาจและเริ่มต้นราชวงศ์ใหม่
เนื่องจากผู้คนคิดว่า ฟาโรห์เป็นพระเจ้า ศาสนาและรัฐบาลจึงไม่แยกจากกันในอียิปต์  นักบวชมีอำนาจมากในรัฐบาล เจ้าหน้าที่ระดับสูงหลายคนเป็นนักบวช

พีระมิดของคูฟู
          เหล่านักปกครองแรก ๆ  ของอียิปต์มักจะถูกฝังอยู่ในหลุมฝังศพใต้ดินซึ่งมียอดทำด้วยอิฐโคลน ในไม่ช้ากษัตริย์ต้องการอนุสาวรีย์ถาวรมากขึ้น พวกเขาเอาอิฐโคลนที่มีพีระมิดขนาดเล็กก่อด้วยอิฐหรือหินใส่แทน  พีระมิดเป็นโครงสร้างที่มีรูปทรงคล้ายสามเหลี่ยมที่มีสี่ด้านที่บรรจบกันที่ส่วนยอด
ประมาณ 2,630 ปี ก่อนคริสตศักราช กษัตริย์ โจเซอร์ (Djoser - ZHOH • Suhr) ได้สร้างพีระมิดขนาดใหญ่มากเหนือหลุมฝังศพของพระองค์ มันถูกเรียกว่าพีระมิดขั้นบันได เพราะด้านข้างของมันมีขั้นบันได้ขนาดใหญ่สูงขึ้นเป็นชุด  มันเป็นโครงสร้างหินที่มีขนาดใหญ่ที่รู้จักกันว่าเก่าแก่ที่สุดในโลก

มหาพิีระมิด
  ประมาณ 80 ปีต่อมา ฟาโรห์ ชื่อ Khufu (คูฟู) (KOO•FOO) ตัดสินใจว่าพระองค์ต้องการอนุสาวรีย์ที่จะแสดงให้โลกรู้ว่าพระองค์ยิ่งใหญ่เพียงใด พระองค์จึงสั่งการให้ก่อสร้างพีระมิดที่ใหญ่ที่สุดที่เคยสร้างมา ตามฐานของพิระมิด แต่ละด้านยาว 760 ฟุต แกนกลางถูกสร้างขึ้นจากก้อนหิน 2.3 ล้านก้อน
พีระมิด
พีระมิด สร้างเป็นอนุสาวรีย์บนสุสานของเหล่านักปรกครอง
มงกุฎคู่
มงกุฎคู่  เป็นการผสมผสานมงกุฎขาว
อันเป็นสัญลักษณ์อียิปต์ตอนบน
และมงกุฎแดงอันเป็นสัญลักษณ์อียิปต์

ตอนล่างเข้าด้วยกัน 
รวมเป็นสหราชอาณาจักร
การสร้างมหาพีระมิดเป็นงานยาก  คนงานเหมืองแร่ ได้ตัดก้อนหินขนาดใหญ่ โดยใช้เลื่อยและสิ่วทองแดง  เครื่องมือเหล่านี้นุ่มนวลมากกว่าเครื่องมือเหล็กที่พัฒนาในภายหลัง ดังนั้นการทำงานจึงล่าช้าและยาก พวกคนงานอื่น ๆ ดึงแผ่นหินขึ้นอย่างช้า ๆ ลาดเอียงไปยังสถานที่ที่แต่ละแผ่นจะถูกใช้กับพีระมิด  คนได้ลากก้อนหินหนักขึ้นไปถึงร้อยฟุตและจากนั้นก็วางไว้กับที่
เกษตรกรจะตรากตรำทำงานหนักด้วยการลากหินในช่วงฤดูที่แม่น้ำไนล์ท่วมทุ่งนาของพวกเขา ช่างสลักหินที่มีทักษะและคนควบคุมทำงานตลอดทั้งปี  มหาพีระมิดใช้เวลาในการสร้างเกือบ 20 ปี ชาวอียิปต์ประมาณ 20,000 ทำงานในนั้น เมืองที่เรียกว่า กิซ่า(GEE•zuh) ถูกสร้างขึ้นสำหรับคนงานที่สร้างพีระมิดและผู้คนทำอาหารเลี้ยง แต่งตัวและสร้างที่อยู่ให้พวกเขา

พวกขโมยหลุมฝังศพ ในที่สุดชาวอียิปต์ก็หยุดสร้างปิรามิด  เหตุผลหนึ่งก็คือปิรามิดดึงความสนใจไปยังหลุมฝังศพภายในพิรามิดเอง โจรขโมยหลุมฝังศพบุกเข้าไปในสุสานเพื่อจะขโมยสมบัติที่ถูกฝังพร้อมกับฟาโรห์ บางครั้งโจรเหล่านั้นยังขโมยมัมมี่อีกด้วย
ชาวอียิปต์เชื่อว่าถ้าหลุมฝังศพถูกโจรขโมย  คนที่ถูกฝังอยู่ในนั้นไม่สามารถมีชีวิตหลังความตายอย่างมีความสุข ในช่วงอาณาจักรใหม่ ฟาโรห์เริ่มสร้างสุสานลับในบริเวณที่เรียกว่าหุบเขาของพระราชา ห้องฝังศพถูกซ่อนอยู่ในภูเขาใกล้แม่น้ำไนล์  วิธีนี้ ฟาโรห์หวังว่าจะปกป้องร่างกายและสมบัติของตนเองจากโจรได้
ฟาโรห์พยายามที่จะซ่อนตัวเองเต็มที่เพียงใด  พวกโจรก็ขโมยสมบัติจากหลุมฝังศพเกือบทุกหลุมของฟาโรห์เพียงนั้น หลุมฝังศพจากอาณาจักรใหม่เท่านั้นที่หลีกเลี่ยงการโจรกรรมได้ ก็คือหลุมฝังศพของทุตอังค์อามุน (Tutankhamen - TOOT•ahng•Kah•muhn) ถูกค้นพบในปี ค.ศ.  1922   ความร่ำรวยลานตาที่พบในหลุมฝังศพนี้แสดงให้เห็นว่าความมั่งคั่งเป็นอันมากที่ฟาโรห์ใช้เวลาเตรียมความพร้อมสำหรับชีวิตหลังความตาย


ผู้สร้างประวัติศาสตร์


รูปปั้นฟาโรห์คูฟู

         ฟาโรห์คุฟู เป็นบุตรคนหนึ่งที่ปฏิบัติตามตัวอย่างบิดาของพระองค์ บิดาของพระองค์ คือ Snefru (SNEHF•roo) เป็นกษัตริย์นักรบที่นำความเจริญรุ่งเรืองไปสู่อียิปต์ Snefru ฉลองการกระทำของเขาโดยการสร้างพีระมิดที่แท้จริงเป็นครั้งแรกที่อนุสาวรีย์ฝังศพของเขา
            คุฟูชอบการออกแบบพีระมิด แต่คิดว่าพีระมิดที่ใหญ่กว่าเป็นเรื่องที่ดีกว่า มหาพีระมิดของพระองค์ คือโครงสร้างที่สูงที่สุดในโลกมานานกว่า 4,300 ปี  น่าเศร้าที่ความหรูหราที่งดงามของพีระมิดหลุมฝังศพของพระองค์ถูกโจรขโมยหลุมฝังศพขโมยนานมาแล้ว  วัตถุเพีงชนิดเดียวที่เหลือจากงานศพของคุฟู คือ เรือค้นพบในปี ค.ศ. 1954  เรือลำนี้ ยาวถึง 125 ฟุต มีความหมายถึงการขนส่งวิญญาณของKhufu ผ่านชีวิตหลังความตายไปตามเส้นทางของเทพอาทิตย์


อาณาจักรกลาง
          ประมาณ 2,160 ปี ก่อนคริสต์ศักราช อำนาจกลางของฟาโรห์เริ่มล่มสลายลง  การแตกแยก สงครามกลางเมืองและการรุกรานรบกวนอียิปต์นานกว่า 100 ปี การอุบัติขึ้นของฟาโรห์เมนตูโฮเทป ที่ 2 (Mentuhotep II) ในระหว่าง 2,055 ปี ก่อนคริสต์ศักราช ได้นำมาซึ่งเสถียรภาพบ้าง ระยะเวลาที่เกิดขึ้นต่อมา เรียกว่าอาณาจักรกลาง

จุดเชื่อมต่อจารีตประเพณี
 แม้ว่าฟาโรห์เมนตูโฮเทป สามารถรวบรวมอียิปต์ได้อีกครั้ง  จุดสูงสุดของอาณาจักรกลาง ก็ได้เริ่มขึ้นเมื่อ 70 ปีต่อมา  ฟาโรห์ อเมเนมเฮท ที่ 1 (Amenemhet I) ได้ก่อตั้งราชวงศ์ที่สิบสองในระหว่าง 1,985 ปี ก่อนคริสต์ศักราช พระองค์ไม่ได้เป็นสมาชิกของราชวงศ์ ดังนั้นการเรียกร้องที่จะครองราชย์บัลลังก์ของพระองค์ จึงได้สั่นคลอน
แผนที่ราชอาณาจักรเก่าและกลางของอียิปต์ ระหว่าง 2,575 - 1,630 ปี ก่อน ค.ศ.
แผนที่ราชอาณาจักรเก่าและกลางของอียิปต์ ระหว่าง 2,575 - 1,630 ปี ก่อน ค.ศ.

อเมเนมเฮท อ้างคำทำนายโบราณสนับสนุนหตุผลของพระองค์  พระองค์ได้เผยแพร่คำทำนายจากคัมภีร์เนเฟอร์ติ (Neferti) ที่คาดคะเนว่าสืบมาจากยุคฟาโรห์สเนฟรู ซึ่งเป็นฟาโรห์แห่งราชวงศ์ที่สี่ที่ประชาชนนับถือมาก คัมภีร์ทำนายถึงการเสด็จมาของกษัตริย์อเมนิ(ameni) ผู้ที่จะช่วยอียิปต์ให้รอดจากความสับสนวุ่นวาย ในความเป็นจริง อเมเนมเฮทเอง ก็ได้เขียนเรื่องนี้เพื่อเชื่อมต่อพระองค์กับฟาโรห์สเนฟรูและแสดงให้เห็นว่าความเป็นพระมหากษัตริย์ของพระองค์ยังคงมีอยู่ พระองค์ได้ครองราชย์เป็นเวลา 29 ปี และราชวงศ์ที่สิบสองสืบต่อกันมานานกว่า 200 ปี
จิตรกรรมสุสานแห่งราชอาณาจักรกลางของอียิปต์
จิตรกรรมสุสานแห่งราชอาณาจักรกลางของอียิปต์ แสดงการอพยพของชาวปาเลสไตน์ ซึ่งเป็นชาวเอเชีย ที่มาตั้งรกรากในพื้นที่สามเหลี่ยมด้านตะวันออก
ความเข้มแข็งและความเจริญรุ่งเรือง ฟาโรห์แห่งราชวงศ์ที่สิบสอง ใช้กองกำลังทางทหารขยายขอบเขตของอียิปต์ไปทางทิศใต้  พวกเขาต้องการยึดทรัพยากรของนูเบีย โดยเฉพาะอย่างยิ่งทองของนูเบีย  เมื่อรุกลงมาทางใต้ตามริมแม่น้ำไนล์ พวกเขาเดินทางมาถึงบ่อน้ำซึ่งอยู่ถัดจากน้ำตกแห่งที่สองประมาณ 1,800 ปี ก่อนคริสต์ศักราช   หลังจากการศึกประสบความสำเร็จในแต่ละครั้ง ป้อมปราการจะถูกสร้างขึ้นเพื่อปกป้องรักษาการควบคุมดินแดนใหม่และช่วยรักษาทองคำให้ไหลลงสู่คลังของอียิปต์
เกษตรกรรมได้รับการส่งเสริมอย่างยอดเยี่ยมในอาณาจักรกลาง  ทางทิศใต้และทิศตะวันตกของเมืองซัคคาร่า (Saqqara) เป็นพื้นที่แอ่งน้ำที่รู้จักกันว่า เฟยุม (Faiyum) ฟาโรห์องค์ต่อมา ได้พยายามระบายหนองน้ำกว้างใหญ่เหล่านี้เพื่อให้สามารถนำมาใช้สำหรับการเพาะปลูก พวกเขาทำได้โดยการขุดคลองและสร้างเขื่อนเพื่อเปลี่ยนเส้นทางน้ำที่อาจจะเก็บในที่นั่นได้ โครงการนี้ กินเนื้อที่ใหม่มากถึง150,000 เอเคอร์ในระยะการไถ การผลิตอาหารเพิ่มขึ้นทำให้อียิปต์แข็งแกร่งยิ่งขึ้น
กล่าวโดยสรุป อียิปต์เติบโตในช่วงระยะเวลาแห่งราชวงศ์สิบสองของอาณาจักรกลาง ศิลปะ (โดยเฉพาะวรรณกรรม) ก็รุ่งเรือง ด้านการค้าก็ขยายตัวทั่วทะเลเมดิเตอร์เรเนียนและทางทิศตะวันออกไปถึงเอเชียและสันตติวงศ์ของฟาโรห์ก็มีเสถียรภาพและเป็นระเบียบเรียบร้อย

การเสื่อมและล่มสลาย
 การปกครองของราชวงศ์ที่สิบสามอ่อนแอลงมาก ในช่วงเวลานี้ ผู้คนจากทางตะวันออกของคาบสมุทรไซนาย ที่เรียกว่า "เอเชียติกส์ (Asiatics – ผู้คนที่มาจากทวีปเอเชีย)" ในตำราอียิปต์ เริ่มที่จะอพยพไปยังภาคตะวันออกของสามเหลี่ยมปากแม่น้ำไนล์ ในที่สุด กลุ่มชาวอียิปต์ที่เรียกว่า Hyksos (HIHK•sohs – ฮีกโซสมาจากปาเลสไตน์และซีเรียได้เข้ารุกรานอียิปต์ พวกเขาเอาชนะอียิปต์ตอนล่างเป็นส่วนมาก ประมาณ 1,630 ก่อนคริสต์ศักราช ด้วยความช่วยเหลือทางอาวุธที่ดีกว่าและรถออกศึกซึ่งใช้ม้าลาก ซึ่งเป็นของใหม่สำหรับชาวอียิปต์ ภายหลัง ประมาณ 100 ปี ชาวอียิปต์ได้ขับพวกฮีกโซสออกไป และเริ่มอาณาจักรใหม่


อาณาจักรใหม่และกูช
ฟาโรห์ผู้หญิง
          อาณาจักรใหม่รวมถึงผู้ปกครองที่ทรงอำนาจมากที่สุดของอียิปต์บางคน  ฟาโรห์เหล่านี้ตั้งเมืองหลวงใหม่ขึ้น ชื่อ ธีบส์ (Thebes)ลงไปทางใต้ของเมืองหลวงเก่าเมมฟิส 450 ไมล์ พวกเขาสร้างอียิปต์ให้เข้มแข็งโดยการขยายอาณาจักรให้กว้างไกล
วิหารของฮัตเชปซุท
วิหารของฮัตเชปซุท  ราชินีฮัตเชปซุท ซึ่งเป็นฟาโรห์หญิงองค์แรกและองค์เดียวของอียิปต์
รับสั่งให้สลักภูเขาเป็นวิหาร
การยึดอำนาจ พระราชินีฮัตเชปซูท (Hatshepsut - hat•SHEHP•SOOT) เป็นผู้หญิงคนแรกที่ปกครองเป็นฟาโรห์  เธอเป็นภรรยาของฟาโรห์ที่เสียชีวิตไม่นาน หลังจากที่เขาเข้ามากุมอำนาจ  ครั้นแล้ว ฮัตเชพซูทก็ปกครองพร้อมกับลูกเลี้ยงของเธอ ชื่อ ธุตโมซีสที่ 3(thoot•MOH•suh) ในระหว่าง 1,472 ปี ก่อนคริสต์ศักราช ฮัตเซปซูทได้ประกาศตัวเองว่าเป็นผู้ปกครองเพียงผู้เดียว เธอได้สวมเคราปลอมซึ่งสงวนไว้สำหรับฟาโรห์แต่ผู้เดียว
รูปปั้นฮัตเชปซูท ฟาโรห์หญิงองค์แรกและองค์เดียวของอียิปต์
รูปปั้นฮัตเชปซูท ฟาโรห์หญิงองค์แรก
และองค์เดียวของอียิปต์
การค้าขายเจริญรุ่งเรือง  ฟาโรห์แห่งอาณาจักรใหม่ส่วนมากได้ขยายอียิปต์โดยการทำสงคราม  ฮัตเชปซูทได้ใช้วิธีการอื่น ๆ ด้วย  เธอต้องการจะสร้างอียิปต์ให้รุ่งเรืองขึ้นด้วยการค้าขาย  การเดินทางค้าขายครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดของเธอ คือ ครั้งที่ข้ามทะเลทรายทางทิศตะวันออกไปยังทะเลแดง เรือขนาดใหญ่แล่นไปทางใต้ ไปยังแผ่นดินแอฟริกา ที่เรียกว่า พันต์ (Punt  ภาษาอังกฤษ แปลว่า ถ่อ หรือ เรือท้องแบน) พ่อค้าหลายคนได้นำสมุนไพรหายากกลับมา  เครื่องเทศ ไม้หอม ลิงที่ยังมีชีวิตอยู่ และต้นไม้กระถางสำหรับการทำเครื่องหอม

มรดกของฮัตเชปซูท
 เหมือนฟาโรห์อื่น ๆ  ฮันเชปซูท เป็นผู้กระตือรือร้นในการประกาศความรุ่งโรจน์ของเธอ อนุสรณ์ประเภทหนึ่งที่เธอสร้าง คือ อนุสาวรีย์ (obelisk - AHB•UH•lihsk) อนุสาวรีย์เป็นเพลาสี่ด้าน มียอด ที่มีรูปทรงคล้ายพีระมิด  ฮัตเชปซูท มีอนุสาวรีย์สูงแกะสลักจากก้อนหินแกรนิตสีแดง ด้านบนอนุสาวรีย์ ช่างฝีมือได้ใช้กราฟฟิคเพื่อบันทึกผลงานอันยิ่งใหญ่ของเธอ
หลังจากปกครองได้ 15 ปี ฮัตเชปซูทก็หายไป เธออาจจะเสียชีวิตอย่างสงบ หรือธุตโมส ที่ 3 (ลูกเลี้ยงของนาง) อาจจะฆ่าเธอ หลังจากที่เธอตาย ธุตโมสก็ป็นฟาโรห์และพยายามที่จะทำลายบันทึกทุกอย่างของรัชสมัยของฮัตเชปซูท

ฟาโรห์ยุคปฏิรูป
ความเชื่อแบบใหม่  เมื่ออัคเคนาเตน หรือ อัคเคนาทอน (Akhenaten or Akhenaton (AHK•uh•NAHT•uhn)) เป็นฟาโรห์ ในระหว่าง 1,353 ปี ก่อนคริสต์ศํกราช  พระองค์ได้ยกสุริยเทพ (a sun god) ที่เรียกว่า Aton ขึ้นเป็นเทพสูงสุด จากนั้นก็ปิดวิหารของเทพอื่น ๆ  ด้วยวิธีนี้ พระองค์ได้สนับสนุนการบูชาเทพองค์เดียวเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์อียิปต์ พระที่ปรนนิบัติพระเจ้าอื่น ก็สูญเสียอำนาจไปทันที  พระเหล่านั้นยังกลัวอีกว่าการกระทำของฟาโรห์จะทำให้พระเจ้าองค์เก่าพิโรธ
ภาพส่วนหัวของเนเฟอรืติติ
ภาพส่วนหัวของเนเฟอรืติติ นักประวัติศาสตร์มีความเห็นว่า
รูปส่วนหัวนี้เป็นภาพเหมือนของเนเฟอร์ติติชายาของอาเคนาเตน (ฟาโรห์อาเมนโฮเทป ที่ 4)
วิธีการคิดแบบใหม่ของอัคเคนาเตนมีผลกระทบต่อศิลปะ  ในอดีต โดยปกติงานศิลปะอียิปต์พยายามแสดงภาพที่สมบูรณ์แบบของฟาโรห์ ในอาณาจักรกลาง  ขั้นตอนขนาดเล็กเกี่ยวกับความจริงก็ปรากฏให้เห็น แต่ภายใต้การปกครองของอัคเคนาเตน ฟาโรห์ถูกนำมาแสดงอย่างแนบเนียนเป็นครั้งแรก ตัวอย่างเช่น งานแกะสลักของอัคเคนาเตน ได้แสดงท้องขนาดใหญ่ของพระองค์

ฟาโรห์ยุคปฏิรูปสิ้นสุดลง ศาสนาใหม่ของอัคเคนาเตนก็ไม่ได้คงอยู่อย่างยาวนาน  สามปีหลังจากการเสียชีวิตของอัคเคนาเตน ประยูรญาติหนุ่มที่ชื่อ ตูตันคาเมน(Tutankhamen) ก็เป็นฟาโรห์ ในช่วง 1,333 ปี ก่อนคริสต์ศักราช  เด็กคนนี้อาศัยอาจารย์ที่ปรึกษาช่วยให้เขาปกครองอียิปต์ พวกเขาเชื่อว่า ตูตันคาเมนจะปฏิเสธศาสนาใหม่และเคารพพระเจ้าองค์เก่า

ฟาโรห์ผู้มีอำนาจ

          ในระหว่าง 1,279 ปี ก่อนคริสต์ศักราช รามเสส ที่ 2 (Ramses II (RAM•Seez)) ได้ขึ้นครองบัลลังก์ เขาครองราชย์ 66 ปี ยาวที่สุดในประวัติศาสตร์
มหาวิหารอาบู ซิมเบล
มหาวิหารอาบู ซิมเบล  รูปปั้นขนาดยักษ์ของรามเสสสี่องค์ ปกป้องมหาวิหารอาบู ซิมเบล
ซึ่งอยู่ใกล้แม่น้ำไนล์ แต่ละองค์สูงเท่ากับอาคารหกชั้น
ผู้สร้างอาณาจักร รามเสส ไม่เหมือนฮัตเชปซูท ยังได้รับขนานนามว่า รามเสสมหาราชอีกด้วย  เขาต้องการสร้างอียิปต์ให้เรืองอำนาจด้วยการทำสงคราม ภายใต้ปกครองของรามเสส อียิปต์ได้ขยายดินแดนไปทางใต้อาณาจักรนูเบีย ของแอฟริกา  อาณาจักรยังขยายยาวเหยียดไปถึงด้านตะวันออกของทะเลเมดิเตอร์เรเนียนที่มีขอบเขตติดกับอาณาจักรฮิตไทต์ (Hittites) อีกด้วย
ชาวอียิปต์และฮิตไทต์  เป็นศัตรูกันมายาวนาน ไม่นานหลังจากนั้นรามเสสก็กลายเป็นฟาโรห์  รามเสส ได้นำทัพเข้าสู่การต่อสู้กับฮิตไทต์ แท้จริงแล้วไม่มีใครชนะสงคราม  แต่รามเสสอ้างว่าได้รับชัยชนะ ความสำเร็จที่แท้จริงของพระองค์ มาถึงหลังจากการสู้รบ เมื่อพระองค์เจรจาสนธิสัญญาสันติภาพกับฮิตไทต์ที่รู้จักกันเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์โลก
ฟาโรห์รามเสสเป็นผู้กล้าหาญในการนับถือตัวเอง พระองค์ได้สร้างเมืองที่เรียกว่า ปิ-รามเสส (Pi-Ramses) หรือบ้านของรามเสส ในสามเหลี่ยมตะวันออก ที่อาบูซิมเบล ทางตอนใต้ของน้ำตกแห่งแรก รูปปั้นสูง 66 ฟุตสี่องค์ของรามเสส ป้องกันพระวิหารของพระองค์ หูของรูปปั้นยาวสามฟุต!  รามเสสแตกต่างจากอัคเคนาเตน ไม่ต้องการให้รูปปั้นตัวเองแสดงให้เห็นว่าเหมือนตัวเองจริง ๆ พระองค์ประสงค์ให้ตนเองเหมือนพระเจ้า
รามเสสที่ 2 ครองราชย์จนถึง 1,213 ปี ก่อนคริสต์ศักราช ในขณะที่พระองค์อายุมากกว่า 90 ปี เป็นนักปกครองคนเดียวที่ทำให้การปกครองของอียิปต์มั่นคงเป็นเวลาถึง 66 ปี  รัชสมัยของพระองค์ยังเป็นเวลาแห่งสันติภาพอีกด้วย หลังจากการเจรจาสนธิสัญญากับฮิตไทต์ ก็ไม่มีศัตรูมาคุกคามอียิปต์ในระยะเวลาที่ฟาโรห์รามเสสครองราชย์

อียิปต์ล่มสลาย
 อียิปต์ไม่เคยเป็นเอกภาพเลย หลังจากรามเสสเสียชีวิต รัฐบาลกลางค่อย ๆ อ่อนแอ  หลังจากประมาณ 1,070 ปีก่อนคริสต์ศักราช อำนาจต่างเมืองก็เข้าปกครองอียิปต์เป็นระยะ ๆ ต่อมาถึง 1,000 ปี  
ชาวเปอร์เซียได้พิชิตอียิปต์ในระหว่าง 525 ปีก่อนคริสต์ศักราช ต่อมาในระหว่าง 332 ก่อนคริสต์ศักราช พระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราชแห่งมาซิโดเนียก็ได้ยึดครอง  ก่อนการปกครองของกรีก 300 ปี  อย่างไรก็ตาม  ก่อนเปอร์เซียและกรีกปกครอง  อาณาจักรNubian Kushite (อาณาจักรกูชโบราณ บางทีเรียกนูเบีย ตั้งอยู่ฝั่งแม่น้ำไนล์ใต้อียิปต์โบราณ) ก็ปกครองอียิปต์
อารยธรรมนูเบียและกูช
 (Nubia and the Kush)
อียิปต์ปกครองภูมิภาคต่าง ๆ  ของนูเบียประมาณ 2,000 – 1,000 ปี ก่อนคริสต์ศักราช  ในขณะที่อำนาจกลางของรัฐอียิปต์พินาศลงในตอนท้ายของอาณาจักรใหม่  กลุ่มผู้ปกครองแยกมาครองอียิปต์ตอนล่างและตอนบน  ผู้ปกครองเหล่านี้มีอำนาจน้อยไม่สามารถที่จะออกแรงควบคุมในเขตนูเบีย  ระยะหลัง อาณาจักรนูเบียที่เรียกว่า กูช ก็คลองอำนาจในภูมิภาค
อาณาจักรกูช ในระหว่าง 700 ปี ก่อน ค.ศ.
อาณาจักรกูช ในระหว่าง 700 ปี ก่อน ค.ศ.
ความสัมพันธ์ทางวัฒนธรรมระหว่างอียิปต์และกูช  ระยะเวลาที่อียิปต์ปกครองนูเบียส่งผลให้มีการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรม  อียิปต์ได้รับอิทธิพลศิลปะแห่งนูเบียรวมทั้งกูช  ขุนนางหนุ่มชาวกูช เดินทางไปยังอียิปต์สถานที่ซึ่งพวกเขาได้เรียนรู้ภาษาอียิปต์  พวกเขาได้นำรูปแบบประเพณีและเครื่องนุ่งห่มของชาวอียิปต์และได้นำพระราชพิธีและระบบการเขียนอักษรอียิปต์โบราณกลับไปยังกูช ปิรามิดของชาวอียิปต์ยังถูกลอกเลียนไปยังกูชด้วย และชาวนูเบีย ก็บูชาเทพเจ้าศักดิ์สิทธิ์ของชาวอียิปต์บางส่วน

อาณาจักรกูชมีอำนาจรุ่งเรือง
  เมื่ออิทธิพลอียิปต์ในนูเบียเสื่อมลง  ประมาณ 1,000 ปี ก่อนคริสต์ศักราช การบูชาเทพอามูนยังคงดำเนินอยู่ในเมืองหลวงอาณาจักรกูช ที่ชื่อ นาปาต้า (Napata) ประมาณ 750 ปี ก่อนคริสต์ศักราช อียิปต์อยู่ในท่ามกลางการต่อสู้ระหว่างหลายอำนาจในภูมิภาค  กองกำลังในการควบคุมสามเหลี่ยมตะวันตกเริ่มคุกคามอียิปต์ตอนบน ผู้ปกครองเมืองธีบส์ ศูนย์กลางของการบูชาเทพอามุน ได้เชิญกษัตริย์กูช ชื่อ ไป (Piye - PY) เพื่อปกป้องพวกเขา กษัตริย์ Piye และกองทัพของพระองค์แล่นเรือตามแม่น้ำไนล์ไปยังเมืองธีบส์ สถานที่ซึ่งกษัตริย์ Piye ได้รับการประกาศเป็น ฟาโรห์  จากนั้นพระองค์ก็ยังคงเดินทางไปทางเหนือสู่อียิปต์ตอนล่าง อาชนะศัตรูทั้งหมดตลอดเส้นทางไปเมืองเมมฟิส หลังจากสิ้นสงครามอันยาวนาน พระองค์ก็ได้ปกครองอียิปต์ทั้งหมด

ความสัมพันธ์ทางการเมืองและการค้าขายกับอียิปต์
  กษัตริย์ไป ได้รวมอียิปต์และกูชเข้าด้วยกัน นูเบียได้จัดตั้งราชวงศ์ของตนเองหรือวงศ์แห่งกษัตริย์ขึ้นปกครองอียิปต์  กษัตริย์ไป ได้รับการประกาศเป็นฟาโรห์ของอียิปต์ รัชสมัยของพระองค์ได้จารึกว่าเป็นจุดเริ่มต้นราชวงศ์ที่ยี่สิบห้าของอียิปต์ แม้ว่าพระองค์จะเป็นฟาโรห์ กษัตริย์ไป ก็ไม่ได้อาศัยอยู่ในอียิปต์ พระองค์เลือกประทับอยู่ในนาปาต้าเมืองหลวงของกูชแทน
นาปาต้า ตั้งอยู่ที่หัวถนนสำหรับใช้ในการเคลื่อนย้ายสินค้าใกล้ ๆ แก่งแห่งหนึ่งของแม่น้ำไนล์  พ่อค้าจะใช้ถนนเมื่อเรือบรรทุกสินค้าไม่สามารถแล่นไปทางน้ำที่มีกระแสน้ำรุนแรงในหลาย ๆ  ส่วนของแม่น้ำได้ วิธีนี้นำไปสู่​​การค้าที่มีชีวิตชีวาริมแม่น้ำไนล์  นาปาต้า เป็นศูนย์กลางสำหรับการแพร่กระจายของสินค้าและวัฒนธรรมอียิปต์ไปสู่คู่ค้าอื่น ๆ ของอาณาจักรกูชในทวีปแอฟริกาและอื่น ๆ

อาณาจักรกูชเสื่อมสลาย ในระหว่าง 704 ปีก่อนคริสต์ศักราช  กองกำลังอียิปต์แห่งอาณาจักรกูชได้ต่อสู้อัสซีเรียในปาเลสไตน์ ชาวอียิปต์ได้สนับสนุนผู้นำที่ต่อต้านการปกครองของชาวอัสซีเรีย  ชาวอัสซีเรียซึ่งมีอาวุธเหล็กแข็งแกร่งกว่าอาวุธสัมฤทธิ์ของกูช ชนะการสู้รบครั้งนั้น ทั้งสองผลัดกันแพ้ชนะเป็นเวลาหลายปี ขณะที่อียิปต์ได้สนับสนุนผู้นำต่างประเทศอื่น ๆ ให้ต่อต้านการปกครองของอัสซีเรีย  ในระหว่าง 671 ปี ก่อนคริสต์ศักราช ชาวอัสซีเรียได้บุกและเอาชนะอียิปต์  นี้เป็นการสิ้นสุดการปกครองของอาณาจักรกูชในอียิปต์