ราชวงศ์จีน
จีนรวมตัวใหม่
 |
แผนที่ลำดับเหตุการณ์ในจีนและโลกสมัยโบราณ |
 |
แผนที่ภูมิศาสตร์ทางกายภาพของจีนในปัจจุบัน |
 |
แผนที่ลำดับเหตุการณ์จีนและโลกสมัยโบราณ |
การล่มสลายของราชวงศ์ฮั่น
ราชวงศ์ฮั่นก่อตั้งขึ้น ในช่วงเวลา 202 ปี ก่อนคริสต์ศักราช จีนประสบช่วงเวลาของความเจริญก้าวหน้าและความเจริญรุ่งเรือง
อย่างไรก็ตาม ในที่สุด การต่อสู้ทางการเมือง ปัญหาทางสังคมและขยายช่องว่างระหว่างคนรวยและคนจน
ทำราชวงศ์ฮั่นอ่อนแอลง ซึ่งตกอยู่ในคริสต์ศักราช 220
ความขัดแย้งและความโกลาหล ระยะเวลาความโกลาหลอันยิ่งใหญ่ก็ตามมา
อาณาจักรต่าง ๆ ต่อสู้กันเอง พวกร่อนเร่บุกรุกจากทางทิศเหนือข้ามที่ราบสูงมองโกเลียเข้ามาสู่ทางตอนเหนือของประเทศจีน
(ชนเผ่าเร่ร่อนคือบุคคลที่ย้ายจากสถานที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง) น้ำท่วม ภัยแล้งและการขาดแคลนอาหารยังทำให้เกิดโรคระบาดไปทั่วแผ่นดิน
แม้จะมีปัญหาเหล่านี้ วัฒนธรรมจีนก็ยังอยู่รอด
ในตอนเหนือ ผู้บุกรุกร่อนเร่ก็ตั้งรกรากและรับเอาขนบธรรมเนียมของจีนมาเป็นของตนในที่สุด
ในตอนใต้ การเก็บเกี่ยวได้ผลดีและการค้าขายที่เจริญเพิ่มขึ้นคนช่วยให้ผู้คนประสบความสำเร็จ
แม้กระนั้น คนจีนส่วนใหญ่นำชีวิตไปสู่ความยากลำบาก
 |
เทือกเขาหิมาลัยอันยิ่งใหญ่นี้เป็นแนวกั้นจีนจากการรุกรานทางตะวันตกเฉียงใต้ |
การเปลี่ยนแปลงระบบความเชื่อ
ความวุ่นวายหลังจากการล่มสลายของราชวงศ์ฮั่นที่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญในระบบความเชื่อของจีน การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้มีอิทธิพลต่อวิธีที่ผู้คนดำเนินชีวิต
ลัทธิขงจื้อ เป็นเวลาหลายศตวรรษ ชาวจีนหันไปหาลัทธิขงจื้อเพื่อความสะดวกสบายและคำแนะนำ
ลัทธิขงจื้อเป็นระบบความเชื่อ ที่อยู่บนพื้นฐานความคิดของขงจื้อ
(มีชีวิตอยู่ระหว่าง 551-479 ปี ก่อนคริสต์ศักราช) เขาเป็นนักปราชญ์ผู้สอนคุณธรรมศีลธรรมและจริยธรรม
ซึ่งเป็นความคิดที่เกี่ยวกับความถูกต้องและความผิด
ในคำสอนของขงจื๊อเน้นหลักการเหล่านี้:
•การใช้ความสัมพันธ์ที่เหมาะสมในการจัดระเบียบทางสังคม
•การเคารพครอบครัวและปู่ย่าตายาย (คนรุ่นก่อน ๆ)
•การทำให้ประชาชนและสังคมได้รับการศึกษา
•การกระทำในวิถีทางที่ถูกต้องทางศีลธรรม
ลัทธิขงจื้อมีอิทธิพลต่อการดำเนินชีวิตของชาวจีน
ลัทธิขงจื้อมีผลต่อรูปโฉมหลายแง่มุมของการปกครองและสังคมจีน ตัวอย่างเช่น ขงจื๊อสอนว่า
คนจะก้าวหน้าในชีวิตด้วยการศึกษา การเน้นความสำคัญกับการศึกษาก่อให้เกิดการจัดตั้งเจ้าหน้าที่ของรัฐที่มีประสิทธิภาพ
ผ่านการฝึกอบรมอย่างดี
แนวความคิดของขงจื๊อยังมีอิทธิพลต่อสังคม
เขาคิดว่าสังคมควรจะจัดการความสัมพันธ์ขั้นพื้นฐานห้าอย่าง
มาตรฐานทางจริยธรรมจะดูแลความสัมพันธ์เหล่านี้ ตัวอย่างเช่น ความสัมพันธ์อย่างหนึ่งระหว่างผู้ปกครองและประชาราษฎร์
ขงจื๊อสอนว่าผู้ปกครองควรจะมีความเที่ยงธรรมและมีเมตตา ราษฎรควรจะซื่อสัตย์และเชื่อฟังกฎหมาย
ความสัมพันธ์ด้านอื่น ๆ อยู่บนพื้นฐานของครอบครัว ขงจื๊อเชื่อว่า ลูก ๆ จะต้องมีความเคารพต่อพ่อแม่และปู่ย่าตายายของพวกเขา อย่างไรก็ตาม ประมาณคริสต์ศักราช
200 ลัทธิขงจื้อเริ่มเสื่อมอิทธิพลเมื่อราชวงศ์ฮั่นสูญเสียอำนาจ
การเผยแพร่เข้ามาของพุทธศาสนา ในขณะที่ลัทธิขงจื้อเสื่อมอิทธิพลลง
ชาวจีนจำนวนมากหันไปนับถือศาสนาพุทธ พุทธศาสนาเป็นศาสนาที่เริ่มต้นในอินเดียและมีพื้นฐานมาจากคำสอนของ
เจ้าชายสิทธารถะ เคาตะมะ (Siddhartha
Gautama - sihd• DAHR•tuh GOW•tuh•muh - บาลี เป็น สิทธัตถะ โคตมะ)
พระองค์มีชีวิตอยู่ประมาณ 566-486 ปี ก่อนคริสต์ศักราช และเป็นที่รู้จักว่า พระพุทธเจ้า
หรือ "ผู้ตรัสรู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน (Enlightened One)"
 |
พระพุทธปฏิมากรประทับนั่งขนาดมหึมานี้ ประดิษฐานอยู่ในถ้ำ ไกลจากกรุงปักกิ่งไปทางตะวันตก ประมาณ 150 ไมล์ (ประมาณ 240 กิโลเมตจร) น่าจะสลักประมาณคริสต์ศตวรรษที่ 5 |
พุทธศาสนาสอนหลักการดังต่อไปนี้:
•ความทุกข์เป็นส่วนหนึ่งของชีวิต (ทุกข์)
•เหตุผลที่คนประสบความทุกข์ก็เพราะพวกเขายึดมั่นกับวัตถุและความเห็นแก่ตัวจนเกินไป
(ตัณหา)
•ด้วยการดำเนินชีวิตอย่างชาญฉลาด (ใช้ปัญญา
ไม่ใช้ตัณหาในการดำเนินชีวิต) มีคุณธรรมและมีความคิดที่มีเหตุผล รู้จักปล่อยวาง
ไม่ยึดมั่นจนเกินไป รู้จักพอเพียง ในที่สุด คนก็สามารถเรียนรู้การพ้นจากความทุกข์ได้
(นิโรธและมรรค) สรุปก็คืออริยสัจ 4 (น่าสังเกต
ฝรั่งยังเข้าใจศาสนาพุทธมากกว่าคนไทยที่ถือว่าตัวเองเป็นชาวพุทธ – ผู้แปล)
ในช่วงคริสต์ศตวรรษแรก คณะผู้สอนศาสนาและเหล่าพ่อค้าก็นำคำสอนทางพุทธศาสนาไปยังประเทศจีน
(ดูแผนที่) เมื่อเวลาผ่านไป ศาสนาพุทธก็เผยแพร่ออกไปในเกาหลีและญี่ปุ่นด้วย
พุทธศาสนากลายเป็นศาสนาที่ผู้คนถือปฏิบัติกันอย่างกว้างขวาง หลังจากที่ได้รับการฝึกฝนราชวงศ์ฮั่นลดลง
คำสอนทางพุทธศาสนาช่วยให้ผู้คนอดทนต่อความทุกข์ที่เกิดขึ้นจากการล่มสลายของราชวงศ์
 |
แผนที่การเผยแพร่พุทธศาสนา 500 ปี ก่อน ค.ศ. - ค.ศ. 500 |
อิทธิที่มีต่อลัทธิขงจื้อ ลัทธิขงจื้อเริ่มพอใจไปกับการฟื้นตัวขึ้นมาใหม่ในคริสต์ศตวรรษที่
6 อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงที่ละน้อย ๆ เริ่มเกิดขึ้นในความคิดขงจื้อ
ศาสนาพุทธและลัทธิเต๋าก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงบางส่วนเหล่านี้ ลัทธิเต๋าเป็นระบบความเชื่อที่พยายามกลมกลืนกับธรรมชาติและความรู้สึกภายใน
ลัทธิเต๋าเริ่มต้นขึ้นในประเทศจีนในศตวรรษที่ 5 ก่อนคริสต์ศักราช
ลัทธิขงจื้อได้จัดตั้งจริยธรรมทางสังคมและหลักการทางการเมืองเป็นส่วนใหญ่
เพราะราชวงศ์ฮั่น ต่อมาในสมัยราชวงศ์ซ่งหรือซ้อง นักปราชญ์ขงจื้อได้ผสมผสานศาสนาพุทธและลัทธิเต๋าเข้าในลัทธิขงจื้อ
เป็นผลให้ลัทธิขงจื้อขยายมุมมองของตนกว้างออกไป
การเปลี่ยนในความคิดของขงจื้อ ลัทธิขงจื้อแนวใหม่นี้เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมของมนุษย์และความสัมพันธ์กับจักรวาลของบุคคลเป็นอย่างมาก
เน้นที่หลักการต่อไปนี้:
•หลักศีลธรรมคือเป้าหมายสูงสุดที่คนสามารถเข้าถึงได้
•ศีลธรรมนี้สัมฤทธิ์ผลได้ด้วยการศึกษา
•การศึกษาสามารถเกิดขึ้นได้ด้วยหนังสือ การสังเกตหรือการมีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่น
ๆ ที่ชาญฉลาด
ราชวงศ์สุย (Sui) และราชวงศ์ถัง
(Tang) รวบรวมจีนขึ้นมาใหม่
หลังจากการล่มสลายของราชวงศ์ฮั่น ประชาชนชาวจีนอดทนกับความสับสนวุ่นวายและความขัดแย้งมากกว่า350
ปี ในที่สุด ราชวงศ์สุย (หมายความว่า พลิ้วไหว) ก็รวบรวมจีนขึ้นใหม่ในคริสต์ศักราช
589 และจัดให้เป็นระเบียบเรียบร้อย ราชวงศ์สุยปกครองจนถึงคริสต์ศักราช 618
ราชวงศ์สุย หยางเจียนได้ก่อตั้งราชวงศ์สุย
เขาเป็นแม่ทัพในกองทัพของราชวงศ์โจว (โจ้ – Zhou, Joh) ซึ่งเป็นผู้ปกครองทางตอนเหนือของจีน
ในคริสต์ศักราช 581 เขาเข้ามากุมอำนาจด้วยการฆ่าทายาทและมอบราชบัลลังก์ให้กับโจว หลานชายของตัวเอง
ครั้นแล้ว เขาก็สังหารหมู่พระราชโอรส 59 พระองค์
ประมาณคริสต์ศักราช 589 เขาพิชิตตอนใต้และรวบรวมจีนขึ้นใหม่
เขาประกาศตัวเองเป็นจักรพรรดิองค์แรกแห่งราชวงศ์สุย ต่อมา เขาก็กลายเป็นที่รู้จักกันในนาม
เหวินตี้ (Wendi)
 |
กำแพงเมืองจีนสร้างขึ้นใหม่หลายส่วนในสมัยจักรพรรดิเหวินตี้ เพื่อป้องกันการบุกรุกจากภายนอก ทอดยาวไปตามภูเขาทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของกรุงปักกิ่ง |
เหวินตี้รวบรวมจีนเป็นเอกภาพอีกครั้ง ในช่วงการปกครองของเหวินตี้
ทำให้ชาวจีนรู้สึกเป็นเอกภาพมากขึ้น เขาฟื้นฟูประเพณีทางการเมืองแบบเก่าที่ทำให้ชาวจีนนึกถึงความรุ่งโรจน์ในอดีตของพวกเขา
ตัวอย่างเช่น ในการขึ้นครองบัลลังก์ เขายอมรับของขวัญที่ยิ่งใหญ่แบบดั้งเดิม คือ
ประตูบ้านสีแดงและเสื้อคลุมมีผ้าคาดเอวสีแดง
เหวินตี้ ยังช่วยลดความขัดแย้งด้วยการปล่อยให้ประชาชนปฏิบัติตามระบบความเชื่อของตัวเอง
แม้ว่าเขาจะเป็นชาวพุทธเขาก็ให้การสนับสนุนความเชื่อและการปฏิบัติของเต๋า (เหมือนกษัตริย์พุทธคนอื่น
ๆ เช่น พระเจ้าอโศกมหาราชแห่งอินเดียว หรือแม้แต่ในหลวงของไทยเราในปัจจุบัน)
เหวินตี้ ยังได้เริ่มโครงการงานสาธารณะอีกด้วย
เขาได้สร้างกำแพงเมืองจีน (the
Great Wall) บางส่วนขึ้นมาใหม่ เขายังเริ่มสร้างคลองต้ายุ่นเหอหรือต้ายวิ่นเหอ
(Grand Canal) เชื่อมต่อแม่น้ำฮวงเหอหรือแม่น้ำเหลือง (Yellow
River) และแม่น้ำชางเจียง (Chang Jiang หรือ Yangtze
River - แม่น้ำแยงซี) เชื่อมโยงจีนตอนเหนือและตอนใต้ ชาวไร่ชาวนาหลายพันคนใช้แรงงานขุดคลองต้ายุ่นเหอถึงห้าปี
เกือบครึ่งหนึ่งเสียชีวิตในระหว่างโครงการ
เหวินตี้และทายาทของเขา ชื่อ
หยางตี้ ได้เพิ่มภาษีเพื่อจ่ายเป็นค่าตอบแทนโครงการเหล่านี้ทั้งหมด ในที่สุด ชาวจีนก็เหน็ดเหนื่อยจากภาษีสูงและพวกเขาก็ไม่เห็นด้วย
เป็นผลให้ราชวงศ์ล่มสลายหลังจากนั้นเพียง 37 ปีเท่านั้น
 |
แผนที่ราชวงศ์สุยและถัง ค.ศ. 581 - 907 |
ราชวงศ์ถัง แม้ว่า ราชวงศ์สุยจะครองบัลลังก์เพียงเวลาเพียงระยะเวลาสั้น
ๆ ก็สร้างรากฐานให้กับราชวงศ์ถัง ราชวงศ์ถังเริ่มต้นขึ้นในคริสต์ศักราช 618
และปกครองมานานเกือบ 300 ปี ในช่วงเวลานี้ จีนได้ขยายชายแดนทุกด้าน นอกจากนี้
จักรพรรดิถึงก็ขยายเครือข่ายถนนและคลองเพื่อนำประเทศไปพร้อม ๆ กัน การค้าขายได้เจริญรุ่งเรืองบนถนนสายไหมและจีนได้สร้างการเชื่อมโยงไปยังตะวันตกได้อย่างเข้มแข็ง
อาณาจักรขนาดใหญ่เช่นนั้น จำเป็นต้องใช้เจ้าหน้าที่จำนวนมากเพื่อบริหารจัดการอาณาจักร
ดังนั้น จักรพรรดิถังจึงนำความคิดของขงจื้อเกี่ยวกับวิธีการที่รัฐบาลควรจะดำเนินงานมาใช้อย่างเต็มที่
ราชวงศ์ถังก็เหมือนกับราชวงศ์สุย ใช้การตรวจสอบรัฐเพื่อหาบุคคลที่มีคุณสมบัติในการทำงานของรัฐบาล
ระบบรัฐบาลถังเป็นหนึ่งในรัฐที่ทันสมัยและมีความซับซ้อนที่สุดของโลกในเวลานั้น
จักรพรรดิถัง จักรพรรดิไท่จง (Taizong
- ty•johng) ช่วยพ่อของเขา คือ เกาจู่ (gow•joo) ก่อนตั้งราชวงศ์ถัง ไท่จงยึดบัลลังก์ในคริสต์ศักราช 626 หลังจากที่ฆ่าพี่น้องสองคนของตัวเองและลูกชายทั้งสิบของพี่น้องของตัวเอง
แม้ว่าไท่จงจะใช้ความรุนแรงเพื่อขึ้นสู่อำนาจ ชาวจีนจำนวนมากคิดว่าเขาเป็นผู้นำที่ยุติธรรมและเที่ยงตรง
ยกตัวอย่างเช่น เขาไม่ได้เก็บภาษีชาวนาสูงเกินไป
นอกจากนี้เขายังเอาดินแดนบางส่วนจากดินแดนที่อุดมสมบูรณ์มอบให้แก่ชาวนา
ในคริสต์ศักราช 690 อู่เจ้า (Wu Zhao - woo jow) ได้ประกาศตัวเองเป็นจักรพรรดิ
เธอเป็นผู้หญิงคนเดียวที่มีชื่อในการครองบัลลังก์ของจีน อู่เจ้าได้พิสูจน์แล้วว่าเป็นผู้นำที่มีความสามารถ
เธอลดภาษี กำจัดการทุจริตของรัฐ และสนับสนุนพุทธศาสนาในประเทศจีนอย่างเข้มแข็ง
เธอไม่ได้สละอำนาจจนกระทั่งคริสต์ศักราช 705 ซึ่งในขณะนั้นเธออายุมากกว่า
80 ปี
-----------------------------------------
ผู้สร้างประวัติศาสตร์
อู่เจ้า (มีชีวิตระหว่างคริสต์ศักราช
627-705)
 |
อู่เจ้า |
อู่เจ้า ยังได้รับการเรียนขานว่า อู่ เจ๋อเทียน (Wu Zetian) อีกด้วย ถูกส่งไปยังราชสำนักของจักรพรรดิจีนตอนอายุ 14 ปี เธอได้รับมอบหมายให้ทำงานในการศึกษาของจักรพรรดิซึ่งเธอได้เรียนรู้เกี่ยวกับการต่างประเทศ
การเมือง และการสร้างนโยบายสาธารณะ ความรู้นี้ได้ช่วยเธอตอนที่เธอกลายเป็นจักรพรรดิ
ภายใต้การนำของอู่เจ้า การเกษตรของจีนได้ปรับตัวดีขึ้น
เธอกระตุ้นให้เกษตรกรพัฒนาที่ดินมากขึ้นเพื่อใช้การชลประทานและการทดลองเทคนิคใหม่
ๆ นอกจากนั้นเธอยังต่อสู้ในการนำความเสมอภาคมาให้สตรีมากขึ้นและให้นักวิชาการเขียนชีวประวัติของผู้หญิงที่มีชื่อเสียงในประวัติศาสตร์จีน
----------------------------------------
วัฒนธรรมถัง ในสมัยราชวงศ์ถัง วรรณกรรมและศิลปะจีนได้เจริญถึงจุดสูงสุด
ยุคสมัยราชวงศ์ถัง เป็นที่รู้จักกันดีที่สุดในเรื่องบทกวีชั้นเยี่ยมและมีชีวิตชีวา
ผู้ชายทุกคน ที่ถือว่าตัวเองว่าเป็นสุภาพบุรุษ ภาคภูมิใจในความสามารถการเขียนบทกวี
นักประวัติศาสตร์คาดการณ์ว่า นักกวีมากกว่า 2,200 คนมีชีวิตอยู่ในสมัยราชวงศ์ถัง บทกวีของพวกเขาเกือบ
50,000 บทยังคงเหลืออยู่
 |
รูปปั้นม้าราชวงศ์ถังนี้ เคลือบเงาด้วยสีหลากหลาย |
ประติมากรรมยุคราชวงศ์ถังงามสง่า
ศิลปินเคลือบรูปปั้นดินเหนียว มีความสวยงาม สีแดง สีเขียว สีขาวและสีส้ม เป็นเงามัน
ใบหน้าของสัตว์เป็นงานฝีมือที่เยี่ยม ซึ่งแต่ละอันมองดูโดดเด่น ที่พบมากที่สุดเป็นประติมากรรมอูฐและม้า
เพราะความงามของประติมากรรม ผลงานเหล่านี้เป็นรายการสินค้าที่มีคุณค่า นอกจากนี้ผู้คนมักจะวางประติมากรรมไว้ในหลุมฝังศพของญาติพี่น้องที่เคารพนับถือ
ความเจริญก้าวหน้า
ภายใต้การปกครองของราชวงศ์ถังและราชวงศ์ซ้อง
การสร้างรัฐของจักรพรรดิ
การปกครองประเทศที่มีขนาดใหญ่เช่นประเทศจีนเป็นงานที่ยาก เพื่อให้การปกครองมีประสิทธิภาพมากขึ้น
เหล่าผู้ปกครองราชวงศ์ถัง จึงได้พัฒนารัฐแบบจักรวรรดิ
ราชวงศ์ถังใช้ความคิดหลายอย่างที่ได้เรียนรู้จากราชวงศ์สุยเพื่อจัดตั้งรัฐบาลที่มีการบริหารจัดการที่ดี
การบริหารและการจัดการด้านทหารได้ดำเนินตามแบบราชวงศ์สุยเป็นส่วนใหญ่ นอกจากนี้ ราชวงศ์ถังได้ใช้ระบบภาษีแบบราชวงศ์สุย
แม้พวกเขาจะยกเมืองหลวงของราชวงศ์สุย คือ ฉางอาน (Ch'ang-an) ให้เป็นเมืองหลวงของพวกเขา
ฉางอานเป็นสิ่งสำคัญเพราะตั้งอยู่บนเส้นทางการค้าที่สำคัญ
 |
ภาพนี้วาดเลียนแบบนักกวีและศิลปินที่มีชื่อเสียงที่สุดแห่งราชวงศ์ถัง คือ หวางเหว่ย |
การปกครองของจีน การปกครองของราชวงศ์ถังเป็นเหมือนกับรูปปิรามิด
จักรพรรดิปกครอง ณ จุดสูงสุดและคนจำนวนมากทำหน้าที่ในระดับต่าง ๆ อยู่ใต้จักรพรรดิ
หัวหน้าที่ปรึกษาจักรพรรดิรับใช้จักรพรรดิโดยตรง พวกเขาอยู่ในระดับสูงสุดรองลงมาจากจักรพรรดิในระบบปกครองแบบรูปพีระมิด
ด้านล่างที่ปรึกษาเหล่านี้เป็นระบบราชการ
ระบบราชการคือการปกครองที่แบ่งออกเป็นแผนก
แต่ละแผนกในจีนจะรับผิดชอบหน้าที่ที่แน่นอน เช่น เก็บภาษี การเกษตรหรือกองทัพ ระบบการเมืองนี้ได้ปกครองจีนทั้งหมด
รัฐบาลท้องถิ่นทั่วประเทศจีนต้องรายงานราชการส่วนกลาง
ประมวลกฎหมาย เหล่าผู้ปกครองแห่งราชวงศ์ถัง ได้สร้างประมวลกฎหมายขึ้นมาใหม่ ซึ่งบรรจุกฎหมายของประเทศจีนทุกฉบับเพื่อให้กฎหมายที่คล้ายกันใช้ได้ในทุก
ๆ ที่ ประมวลกฎหมายใหม่นี้พิสูจน์แล้วว่ามีประสิทธิภาพสูง จีนใช้ประมวลกฎหมายนี้ตั้งแต่ประมาณคริสต์ศักราช
624 จนกระทั่งปลายคริสต์ศตวรรษที่ 12
นักปราชญ์ราชบัณฑิต ราชวงศ์ถังจำเป็นต้องให้การศึกษาแก่ประชาชนเพื่อการทำงานในระบบราชการ
สำหรับงานจำนวนมากในระบบราชการ ผู้คนต้องได้รับการทดสอบจากรัฐบาล ราชวงศ์ฮั่นและราชวงศ์สุย
ยังทดสอบผู้สมัครงานอีกด้วย แต่ผู้ปกครองแห่งราชวงศ์ถังได้ขยายระบบ
อย่างกว้างขวาง การสอบของรัฐได้ทดสอบความรู้เกี่ยวกับความคิด บทกวีของขงจื้อและวิชาอื่น
ๆ การทดสอบใช้เวลานานและยาก คนส่วนใหญ่ที่เข้ามาทดสอบประสบความล้มเหลว
คนที่ผ่านการทดสอบของรัฐจะเป็นนักปราชญ์ราชบัณฑิต
ซึ่งเป็นผู้ที่มีการศึกษามีตำแหน่งในรัฐบาล นักปราชญ์ราชบัณฑิตเกือบทั้งหมดมาจากสังคมชั้นสูง
คนรวยส่วนใหญ่มีญาติทำงานอยู่ในรัฐบาลและญาติมักจะช่วยกันเข้าทำงาน โดยทั่วไป จะมีเพียงคนร่ำรวยเท่านั้นที่สามารถจ่ายเงินเพื่อการศึกษาที่จำเป็นในการผ่านการทดสอบ
 |
ขงจื๊อเป็นนักปราชญ์จีนที่สอนเรื่องศีลธรรมจริยธรรม นักปกครองจีนสอนว่าประชาชนที่ปฏิบัติตามแนวคำสอนของขงจื๊อจะเป็นข้าราชการที่ดี |
ราชวงศ์ซ้อง (หรือซ่ง) หลังจากสิ้นสุดราชวงศ์ถัง
ราชวงศ์ซ้องหรือซ่งได้ปกครองตั้งแต่คริสต์ศักราช 960-1279 ราชวงศ์ซ่งได้ขยายและปรับปรุงระบบการสอบ โดยการจัดตั้งโรงเรียนขึ้นเป็นอันมากและเปลี่ยนแปลงการสอบเพื่อให้ครอบคลุมวิชาการปฏิบัติให้มากขึ้น
คนเข้ามาสอบ ผ่านการทดสอบ และเข้ารับราชการมากขึ้น แต่กระนั้น เจ้าหน้าที่ของรัฐส่วนมากก็มาจากครอบครัวที่ร่ำรวยเต็มไปด้วยอิทธิพลทางการเมืองอย่างต่อเนื่อง
 |
ภาพวาดนี้เล่าเรื่องประวัติศาสตร์จีน เขียนขึ้นในคริสต์ศตวรรษที่ 16 ในภาพ นักปราชญ์กำลังทำการสอบเพื่อเข้าราชการต่อหน้าจักรพรรดิแห่งราชวงศ์ซ้องที่สวมชุดเหลือง |
ความเจริญรุ่งเรืองจากการค้าขายและการทำการเกษตร
ภายใต้การปกครองของราชวงศ์ถังและราชวงศ์ซ้อง เศรษฐกิจจีนขยายตัวขึ้น
ในความเป็นจริงประเทศจีนกลายเป็นประเทศที่ร่ำรวยและมีการพัฒนามากที่สุดในโลก ปัจจัยหนึ่งในการเจริญเติบโตนี้คือระบบการขนส่งที่ได้รับการปรับปรุงให้ดีขึ้น
การเปลี่ยนแปลงในการเดินทางและการค้าขาย รัฐบาลสร้างถนนและทางน้ำหลายสาย
ระบบการขนส่งนี้ช่วยเชื่อมโยงจักรวรรดิจีนร่วมกัน
การขนส่งที่ดีขึ้นได้ปรับปรุงการค้าขายให้ดีขึ้น
เหล่าพ่อค้าได้ใช้ถนนใหม่ขนย้ายเมล็ดข้าว ชาและสินค้าอื่น
ๆ ตามถนนมีโรงแรมขนาดเล็กที่นักท่องเที่ยวสามารถพักแรมได้
คนส่งสาส์นและคนส่งข่าวขี่ม้านำสาส์นทางราชการไปบนถนน ซึ่งทำให้การสื่อสารดีขึ้นเป็นอย่างมาก
ทางน้ำมีความสำคัญมากทีเดียว
รัฐบาลจึงซ่อมแซมคลองเก่าและสร้างคลองใหม่ขึ้นเพื่อเชื่อมโยงแม่น้ำสายหลัก ส่งผลให้การขนส่งทางน้ำเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการขนส่งสินค้าและผู้คน
การค้าขายปรับตัวดีขึ้นเนื่องจากการพัฒนาเทคโนโลยีหลาย
ๆ อย่าง รวมทั้งเรือขนาดยักษ์ขับเคลื่อนด้วยฝีพายและใบเรือ เรือนั้นทำให้การเดินทางเร็วขึ้นและปลอดภัยมากขึ้น
การพัฒนาเข็มทิศแม่เหล็กได้ทำให้การเดินทางในทะเลอันเวิ้งว้างให้ดีขึ้นด้วย
----------------------------------------
การเชื่อมโยงกันระหว่างภูมิศาสตร์และประวัติศาสตร์
การทำนาข้าวแบบขั้นบันได
 |
การทำนาแบบขั้นบันได |
1. เกษตรกรชาวจีนได้ขนย้ายดินจำนวนมหาศาลเพื่อเปลี่ยนความชันของเนินเขาให้เป็นขั้นบันไดตามลำดับ
2. แล้วเกษตรกรก็สร้างคันดินขึ้นตามขอบของขั้นบันไดแต่ละขั้น
3. ท้ายสุด
เกษตรกรก็ไขน้ำเข้านาใหม่ก่อนที่จะปลูกต้นกล้า โดยทั่วไป ข้าวจะได้รับการปลูกในน้ำสูงประมาณสี่นิ้ว
----------------------------------------
การเปลี่ยนแปลงในด้านเกษตรกรรม ประมาณคริสต์ศักราช
1000 เกษตรกรชาวจีนก็เริ่มปลูกข้าวชนิดใหม่จากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ข้าวชนิดนี้สุกเร็วกว่าชนิดที่พวกเขาเคยใช้มาก่อน
เพราะข้าวชนิดใหม่ เกษตรกรสามารถส่งเสริมพืชพันธุ์ธัญญาหารสองหรือแม้กระทั่งสามอย่างต่อปีแทน
การกระจายอาหารได้ขยายอย่างรวดเร็วช่วยให้ประชากรเจริญเติบโตไปประมาณ100 ล้านคน
ในสมัยราชวงศ์ถังและราชวงศ์ซ้อง
ชาวจีนได้เปลี่ยนพื้นที่ลุ่มแม่น้ำฉางเจียงให้เป็นนาข้าวอันอุดม เกษตรกรใช้เครื่องสูบน้ำและคลองเพื่อระบายน้ำจากบึง
พวกเขาสร้างที่ดินเป็นขั้นบันไดบนเนินเขาและใช้ระบบชลประทานที่ซับซ้อนเพื่อนำน้ำลงไปสู่บึง ด้วยการเปลี่ยนสภาพแวดล้อม เกษตรกรจีนได้รับที่ดินทำกิน
ที่ดินที่เพิ่มขึ้นช่วยให้พวกเขาปลูกข้าวได้มากขึ้น
การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้และภูมิอากาศหนาวทำให้จีนตอนใต้ปลูกข้าวได้มากกว่าคนที่อยู่ในพื้นที่ที่จำเป็น
เกษตรกรได้ขายข้าวพิเศษให้กับพ่อค้า ซึ่งจัดส่งทางคลองไปยังศูนย์กลางของจักรพรรดิในทางตอนเหนือของประเทศจีน
การมีอาหารพิเศษหมายความว่าคนน้อยคนนักที่จำเป็นจะต้องทำงานเป็นเกษตรกร
เป็นผลให้ผู้คนจำนวนมากสามารถทำงานด้วยการค้าขาย
การเปลี่ยนแปลงในด้านการพาณิชย์ ในสมัยราชวงศ์ซ้อง
การค้ากำลังเจริญรุ่งเรืองในประเทศจีน เรือและเรือสินค้าบรรทุกสินค้าไปตามคลองและแม่น้ำและตามแนวชายฝั่งของประเทศจีน
ตลอดจนบรรทุกอาหารและผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ของจีนไปยังดินแดนต่างประเทศเช่นเกาหลีและญี่ปุ่น
การเจริญเติบโตของการค้าขายนำไปสู่การขยายตัวอย่างรวดเร็วในการใช้เงินในรูปแบบของเหรียญ เพื่อ ชำระค่าสินค้า อย่างไรก็ตาม เหรียญจำนวนมากก็หนักและยากที่จะนำติดตัวไป เพื่อแก้ปัญหานี้ รัฐบาลแห่งราชวงศ์และราชวงศ์ซ้อง
เริ่มที่จะพิมพ์เงินกระดาษ เป็นรัฐบาลแรกในประวัติศาสตร์ ที่ทำเช่นนั้น
 |
ชาวจีนพัฒนาธนบัตรเป็นครั้งแรกในโลก |
ในขณะที่การค้าขายเจริญเจริญขึ้น
ผู้คนกลายเป็นพ่อค้ามากขึ้น ชนชั้นพ่อค้าของจีนส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในเขตเมืองใหญ่และเมืองเล็ก
ซึ่งมีการค้าขายส่วนตัวมากที่สุด เมืองใหญ่เจริญเติบโตและเจริญรุ่งเรือง ในสมัยราชวงศ์ซ้อง
จีนมีเมืองใหญ่ไม่กี่เมืองมีประชากรประมาณ 1,000,000 คน เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว ปารีส
ซึ่งเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดของยุโรปเมืองหนึ่ง มีประชากรเพียง 150,000 คนเท่านั้นในช่วงเวลานั้น
ยุคแห่งความสำเร็จที่ยอดเยี่ยม
ราชวงศ์ถังและราชวงศ์ซ้องอยู่ท่ามกลางยุคที่สร้างสรรค์ที่สุดในประวัติศาสตร์อันยาวนานของจีน
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง บทกวีและศิลปะเจริญรุ่งเรืองในเวลานั้น
ยุคทองของบทกวีและศิลปะ นักเขียนแห่งราชวงศ์ถังสามคน
คือ หลี่ไป๋ (Li Bai) ตู้ฝู่ (Du Fu) และหวังเหว่ย
(Wang Wei) ถือว่าเป็นนักกวีจีนผู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดทุกยุค
หลี่ไป๋ได้เขียนหนังสือเกี่ยวกับความสุขของชีวิต ตู่ฝู่ยกย่องความเป็นระเบียบเรียบร้อยและคุณธรรมของขงจื้อ
และหวังเหว่ย ได้เขียนถึงความงามของธรรมชาติและสาระสำคัญของชีวิต
ศิลปินแห่งราชวงศ์ถังยังเป็นที่รู้จักกันในการผลิตตุ๊กตาดินที่สวยงาม
ในสมัยราชวงศ์ซ้อง การวาดภาพภูมิทัศน์กลายเป็นรูปแบบศิลปะที่มีความสำคัญ จิตรกรแห่งราชวงศ์ซ้องใช้เพียงหมึกสีดำในทุก
ๆ เฉดสีตั้งแต่สีเทาอ่อนจนถึงสีดำทึบ ในขณะที่ศิลปินแห่งราชวงศ์ซ้องคนหนึ่ง บันทึกไว้ว่า
"สีดำคือสีสิบสี" ปัจจุบันนี้ รูปปั้นตุ๊กตาดินแห่งราชวงศ์ถังและภาพทิวทัศน์แห่งราชวงศ์ซ้องสามารถพบได้ในพิพิธภัณฑ์ทั่วโลก
-----------------------------------------
แหล่งที่มาปฐมภูมิ
 |
ภาพวาดหวังเหว่ย |
ภูมิหลัง หวังเหว่ย (ดูรูป) มีชีวิตอยู่ระหว่างคริสต์ศักราช
699-759 เป็นหนึ่งในกวีที่ยิ่งใหญ่ของราชวงศ์ถัง
----------------------------------------
กระดาษและการพิมพ์
ในสมัยราชวงศ์ฮั่น จีนเริ่มทำกระดาษจากเส้นใยเยื่อไม้ กระดาษใช้เขียนได้ดีกว่าเขียนบนไม้ไผ่ขนาดใหญ่หรือผ้าไหมที่มีราคาแพง
ในขณะที่ราชวงศ์ถังและราชวงศ์ซ้องเจริญรุ่งเรือและการค้าขยายตัว รัฐบาลก็ได้มีการบันทึกมากขึ้นเพื่อเก็บรักษาไว้
ดังนั้นจีนเริ่มที่จะทำและใช้กระดาษในปริมาณมาก
ชาวจีนได้ใช้แม่พิมพ์บล็อกไม้ ช่างพิมพ์ได้แกะสลักแม่พิมพ์ไม้ที่มีตัวอักษรพอที่จะพิมพ์หน้าทั้งหน้า
ต่อมา ช่างพิมพ์ในเอเชียตะวันออก ได้สร้างตัวพิมพ์ที่เคลื่อนย้ายได้ โดยใช้กระดาษและการพิมพ์ ชาวจีนสามารถพิมพ์หนังสือได้ง่ายขึ้น
หนังสือที่สมบูรณ์แบบที่เก่าแก่ที่สุด ที่พิมพ์ในประเทศจีน สร้างขึ้นในคริสต์ศักราช
868 หนังสือนั้นรวบรวมคำสอนของพุทธศาสนาที่เรียกว่า วัชรปรัชญาปารมิตาสูตร
(the Diamond Sutra)
ปืนและเข็มทิศ เทคโนโลยีของจีนมีผลกระทบไปทั่วโลก
หนึ่งในสิ่งประดิษฐ์ที่สำคัญที่สุดของจีน คือ ดินปืน ชาวจีนใช้ดินปืนครั้งแรกเป็นดอกไม้ไฟและพลุสัญญาณและต่อมาใช้เป็นอาวุธ
ตัวอย่างเช่นพวกเขาผูกห่อดินปืนกับลูกศร ครั้นแล้วก็ขมวดลูกศรเข้าด้วยกันและยิงไปที่ศัตรู
การใช้ดินปืนแพร่กระจายไปทั่วเอเชียและยุโรป
คนใช้ดินปืนในการพัฒนาอาวุธใหม่ ๆ เช่น ปืนใหญ่และอาวุธปืน ลูกปืนใหญ่สามารถถล่มกำแพงปราสาทและลูกกระสุนปืนอาจจะตรงไปทะลุเกราะ
อาวุธเหล่านี้ได้ทำสงครามให้ร้ายแรงมากขึ้น
เข็มทิศแม่เหล็กที่ทำให้การเดินทางในมหาสมุทรปลอดภัยกว่าเคยเป็นมาก่อน
จีนค้นพบว่าเข็มแม่เหล็กที่ลอยอยู่ในชามน้ำมักจะชี้ไปทางทิศเหนือและทิศใต้
นี้กลายเป็นครั้งแรกที่เข็มทิศแม่เหล็กถูกใช้บนเรือ ด้วยการใช้เข็มทิศ ชาวจีนจึงแล่นเรือไปทั่วเอเชีย
ในคริสต์ศตวรรษที่ 13 ชาวจีนเดินทางไปไกลถึงแอฟริกา
ความรู้เกี่ยวกับเข็มทิศแม่เหล็กช่วยทำให้ยุคแห่งการสำรวจของชาวยุโรปมีศักยภาพ
เครื่องลายครามและชา ชาวจีนมีอิทธิพลต่อชีวิตประจำวัน
ด้วยการส่งออกเครื่องลายครามและชาไปทั่วโลก เครื่องลายครามคือเซรามิกสีขาวแข็งมักจะเรียกว่า
china ผู้คนต้องการเครื่องลายครามเพราะความงามของมัน
มันกลายเป็นสินค้าส่งออกที่มีคุณค่ามากที่สุดอย่างหนึ่งของประเทศจีน
เป็นเวลาหลายศตวรรษ ชาวจีนได้ใช้ชาเป็นยา
ในสมัยราชวงศ์ถัง มันกลายเป็นเครื่องดื่มที่เป็นที่นิยม
ต่อมา พ่อค้าได้นำชาจากเอเชียตะวันออกไปยังยุโรป
ชากลายเป็นรายการที่สำคัญของการค้าขายในตลาดต่างประเทศ
แม้จะมีความก้าวหน้าอย่างมาก จีนก็ยังคงต้องเผชิญกับอันตรายจากคนเผ่าร่อนเร่
ในคริสต์ศตวรรษที่ 12 ผู้นำของคนเผ่าร่อนเร่เหล่านี้อาจจะเป็นหนึ่งของผู้พิชิตที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดทุกยุคทุกสมัย
เขาคือ เจงกีสข่าน (Genghis Khan)
 |
ถ้วยน้ำชาของจีน จีนทำเครื่องลายคราม เช่น ถ้วยน้ำชาวใบนี้ ขายไปไกลถึงยุโรป และเอเชียตะวันตกเฉียงใต้ (แถบตะวันออกกลาง) |
จักรวรรดิมองโกล
การรุกรานของมองโกล
มองโกลคือนักรบเร่ร่อนที่ดุร้ายอาศัยอยู่ในที่ราบกว้างใหญ่ไปถึงทิศตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศจีน
ในคริสต์ศตวรรษที่ 12 พวกมองโกลบุกเข้ามาจีนและพิชิตจีนได้
ผู้นำที่ยิ่งใหญ่ ชาวมองโกลอาศัยเป็นกลุ่มครอบครัวที่เป็นอิสระ
เรียกว่า เผ่า (clans)
ชนเผ่าเหล่านี้รวมเข้าด้วยกันเป็นหลายชนเผ่าซึ่งเป็นอิสระจากกัน แต่ประมาณคริสต์ทศวรรษที่
1206 ผู้นำที่เข้มแข็งชื่อ เตมูจิน (Temujin - TEHM•yuh•juhn) ได้รวบรวมชนเผ่ามองโกลเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เมื่อต่อสู้ตัวต่อตัวเพื่อเลือกผู้นำ
เตมูจินเอาชนะคู่แข่งทั้งหมด ด้วยการทำเช่นนี้ เตมูจินก็กลายเป็นข่าน (khan)
หรือผู้ปกครองของชาวมองโกลทั้งหมด เขาได้นามว่า เจงกีสข่าน (Ghenghis
Khan - JEHNG•gihs KHAN) ซึ่งหมายความว่า "นักปกครองผู้ยิ่งใหญ่
(Universal ruler)" เจงกีสข่าน ได้จัดระเบียบนักรบมองโกลให้เป็นกองทัพเพื่อการต่อสู้อันเกรียงไกรและเริ่มทำการศึกษาสงครามเพื่อพิชิตดินแดนต่าง
ๆ เจงกีสข่านนักยุทธศาสตร์ที่ยอดเยี่ยมซึ่งใช้กลอุบายและกลยุทธ์ความหวาดกลัวโหดร้ายเพื่อสร้างความสับสนให้กับศัตรู
เขาบุกเข้ามาในจีนตอนเหนือ จากนั้นก็เคลื่อนทัพไปทางทิศตะวันตกข้ามเอเชียกลาง
ย้อนดูประวัติศาสตร์ทั้งหมด
ชนเผ่าเร่ร่อนมักจะมีความได้เปรียบทางทหารมากกว่าคนที่ตั้งหลักแหล่งอยู่เดิม ผู้คนที่ตั้งหลักแหล่งอยู่เดิมพยายามที่จะปกป้องเมืองใหญ่และเมืองเล็กของพวกเขา
อย่างไรก็ตาม ชนเผ่าเร่ร่อนเคลื่อนย้ายได้อย่างรวดเร็ว มองหาจุดที่อ่อนแอ โจมตีและเคลื่อนย้ายออกไปอยู่
ข้อนี้ ช่วยให้พวกเขาประสบความสำเร็จในสงคราม ประมาณคริสต์ศักราช 1227 ชาวมองโกลได้พิชิตเอเชียกลางทั้งหมด
 |
ภาพวาดนักรบมองโกลนี้ได้จากเปอร์เซียวาดขึ้นในคริสต์ศตวรรษที่ 14 ในภาพ นักรบมองโกลเตรียมทำสงคราม โกลน (ห่วงที่ห้อยลงจากอานม้าสำหรับใช้เท้าเหยียบ) ทำให้นักรบใช้เหยียบและใช้มือทั้งสองข้างต่อสู้ |
จักวรรดิมองโกล เมื่อเจงกีสข่านเสียชีวิตในคริสต์ศักราช
1227 (พ.ศ. 1770) บุตรชายและหลานชายของเขายังต่อสู้เพื่อพิชิตดินแดนต่าง ๆ ต่อไป พวกเขาเคลื่อนทัพไปทางทิศเหนือและทิศตะวันออกพิชิตส่วนที่เหลือของจีนตอนเหนือและเกาหลีทุ้งหมด
ต่อมา พวกเขาเคลื่อนทัพไปทางทิศตะวันตกข้ามเอเชียเข้าไปในรัสเซียและยุโรปตะวันออก
ในที่สุดพวกเขาก็เคลื่อนทัพลงมาทางใต้และยึดครองเปอร์เซีย
การโจมตีเฉพาะในญี่ปุ่นและบางส่วนของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เท่านั้นที่ยังไม่ประสบความสำเร็จ
ประมาณคริสต์ศักราช 1279
มองโกลปกครองดินแดนจักรวรรดิที่เป็นปึกแผ่นอันกว้างใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์
ในการปกครองพื้นที่อันยิ่งใหญ่ มองโกลแบ่งดินแดนออกเป็นสี่ภูมิภาค ในแต่ละภูมิภาค เรียกว่า khanate (อาณาจักรข่าน) ปกครองโดยทายาทของเจงกีสข่าน
 |
แผนที่จักรวรรดิมองโกล ค.ศ. 1294 ในขณะที่กุบไลข่านเสียชีวิต |
การปกครองของมองโกล หลานชายของเจงกีส คือ กุบไล
ข่าน (Kublai Khan - KOO•bly KAHN) ปกครอง Khanate ของข่านผู้ยิ่งใหญ่ Khanate นี้เป็นช่วงเวลาที่มีค่าที่สุดของภูมิภาคทั้งสี่เพราะมันรวมดินแดนจีน
กุบไลข่านเป็นนักปกครองคนแรกใน 300 ปีที่ปกครองจีนทั้งหมด
นอกจากนี้ยังไม่เคยมีอำนาจจากต่างแดนที่ปกครองจีน กระทั่งมองโกลเข้ามาปกครอง
กุบไลปกครองเป็นเวลา 15 ปีก่อนที่เขาจะเสียชีวิตในคริสต์ศักราช 1294
การเรียนรู้ในการปกครอง ชาวมองโกลไม่ได้มีประสบการณ์มากกับการปกครองอย่างเป็นทางการ
อีกประการหนึ่ง ชาวจีนมีประวัติศาสตร์อันยาวนานเกี่ยวกับการจัดการการปกครอง
ดังนั้น กุบไลจึงรักษาการปกครองของจีนไว้หลายแง่มุม การใช้รูปแบบที่คุ้นเคยของการปกครองทำให้การปกครองจีนได้ง่ายขึ้นสำหรับชาวมองโกล
กุบไลได้ย้ายเมืองหลวงไปยังกรุงปักกิ่งและสั่งให้สร้างกรุงปักกิ่งขึ้นในสไตล์จีนแบบดั้งเดิม
เขาประกาศตัวเองเป็นจักรพรรดิและในคริสต์ศักราช 1279 ได้ก่อตั้งราชวงศ์ใหม่ คือ
ราชวงศ์หยวนหรือยูอาน (Yuan - YOO•AHN)
การประคับประคองการปกครอง กุบไลได้รักษาเอกลักษณ์รูปแบบการปกครองของจีนไว้
แต่เขาสร้างความมั่นใจว่านักการเมืองจีนไม่ได้รับอำนาจมากเกินไป
เขายังคงควบคุมจีนในเงื้อมือของมองโกล เขายุติระบบการตรวจสอบของรัฐในการเลือกเจ้าหน้าที่
เขาให้งานด้านการปกครองที่สำคัญแก่ชาวมองโกล หรือชาวต่างชาติที่เชื่อถือได้ ชาวมองโกลเชื่อว่าชาวต่างชาติน่าเชื่อถือกว่าชาวจีน
เพราะชาวต่างชาติไม่มีความจงรักภักดีต่อประเทศ (คือถ้าเป็นชาวจีนอาจจะก่อกบฏได้
เพราะรู้สึกจงรักภักดีต่อประเทศที่ถูกคนอื่นครอบครอง)
เจ้าหน้าที่จีนได้รับตำแหน่งเพียงเล็กน้อยเท่านั้น งานเหล่านี้ส่วนใหญ่อยู่ในระดับท้องถิ่นและมีอำนาจน้อย
แต่กระนั้น อิทธิพลความคิดของขงจื้อยังคงแข็งแกร่ง
ในระหว่างการปกครองของมองโกล เจ้าหน้าที่มองโกลนำได้วิธีการขงจื้อมาใช้กับการปกครอง
นอกจากนี้ กุบไลยังได้แต่งตั้งนักปราชญ์ขงจื้อให้การศึกษาแก่ลูกหลานของขุนนางมองโกล
การค้าขายของมองโกล แม้จะมีความแตกต่างกับจีน กุบไลข่านก็เป็นผู้นำที่มีความสามารถ
เขาทำงานในการสร้างจีนขึ้นมาใหม่หลังจากสงคราม เขารื้อฟื้นคลองต้ายวิ่นเหอ (Grand
Canal) และขยายขึ้นไปทางเหนือ 135
ไมล์ไปยังกรุงปักกิ่ง และเขาได้สร้างทางหลวงลาดยางยาวกว่า 1,100 ไมล์และเชื่อมต่อกับกรุงปักกิ่งและหางโจว ทางบกและทางน้ำเหล่านี้ทำให้การเดินทางระหว่างทางเหนือและทางใต้ง่ายขึ้น
การค้าระหว่างสองภูมิภาคเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกษตรกรทางตอนใต้ที่อุดมสมบูรณ์ขายข้าวให้กับคนทางตอนเหนือที่แห้งแล้วได้มากขึ้น
กุบไลยังทำให้มีการเปลี่ยนแปลงด้วยการช่วยส่งเสริมการค้าและการติดต่อกับส่วนอื่น ๆ
ของโลก
-----------------------------------------
ผู้สร้างประวัติศาสตร์
กุบไล ข่าน (มีชีวิตอยู่ระหว่าง ค.ศ. 1215 – 1294)
 |
ภาพวาดกุบไลข่าน |
กุบไลข่านเป็นข่านผู้ยิ่งใหญ่ ซึ่งผู้นำของชาวมองโกลทั้งหมด เขาได้รับชื่อนี้ในคริสต์ศักราช
1260 และตั้งตัวเองเป็นจักรพรรดิของจีนประมาณคริสต์ศักราช 1279
กุบไล แตกต่างจากชาวมองโกลส่วนใหญ่
ได้ให้ความสนใจในวัฒนธรรมจีน ในเวลาเดียวกัน กุบไลยังคงจงรักภักดีต่อรากฐานมองโกล เพื่อเตือนให้ตัวเองนึกถึงบ้านเกิด
เขาจึงปลูกหญ้าจากที่ราบภาคเหนือในสวนหลวงของตนเองที่ปักกิ่ง นอกจากนี้เขายังให้เกียรติบรรพบุรุษของพวกเขาในสไตล์มองโกล
ทุก ๆ เดือนสิงหาคม เขาดำเนินการพิธีกรรมพิเศษด้วยการโปรยนมม้าลงพื้นดินและตะโกนเรียกชื่อปู่ของเขา
คือ เจงกีส ข่าน
----------------------------------------
การเปิดจีนไปสู่โลก ในช่วงการปกครองกุบไลข่าน จีนเปิดประตูไปสู่โลกภายนอก
ชาวมองโกลได้พัฒนาการค้าขายทางทะเลอันเจริญรุ่งเรืองและการต้อนรับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ
เส้นทางการค้าขาย ชาวมองโกลได้ให้การสนับสนุนการค้าขายโดยการปกป้องนักท่องเที่ยว
ในอดีตที่ผ่านมา บางครั้ง จีนได้ปิดเส้นทางการค้าขายทางบก เนื่องจากสงครามและการโจรกรรม
ตอนนี้ ชาวมองโกลได้ควบคุมเอเชียกลางทั้งหมด การปกครองของมองโกลทำให้การเดินทางทางบกปลอดภัย
ในระยะเวลานี้ ตั้งแต่กลางคริสต์ศตวรรษที่ 12 ถึงกลางคริสต์ศตวรรษที่ 13 บางครั้งเรียกว่า
Pax mongolica หรือสันติสุขมองโกล
กองคาราวานได้เคลื่อนย้ายไปตามถนนสายไหม
เส้นทางการค้าโบราณที่ทอดยาวออกจากประเทศจีนไปยังทะเลดำ เหล่าพ่อค้าเอาผ้าไหม เครื่องลายคราม
ชา และสินค้าอื่น ๆ ไปยังเอเชียตะวันตกและยุโรป แล้วนำอาหารใหม่ ๆ พืชและแร่ธาตุกลับมา นอกจากนี้ ชาวมองโกลยังได้ให้การสนับสนุนการค้าขายทางทะเลกับประเทศที่ตั้งอยู่บนมหาสมุทรอินเดียและทะเลจีนใต้
เหล่าพ่อค้าในเมืองท่าจีนได้ทำการค้าขายสินค้าทั้งจากตะวันออกและตะวันตกอย่างคึกคัก
ความคิดและสิ่งประดิษฐ์ เช่น ดินปืน เดินทางไปพร้อมกับสินค้าสำหรับค้าขาย สิ่งประดิษฐ์จีนได้เข้าไปยังยุโรป บางส่วนของเอเชียและแอฟริกาในช่วงเวลานี้
การติดต่อกับต่างประเทศ การค้าขายได้เจริญสัมพันธไมตรีกับผู้คนและวัฒนธรรมต่างประเทศ
ผู้คนที่มาจากอารเบีย เปอร์เซียและอินเดียมาเยี่ยมชมมองโกลจีน บ่อย ๆ นักการทูตจากที่ไกล
ๆ เช่นยุโรปได้เดินทางไกล อาคันตุกะเหล่านี้ช่วยกระจายข่าวเกี่ยวกับความสำเร็จของอารยธรรมจีน
นอกจากนี้ ผู้แทนแห่งศรัทธาทางศาสนาต่าง
ๆ ยังเข้ามาเยี่ยมชมประเทศจีน กุบไลข่านได้ให้การสนับสนุนพระพุทธศาสนา แต่เขาก็ยินดีต้อนรับผู้คนต่างความเชื่อทั้งหมด
เขาได้เชิญชาวคริสต์ มุสลิมและชาวพุทธไปยังเมืองหลวงเขาอยากให้คนเหล่านั้นบรรยายความคิดของตน
อาคันตุกะชาวยุโรปที่มีชื่อเสียงที่สุดในช่วงเวลานี้
คือ มาร์โค โปโล (Marco Polo) โปโล เป็นพ่อค้าหนุ่มจากเมืองเวนิส อิตาลี
ได้เดินทางตามเส้นทางสายไหมกับพ่อและลุงของเขา เขาเดินทางมาถึงประเทศจีนประมาณคริสต์ศัการาช
1275 และอยู่ที่นั่นเป็นเวลา 17 ปี โปโลกลายเป็นผู้ช่วยกุบไลข่านและได้เดินทางไปทั่วประเทศจีนด้วยภารกิจของรัฐบาล
ต่อมา เขาได้ตีพิมพ์หนังสือเกี่ยวกับการผจญภัยของเขา
หนังสือของโปโลประสบความสำเร็จอย่างมาก แต่อย่างไรก็ตาม ชาวยุโรปหลายคนค้นพบเรื่องเล่าเกี่ยวกับประเทศจีนของเขา
ซึ่งยากที่จะเชื่อ
แม้จักรวรรดิกุบไลข่านจะมีความแข็งแกร่ง
ก็อยู่ได้ไม่นานหลังจากที่กุบไลข่านเสียชีวิต ในเวลาน้อยกว่าหนึ่งศตวรรษ ชาวจีนได้ล้มล้างมองโกลและสร้างจักรวรรดิจีนขึ้นมาใหม่
จีนกลับมาปกครองอีกครั้ง
หลังจากกุบไลข่านเสียชีวิตในคริสต์ศักราช 1294 มองโกลอ่อนแอลงอย่างช้า ๆ ในคริสต์ศักราช 1368 กองทัพกบฏนำโดยจู้หยวนจาง
(Joo yoo•ahn•jahng) ได้ล้มล้างจักรพรรดิมองโกล
 |
แจกันลายครามแห่งราชวงศ์หมิงเป็นรูปดอกบัว ซึ่งเป็นศิลปะพื้นบ้านทั่วไปในจีน |
จักรพรรดิหมิงองค์แรก จู้หยวนจางได้ก่อตั้งราชวงศ์หมิงในคริสต์ศักราช
1368 และกลายเป็นจักรพรรดิองค์แรก ภายใต้ชื่อหงหวู่ (Hongwu
- hung•woo) พระองค์ได้ให้การสนับสนุนลัทธิขงจื้อและได้นำการสอบเข้ารับราชการกลับมาใช้
พระองค์ได้สร้างถนนและคลองขึ้นมาใหม่เพื่อช่วยการค้าขาย นอกจากนี้เขาสร้างและขยายกำแพงเมืองจีนใหม่เพื่อปรับปรุงระบบการป้องกันจีน
หงหวู่ ยังช่วยเกษตรกรโดยการลดภาษีและให้พวกเขามีที่ดินทำกิน
อย่างไรก็ตาม หงหวู่ ได้เริ่มขยายอำนาจส่วนตัว
พระองค์ได้ล้มเลิกตำแหน่งของนายกรัฐมนตรีและเข้าควบคุมหน่วยงานราชการทั้งหมด พระองค์ตัดสินใจด้วยพระองค์เองโดยไม่ได้ปรึกษาที่ปรึกษา
พระองค์ได้จัดตั้งหน่วยสืบราชการลับไปสอดแนมผู้คน นอกจากนี้ พระองค์รับสั่งให้จับกุมผู้คนหลายหมื่นคนในข้อหากบฏและรับสั่งให้ฆ่า
 |
พระราชวังต้องห้าม ส่วนใหญ่สร้างในสมัยราชวงศ์หมิง เป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวชั้นนำของจีน |
การปกครองของหย่งเล่อ (Yongle) หงหวู่เสียชีวิตในปีคริสต์ศักราช 1398 พระองค์ได้แต่งตั้งหลานชายเพื่อให้เขาประสบความสำเร็จ
แต่ทุกคนไม่ยอมรับทางเลือกนั้น การต่อสู้เพื่ออำนาจจึงเริ่มขึ้น หลังจากกานต่อสู้ผ่านไปเกือบห้าปี
หย่งเล่อ (yung•law) บุตรชายคนหนึ่งในบรรดาบุตรชายหลายคนของหงหวู่
ประกาศตัวเองเป็นจักรพรรดิ
หย่งเล่อ ก็เหมือนบิดาของเขา เป็นผู้นำที่มีความแข็งแกร่ง
มีความสามารถ ภายใต้การปกครองของเขา ราชวงศ์หมิงมีอำนาจรุ่งเรืองสุดขีด ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ที่สุดอย่างหนึ่งของเขาคือการขยายเมืองหลวงปักกิ่ง
ณ ส่วนหนึ่งของเมือง มีกำแพงสูงถึง 30 ฟุต ล้อมรอบอาคารและวัดวาอารามที่ซับซ้อนมากกว่า
800 แห่ง ความสลับซับซ้อนนี้กลายเป็นที่รู้จักกันว่า เป็นพระราชวังต้องห้าม (Forbidden
City) เพราะไพร่เมืองและชาวต่างชาติไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปในเมืองนั้น
พระราชวังต้องห้ามเป็นสัญลักษณ์ของอำนาจและความสามารถของจีน
หย่งเล่อต้องการให้ชาวโลกรู้จักความยิ่งใหญ่ของเขา
ความปรารถนานั้นได้นำไปสู่ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่อีกอย่างหนึ่ง ในตอนต้นคริสต์ศตวรรษที่
14 หย่งเล่อได้ส่งคณะเดินทางทางทะเลหนึ่งชุดไปแสวงหาอารยธรรมอื่น ๆ
การค้าขายและเดินทางไปยังต่างประเทศ
หย่งเล่อต้องการเครื่องบรรณาการจากประเทศอื่น ๆ เครื่องบรรณาการคือค่าตอบแทนที่ผู้ปกครองหรือคณะผู้บริหารประเทศประเทศหนึ่งให้กับอีกประเทศหนึ่งเพื่อความแน่ใจในการปกป้อง
เพื่อให้บรรลุเป้าหมายนี้ หย่งเล่อได้สร้างเรือเดินสมุทรอันยิ่งใหญ่
 |
แผนที่การเดินเรือของเจิ้งเหอ ค.ศ. 1405 - 1433 |
การเดินเรือของเจิ้งเหอ (Zheng
He) หย่งเล่อได้เลือกเจิ้งเหอ (Zheng He – juhng
huh) เป็นผู้บัญชาการเรือ เจิ้งเหอเป็นมุสลิมที่เจริญเติบโตขึ้นมาในทางตะวันตกเฉียงใต้ของจีน
ภายใต้การดูแลของหย่งเล่อ เขาเป็นผู้นำการเดินทางเจ็ดครั้ง
การเดินทางเหล่านี้เสร็จสมบูรณ์ระหว่างคริสต์ศักราช 1405 และ
1433 นักวิชาการประเมินการเดินทางว่าครอบคลุม 100,000 ไมล์และแวะเยือนประเทศประมาณ 30
ประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อินเดีย อารเบียและแอฟริกา (ดูแผนที่)
การเดินเรือไปยังต่างประเทศของเจิ้งเหอเป็นที่น่าประทับใจ
หลายครั้งมีเรือมากที่สุดถึง 300 ลำและผู้คนถึง 28,000 คน นอกจากกะลาสีและลูกเรือแล้ว ยังมีทหาร แพทย์ พ่อครัว อาลักษณ์และช่างไม้เป็นคณะ
ๆ เรือบรรทุกอาหารเพียงพอสำหรับการเดินเรือทุกครั้ง น้ำถูกเติมเต็มทุก ๆ สิบวัน เรือบรรทุกทองและเงิน
ผ้าไหม เครื่องลายครามและน้ำหอม
ในขณะที่เดินทาง เจิ้งเหอได้เผยแพร่สิ่งของเหล่านี้เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนสินค้าจากประเทศที่เขาไปเยือน
เขานำเครื่องเทศ อัญมณี สมุนไพรและสัตว์ที่แปลกใหม่ เช่น ม้าลายนกกระจอกเทศและยีราฟกลับมาสู่ประเทศ
ในการเดินทางครั้งหนึ่ง เขากลับมาพร้อมกับตัวแทนรัฐบาลจากประเทศ 30 ประเทศที่แตกต่างกัน การค้าขายยังต่างประเทศและชื่อเสียงของจีนเป็นที่รู้จักกันมากขึ้น
เพราะการเดินทางของเจิ้งเหอ การเดินทางยังให้ข้อมูลไปยังราชสำนักเกี่ยวกับต่างประเทศ
การเปลี่ยนแปลงนโยบาย ประมาณคริสต์ทศวรรษที่ 1430 หย่งเล่อและเจิ้งเหอเสียชีวิต ผู้นำของจีนได้ถกเถียงกันว่าจะดำเนินการการส่งกองทัพเรือขนาดใหญ่ออกเดินทางไกลต่อไปหรือไม่
ผู้นับถือลัทธิขงจื้อบางพวกไม่เห็นด้วยกับการเดินทางเพราะพวกเขากลัวว่าการค้าขายมากขึ้นจะทำให้จีนเป็นประเทศเชิงพาณิชย์มากเกินไป
พวกเขาต้องการให้จีนยังคงเป็นประเทศเกษตรกรรม ผู้นำคนอื่น ๆ ต้องการเงินมาใช้ในการป้องกันประเทศมากกว่าการสำรวจ
พวกเขาคิดว่าจีนจำเป็นต้องมีการป้องกันที่ดีจากการโจมตีโดยพวกที่ร่อนเร่จากเอเชียกลาง
ผู้นำจีนจำนวนมากได้ถกเถียงกันว่าประเทศจีนเป็นประเทศมีสังคมที่มั่งคั่งและทันสมัยมากที่สุดในโลกอยู่แล้ว พวกเขาเชื่อว่าจีนไม่จำเป็นต้องรับส่วยจากดินแดนต่างประเทศ
นอกจากนี้ พวกเขาเชื่อว่าผู้คนที่อยู่ในสถานที่อื่น
ๆ ก็ไม่มีอะไรที่จะสอนจีน ประมาณกลางคริสต์ศตวรรษที่ 14 การปกครองของราชวงศ์หมิงได้ยุติการสำรวจทางทะเล
แม้ว่าการสำรวจจะยุติลง จีนไม่ได้ถูกแยกออกจากส่วนอื่น
ๆ ของโลก พ่อค้าชาวจีนได้ขยายการค้ากับเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ นอกจากนี้ เรือชาวอังกฤษ โปรตุเกสและดัตช์ ก็ได้เดินทางไปยังประเทศจีน
ประมาณตอนต้นคริสต์ศตวรรษที่ 16 จีนได้ค้าขายผ้าไหม ชาและเครื่องลายครามแลกกับความหลากหลายของสินค้าตะวันตกรวมทั้งเงิน
ราชวงศ์สุดท้าย
ราชวงศ์หมิงเสื่อมอำนาจลงหลังจากผ่านไปเกือบ 300 ปี นักปกครองอ่อนแอ
ภาษีสูงและข้าวยากหมากแพงนำไปสู่การก่อจลาจล
ทางทิศเหนือของจีนเรียกว่าภูมิภาคแมนจูเรีย (Manchuria) ชาวแมนจูเรียได้รับการเรียกขานว่า
แมนจู (Manchus) ในคริสต์ศัคกราช 1644 ชาวแมนจูใช้ประโยชน์จากจุดอ่อนของราชวงศ์หมิงและพิชิตจีน
พวกเขาเริ่มก่อตั้งราชวงศ์ชิง (Qing หรือ chihng)
เช่นเดียวกับผู้ปกครองราชวงศ์หมิง
ราชวงศ์แมนจู ได้อนุญาตให้มีการค้าขายบางส่วน โดยทั่วไป แม้ว่าพวกเขาจะจำกัดการติดต่อกับต่างประเทศ
แต่ความพยายามของพวกเขาที่จะจำกัดอิทธิพลจากต่างประเทศในประเทศจีนก็ล้มเหลว
ชาวต่างชาติส่วนใหญ่มาจากยุโรปมีความกระตือรือร้นที่จะทำการค้ากับประเทศจีน ด้วยการสนับสนุนจากอำนาจทางทหาร ชาวต่างชาติเหล่านี้ก็บังคับให้จีนค้าขายกับพวกเขา
ในระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 18 อังกฤษ ฝรั่งเศส
เยอรมัน รัสเซีย และญี่ปุ่น แต่ละประเทศก็ได้จัดตั้งพื้นที่อิทธิพลพิเศษขึ้นในประเทศจีน
ในพื้นที่เหล่านี้พวกเขาได้ควบคุมเศรษฐกิจของจีน
การเจริญเติบโตของอิทธิพลจากต่างประเทศในประเทศจีนทำให้อำนาจของผู้ปกครองราชวงศ์ชิงอ่อนแอลง
นอกจากนี้ยังทำให้ชาวจีนจำนวนมากเคียดแค้นอีกด้วย
ในคริสต์ศักราช 1911 การปฏิวัติก็เริ่มขึ้น ซึ่งในไม่ช้าก็ล้มล้างจักรพรรดิแห่งราชวงศ์ชิง
การบริหารแบบใหม่เป็นสาธารณรัฐมีผู้นำที่ได้รับเลือกมาจากการเลือกตั้ง
ตั้งแต่การปฏิวัติครั้งนั้น จีนไม่เคยกลับไปปกครองแบบราชวงศ์อีกเลย
มรดกของจีน
สิ่งประดิษฐ์ของชาวจีนจำนวนมากยังคงเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตของเราในปัจจุบันนี้
เข็มทิศ รถสาลี่และร่มเป็นสิ่งประดิษฐ์เพียงไม่กี่ชิ้นในบรรดาสิ่งประดิษฐ์ของจีนจำนวนมากที่ผู้คนยังคงใช้อยู่ สิ่งประดิษฐ์เหล่านี้บางอย่างเป็นผลมาจากการแก้ปัญหา สิ่งประดิษฐ์อื่น ๆ
อาจเป็นเพียงเหตุบังเอิญ
 |
เครื่องวัดการสั่นสะเทือนของแผ่นดินไหว (Seismoscope) |
เครื่องวัดการสั่นสะเทือนของแผ่นดินไหว
อดีต นักวิทยาศาสตร์จีนได้ประดิษฐ์เครื่องวัดการสั่นสะเทือนของแผ่นไหว ที่เรียกว่า Seismoscope ขึ้นในปี ค.ศ. 132 เป็นแจกกันสัมฤทธิมีมังการ 8 ตัวอยู่รอบแจกัน แต่ละตัวจะคาบลูกกลม ๆ ไว้ในปาก เมื่อแผ่นดินไหว ลูกกลม ๆ จะตกลงไปในปากกบ (ดูภาพด้านล่าง) ข้างใดตก อาจจะเป็นไปได้ว่า แผ่นดินไหวเกิดขึ้นทางทิศนั้น
 |
เครื่องวัดแผ่นดินไหวในปัจจุบัน |
ปัจจุบัน พวกเราใช้เครื่องวัดแผ่นดินไหวที่สามารถบันทึกแผ่นดินไหวได้ พร้อมทั้งวัดขนาดของแผ่นดินไหวได้ด้วย (เป็นริกเตอร์)
ธนบัตร
 |
จีนเป็นประเทศแรกที่ใช้ธนบัตร |
อดีต จีนเป็นชาติแรกที่ใช้ธนบัตร ในคริสต์ศตวรรษที่ 8 สมัยราชวงศ์ถัง เรียกว่า "Flying Cash"
ปัจจุบัน ธนบัตรมีใช้ทุกประเทศทั่วโลก
การสอบเข้ารับราชการ
 |
การสอบเข้ารับราชการ |
อดีต จีนเป็นประเทศแรกที่ใช้การทดสอบเข้ารับราชการในราชสำนัก
ปัจจุบัน มีการทดสอบการเรียนการสอนไปทั่วโลก ทั้งในโรงเรียน และสอบเข้ารับราชการ
ดอกไม้เพลิง
 |
พลุไฟ |
อดีต กว่า 1,000 ปีมาแล้วที่พ่อครัวชาวจีนได้ทำผงสีดำที่จุดไฟแล้วระเบิด เมื่อผลสีดำใส่ในบั้งไม้ไผ่แล้วจุดไฟ มันจะพุ่งขึ้นไประเบิดบนท้องฟ้า
ปัจจุบัน เทคโนโลยีนี้นำมาใช้ผลิดดินปืนและเป็นอาวุธในปัจจุบัน ดอกไม้ไฟก็ใช้จุดฉลองในโอกาสต่าง ๆ