การทรุดโทรมและมรดกของโรม
โรมและศาสนาคริสต์
ความเชื่อทางศาสนาของชาวโรมันได้รับอิทธิพลจากศาสนาของวัฒนธรรมยุคแรก
ในขณะที่ศาสนาคริสต์แผ่กระจายไปทั่วโลกยุคโบราณก่อนคริสต์ศักราช 100
แต่โรมพยายามที่จะควบคุมศาสนาใหม่
 |
แผนที่แสดงลำดับเหตุการณ์โรมและโลก |
 |
แผนที่การแบ่งแยกจักรวรรดิโรมัน ค.ศ. 395 พื้นที่สีเหลือ คือ จักรวรรดิโรมันตะวันตก พื้นที่สีม่วง คือ จักรวรรดิโรมันตะวันออก |
 |
แผนที่แสดงลำดับเหตุการณ์สมัยโรมโบราณและโลก |
นโยบายของกรุงโรมที่มีต่อศาสนาคริสต์
โดยทั่วไป โรมอดทนต่อการปฏิบัติกิจทางศาสนาของผู้คนจนได้รับชัยชนะ
ยกตัวอย่างเช่น โรมไม่ต้องการให้ชาวยิวนมัสการพระเจ้าจักรพรรดิและเทพเจ้าโรมันอื่น
ๆ อย่างไรก็ตามโรมจะไม่ปล่อยให้ศาสนาของราษฎรก่อการจลาจล สำหรับเหตุผลนั่น เมื่อการประท้วงของชาวยิวเริ่มขึ้นในกรุงเยรูซาเล็ม
โรมันได้ทำลายวิหารของชาวยิวในคริสต์ศักราช 70
ภัยคุกคามของศาสนาคริสต์ การปฏิเสธที่จะบูชาเทพเจ้าโรมันของชาวคริสเตียนถูกมองว่าเป็นรูปแบบของการก่อจลาจล
นอกจากนี้ การเรียกร้องของศาสนาคริสต์ที่มีต่อทาสและผู้หญิงก่อให้เกิดสัญญาณการเตือนภัย
ในที่สุด การพูดคุยเกี่ยวกับผู้นำที่จะสร้างอาณาจักรใหม่ ดูเหมือนจะบ่งบอกถึงการสิ้นสุดของจักรวรรดิโรมัน
ในขณะที่ผู้ที่ไม่ใช่ยิวหรือบุคคลที่ไม่ใช่ยิวจำนวนมากกว่า ได้เข้าร่วมการเคลื่อนไหวทางศาสนาคริสต์โดยการเปลี่ยนให้ไปนับถือศาสนาคริสต์
ชาวโรมันก็รู้สึกว่าถูกคุกคาม
 |
มหาวิหารนักบุญเปโดร (St. Peter's Basilica) เป็นหนึ่งในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดของชาวคริสต์ |
การข่มเหงของชาวโรมัน ในไม่ช้า ความหวาดกลัวศาสนาคริสต์ของชาวโรมัน
ได้นำไปสู่การเป็นศัตรูที่คุกรุ่น ผู้ปกครองโรมันบางคนกล่าวหาชาวคริสเตียนทางการเมืองและปัญหาทางเศรษฐกิจ
ยกตัวอย่างเช่น จักรพรรดิเนโร (หรือ นีโร – Nero) กล่าวหาว่าชาวคริสเตียนจุดไฟเผากรุงโรมจนราบเรียบเป็นส่วนมากในคริสต์ศักราช
64 ในช่วงศตวรรษที่สอง การประหัตประหารชาวคริสต์ ได้ทวีความรุนแรงมากขึ้น
หลายคนถูกคุมขังหรือฆ่าเพราะศาสนาของพวกเขา กระนั้น คนเป็นจำนวนมาก ก็ยังเปลี่ยนไปนับถือศาสนาคริสต์
ชาวคริสเตียนพวกอื่น ๆ และแม้ผู้ที่ไม่คริสเตียนบางพวก
ได้ยกย่องให้ชาวคริสเตียนผู้ถูกข่มเหงว่าเป็นผู้ยอมพลีชีพเพื่อศาสนา Martyrs
คือ บุคคลที่มีความยินดีที่จะเสียสละชีวิตของพวกเขาเพื่อประโยชน์ของความเชื่อหรือความมุ่งหมาย
ในระหว่างการข่มเหงของชาวโรมัน ผู้ยอมพลีชีพเพื่อศาสนาชาวคริสเตียนมักจะถูกฝังในสุสานใต้ดิน
ที่เรียกว่า catacombs (สุสาน) ชาวคริสเตียน ได้รวมตัวกันในสุสานเพื่อเฉลิมฉลองงานศพของผู้ยอมพลีชีพเพื่อศาสนา
เช่นเดียวกับพิธีกรรมและพิธีอื่น ๆ
 |
สุสานใต้ดินในกรุงโรมมีซอกฝังศพติดกำแพงและภาพวาดพระเยซู |
ศาสนาของโลก แม้จะมีการประหัตประหารเหล่าสาวกของศาสนาคริสต์ ศาสนาคริสต์ก็ได้กลายเป็นมีพลังที่ทรงประสิทธิภาพ
ประมาณตอนปลายคริสต์ศตวรรษที่ 2 มีชาวคริสต์ล้านคน
อาศัยอยู่ในจักรวรรดิโรมันและไกลออกไป ศาสนาคริสต์เป็นที่นิยมด้วยเหตุผลหลายประการ
เช่น
•ศาสนาโอบอุ้มทุกคน
ทั้งชายและหญิง ผู้ที่เป็นทาส คนจนและขุนนาง
•ให้ความหวังแก่ผู้หมดหนทาง
•จิตวิญญาณของความเชื่อทำให้ผู้ที่ถูกรังเกียจจากรูปแบบการดำเนินชีวิตที่หรูหราของเศรษฐีชาวโรมันให้สนใจ
•ศาสนาคริสต์ให้ความสัมพันธ์ส่วนตัวกับความรักของพระเจ้า
•คำสอนของศาสนาคริสต์ส่งประกายให้ชีวิตนิรันดร์หลังความตาย
ในขณะที่ศาสนาขยายตัว ชุมชนที่นับถือศาสนาคริสต์ให้การสนับสนุนสมาชิกของพวกเขา
ชาวคริสเตียน ได้จัดตั้งโรงพยาบาล โรงเรียน และการบริการสังคม อื่น ๆ เป็นผลให้ความเชื่อมั่นของพวกเขาดึงดูดเหล่าสาวกมากยิ่งขึ้น
ในไม่ช้าก็เร็ว จำนวนของเหล่าสาวกจะรวมผู้ศรัทธาที่มีประสิทธิภาพมากให้เป็นหนึ่ง
การเปลี่ยนศาสนาของจักรพรรดิคอนสแตนติน
ในคริสต์ศักราช 306 จักรพรรดิคอนสแตนติ (KAHN•stuhn•TEEN)
กลายเป็นจักรพรรดิแห่งกรุงโรม ตอนแรก จักรพรรดิคอนสแตนติอนุญาตให้ประหัตประหารชาวคริสต์
อย่างไรก็ตาม ในคริสต์ศักราช 312 พระองค์ได้เปลี่ยนแปลงนโยบายที่มีต่อศาสนาคริสต์
ในขณะที่พระองค์กำลังต่อสู้กับคู่แข่งสามคนเพื่อการเป็นผู้นำของกรุงโรม
ไม้กางเขนเป็นสัญลักษณ์ ในท่ามกลางการต่อสู้ จักรพรรดิคอนสแตนติน
ได้อธิษฐานเพื่อขอความช่วยเหลือ หลังจากนั้น พระองค์ก็รายงานว่าได้มองเห็นไม้กางเขนของชาวคริสต์ในท้องฟ้าพร้อมกับคำพูดเหล่านี้:
"ด้วยสัญลักษณ์นี้ ท่านจะพิชิต" พระองค์ได้สั่งทหารของพระองค์ นำสัญลักษณ์ไม้กางเขนไปติดไว้บนโล่และธงรบ
จักรพรรดิคอนสแตนตินและกองกำลังของพระองค์ได้ชัยชนะการต่อสู้ จักรพรรดิผู้ได้รับชัยชนะได้ให้ความชื่อถือว่าความสำเร็จของพระองค์มาจากพระเจ้าของศาสนาคริสต์
การให้อำนาจตามกฎหมายแก่ศาสนาคริสต์ จักรพรรดิคอนสแตนตินได้หยุดการประหัตประหารชาวคริสต์ในทันที
จากนั้นในพระราชกฤษฎีกาที่รู้จักกันว่า พระราชกฤษฎีกาแห่งมิลาน (Edict
of Milan) พระองค์ได้ทำให้ศาสนาคริสต์เป็นหนึ่งในศาสนาที่ต้องถูกตามกฎหมายของจักรวรรดิ
จักรพรรดิคอนสแตนตินได้สร้างวิหาร ใช้สัญลักษณ์คริสเตียนบนเหรียญ และทำให้วันอาทิตย์เป็นวันศักดิ์สิทธิ์ของการพักผ่อนและการเคารพบูชา
แต่จักรพรรดิที่นับถือศาสนาคริสต์ของกรุงโรมองค์แรก ได้ขยายเวลาการเปลี่ยนไปนับถือศาสนาคริสต์อย่างเป็นทางการของพระองค์เองจนสิ้นสุดพระชนม์ชีพของพระองค์
 |
แผนที่การเผยแพร่ศาสนาคริสต์ ในจักรวรรดิโรมัน ค.ศ. 600 |
---------------------------------------------
ผู้สร้างประวัติศาสตร์
จักรพรรดิคอนสแตนติน (มีชีวิตระหว่างคริสต์ศักราช 280 – 337)
 |
ภาพโมเสกจักรพรรดิคอนสแตนติน |
จักรพรรดิคอนสแตนตินเป็นนักรบที่อำมหิตและประสบความสำเร็จ นอกจากนี้
พระองค์ยังเป็นนักศึกษาผู้เคร่งครัดศาสนาใหม่ของพระองค์ คือ ศาสนาคริสต์ พระองค์ได้เขียนคำอธิษฐานพิเศษสำหรับกองกำลังของพระองค์และพระองค์ยังได้เดินทางไปพร้อมกับโบสถ์เคลื่อนย้ายในเต็นท์
จักรพรรดิคอนสแตนติออกคำสั่งให้สร้างโบสถ์คริสต์เป็นจำนวนมากในจักรวรรดิโรมัน
จักรพรรดิคอนสแตนติน ได้ก่อตั้งเมืองคอนสแตนติโนเปิล
(Constantinople – ปัจจุบันนี้ คือ กรุงอิสตันบูล,
ตุรกี) เป็นเมืองหลวงใหม่ เป็นศูนย์กลางของศาสนาคริสต์เป็นเวลาถึงหนึ่งพันปีถัดมา
พระองค์ถูกฝังอยู่ในโบสถ์ของผู้เผยแพร่ศาสนาในกรุงคอนสแตนติโนเปิล ในคริสต์ศักราช
337 อนุสาวรีย์ที่อุทิศให้กับอัครสาวก 12 คนล้อมรอบหลุมฝังศพของจักรพรรดิคอนสแตนติน จักรพรรดิคอนสแตนติน ซึ่งเป็นจักรพรรดิคริสเตียนคนแรก
ถือว่าตัวเองเป็นอัครสาวกของพระเยซูองค์ที่ 13
----------------------------------------------
ศาสนาคริสต์เปลี่ยนแปลงกรุงโรม ในคริสต์ศักราช
380 จักรพรรดิธีโอโดเซียส (Theodosius) ได้ทำให้ศาสนาคริสต์เป็นศาสนาอย่างเป็นทางการของกรุงโรม
สิบเอ็ดปีต่อมา จักรพรรดิธีโอโดเซียส ได้ปิดโบสถ์ที่ไม่ได้เป็นศาสนาคริสต์ทั้งหมด พระองค์กล่าวว่า
"ประชาชนทุกชาติที่เราปกครองควรจะปฏิบัติศาสนาที่ปีเตอร์อัครสาวกส่งไปยังชาวโรมัน"
การเริ่มต้นของนิกายโรมันคาธอลิก ศาสนาคริสต์ในเมืองโรมันได้รับเอาโครงสร้างทั่วไป
พระสงฆ์และผู้ดูแลวัดเชื่อฟังพระสังฆราช (bishops) หรือผู้นำคริสตจักรท้องถิ่น
ตามประเพณีโรมันคาทอลิก บิชอปคนแรกของกรุงโรม คือ อัครสาวกปีเตอร์ ต่อมา บิชอปผู้ใหญ่แห่งกรุงโรมจะกลายเป็นบาทหลวงที่สำคัญที่สุดหรือสมเด็จพระสันตะปาปา
(Pope) นี่เป็นจุดเริ่มต้นของนิกายโรมันคาทอลิก นิกายศาสนาคริสต์นิกายหนึ่งที่ก่อรากฐานในกรุงโรม
คาทอลิก (Catholic
)หมายความว่า "สากล"
นักเขียนคริสเตียนในยุคแรกบางคน
ที่ได้รับการเรียกว่าบิดาแห่งคริสตจักร ได้พัฒนาลัทธิความเชื่อหรือสภาวะของความเชื่อ
ลัทธิความเชื่อนี้ได้ทำให้ความเชื่อเด่นขึ้นในรูปตรีเอกานุภาพ (สำหรับชาวคริสเตียน
ชาวคริสตัง เรียกว่า ตรีเอกภาพ – Trinity) หรือการรวมกันเป็นหนึ่งในภาวะอันเป็นทิพย์สามภาวะ
คือ พระบิดา พระบุตร (พระเยซู) และพระวิญญาณบริสุทธิ์ในพระเจ้าองค์เดียว ออกัสติน
บิดาแห่งคริสตจักรจากแอฟริกาเหนือ สอนว่ามนุษย์ต้องการพระกรุณาคุณของพระเจ้าที่จะได้รับความคุ้มครอง
ต่อมาเขาก็สอนว่าคนไม่สามารถที่จะได้รับพระกรุณาคุณของพระเจ้าจนกว่าพวกเขาจะเป็นคริสตจักร
คริสตจักรยังได้พัฒนาพิธีกรรมทางศาสนาตามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในชีวิตของพระเยซู
การล้างบาป ซึ่งเป็นพิธีการทำให้บริสุทธิ์โดยน้ำ ได้ส่งสัญญาณการเข้ามาในคริสต์ของพระเยซู
พิธีเป็นสัญลักษณ์การยอมรับผู้ศรัทธาทุกคนเข้ามาในศาสนา
เพื่อจะมีชีวิตอยู่แบบชีวิตคริสเตียนที่ดีเลิศและเพื่อเฉลิมฉลองการให้ศีลเหล่านี้พร้อมกัน
ผู้ชายและผู้หญิงที่นับถือศาสนาคริสต์ ได้ก่อให้เกิดชุมชนที่เรียกว่า monasteries ขึ้น เมื่อเวลาผ่านไป เหล่าผู้ชายก็ได้เข้ามาสู่การบรรพชาที่สูงส่งของคริสตจักร
กลายเป็นหัวหน้าบาทหลวง นักบวชและพระลูกวัด ศาสนาคริสต์เปลี่ยนจากนิกายขนาดเล็กไปสู่ศาสนาที่มีประสิทธิภาพ
อุดมสมบูรณ์
อย่างไรก็ตาม
ในขณะที่ศาสนาคริสต์เจริญขึ้น จักรวรรดิโรมันก็เสื่อมลง
 |
ภาพนกพิราบที่หน้าต่างกระจกมหาวิหารนักบุญเปโดร มักจะใช้เป็นสัญลักษณ์พระวิญญาณบริสุทธิ์เสมอ |
การเสื่อมโทรมและล่มสลายของจักรวรรดิ
ความอ่อนแอในจักรวรรดิ
ในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 1 จักรวรรดิยังคงดูเหมือนจะแข็งแรงขึ้นเรื่อย
ๆ จนมีคนมากที่สุด แต่เริ่มจะมีปัญหาภายในคุกคามการดำรงอยู่ของกรุงโรมมาเรื่อย ๆ
 |
กรุงโรมไม่สามารถหยุดการบุกรุกของชนเผ่าเจอร์มานิกที่บุกมาเป็นระลอก ๆ ได้ รูปปั้นทหารขี่ม้านี้ เป็นชนเผ่าเจอร์มานิก ที่เรียกกันว่า Lombards (ชนชาวแคว้นลอมบาร์ดี้) |
ปัญหาด้านเศรษฐกิจ ปัญหาบางส่วนของกรุงโรมมาจากเศรษฐกิจที่อ่อนแอ
ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 1 จักรวรรดิหยุดการขยายตัว การสิ้นสุดของชัยชนะครั้งใหม่หมายถึงการสิ้นสุดการขยายตัวไปยังแหล่งความมั่งคั่งแห่งใหม่
เป็นผลให้รัฐบาลเพิ่มภาษี สร้างความยากลำบากให้กับประชาชน
การเสื่อมโทรมในภาคเกษตรยังทำให้จักรวรรดิอ่อนแออีกด้วย
การศึกสงครามและการใช้มากเกินไปมีอย่างต่อเนื่องทำให้พื้นที่เกษตรถูกทำลาย
นอกจากนี้เทคโนโลยีก็ไม่ได้รับการปรับปรุง เพราะเกษตรกรต้องพึ่งพาทาสมากกว่าเครื่องมือใหม่
ๆ ในการทำงาน ทำให้เกิดการขาดแคลนอาหาร อันก่อให้เกิดจากความไม่สงบ
 |
กำแพงเฮเดรียนในเกาะบริเตนเป็นเขตแดนทางตอนเหนือของจักรวรรดิโรมัน |
ปัญหาทางด้านทหาร ในขณะเดียวกัน ครั้งหนึ่ง
วงการทหารที่มีประสิทธิภาพของกรุงโรม เริ่มแสดงอาการมีปัญหา
จักรวรรดิทำสงครามกับคนเร่ร่อนในภาคเหนือและตะวันออกเฉียงเหนืออยู่ตลอดเวลาและกับคนที่อาศัยอยู่ตามแนวชายแดนตะวันออกอีกด้วย
โรมต้องการกองทัพขนาดใหญ่เพื่อรับผิดชอบต่อภัยคุกคามจำนวนมากเช่นนั้น จึงได้ว่าจ้างทหารรับจ้างต่างประเทศ
ทหารรับจ้าง (mercenary - MUR •suh•NEHR•ee) คือ ทหารที่ได้รับจ้างวาน
ทหารรับจ้างมักจะไม่มีความจงรักภักดีต่อจักรวรรดิ เมื่อเวลาผ่านไปทหารโรมันทั่วไปที่มีระเบียบวินัยและมีความจงรักภักดีมีจำนวนน้อยกว่า
พวกเขาให้สัตย์ปฏิญาณจะจงรักภักดีไม่ใช่ต่อโรม แต่จะจงรักภักดีต่อผู้นำทหารแต่ละคน
ปัญหาทางด้านการเมืองและสังคม ขนาดที่แท้จริงของจักรวรรดิโรมันทำให้ยากที่จะบริหาร
เจ้าหน้าที่ของรัฐมีปัญหาในการรับข่าวเกี่ยวกับกิจการในภูมิภาคที่ห่างไกลของจักรวรรดิ
นี่เองที่ทำให้มันยากขึ้นที่จะทราบว่าที่ใดมีปัญหาเพิ่มขึ้น นอกจากนี้เจ้าหน้าที่ของรัฐหลายคนยังทุจริต
แสวงหาเพียงเพื่อที่จะเสริมสร้างตัวเองให้ร่ำรวย ปัญหาทางการเมืองเหล่านี้ ได้ทำลายความรู้สึกความเป็นพลเมืองของผู้คน
ชาวโรมันหลายคนไม่มีความรู้สึกในภาระหน้าที่ต่อจักรวรรดิอีกต่อไป ด้านอื่น ๆ
ของสังคมโรมันยังได้รับความเดือดร้อนเช่นกัน ค่าใช้จ่ายการศึกษาเพิ่มขึ้นจนชาวโรมันที่ยากจนเห็นว่ามันยากที่จะได้รับการศึกษา
ประชาชนได้รับการพัฒนาทางด้านข่าวสารเกี่ยวกับเรื่องประชาสังคมน้อยลง
กรุงโรมแบ่งออกเป็นตะวันออกและตะวันตก
การเปลี่ยนแปลงของจักรพรรดิที่เป็นไปเรื่อย ๆ อย่างรวดเร็ว ทำให้รัฐบาลอ่อนแออีกด้วย ในช่วง 49 ปี ตั้งแต่
คริสต์ศักราช 235-284 โรมมีจักรพรรดิ 37 คน ในจำนวนนี้ 34 คน เสียชีวิตในสงครามกลางเมืองหรือถูกลอบสังหาร เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงจักรพรรดิบ่อยขึ้น
ชาวโรมันจึงมีความสำนึกเล็กน้อยต่อการปกครองที่เป็นระเบียบเรียบร้อย
การแบ่งแยกจักรวรรดิ ในคริสต์ศักราช 284 จักรพรรไดโอคลีเซียน (Diocletian
- DY•uh•KLEE•shuhn) ได้ยึดอำนาจ พระองค์ได้ฟื้นฟูระเบียบให้กับจักรวรรดิโดยการปกครองด้วยกำปั้นเหล็กและทนความขัดแย้งเล็ก
ๆ น้อย ๆ ไดโอเชียนได้เปลี่ยนแปลงวิธีการให้กองทัพดำเนินการโดยการวางกองกำลังอย่างถาวรที่พรมแดนจักรวรรดิ
นอกจากนี้เขายังแนะนำให้ปฏิรูปเศรษฐกิจ ตัวอย่างเช่น เพื่อช่วยในการเลี้ยงคนยากจน พระองค์ยังคงราคาอาหารให้ต่ำไว้
นอกจากนี้ ไดโอเชียนได้ตระหนักว่าพระองค์ไม่สามารถปกครองอาณาจักรขนาดใหญ่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ในคริสต์ศักราช 285 พระองค์ได้แบ่งอาณาจักรออกเป็นส่วนตะวันออกและส่วนตะวันตก พระองค์เองปกครองส่วนทางทิศตะวันออก
และได้เลือกพื้นที่นี้เพื่อความมั่งคั่งและการค้าขายที่ใหญ่ขึ้น และให้เป็นเมืองที่งดงาม
ไดโอเชียนได้แต่งตั้งแม็กซิมิเลียน (Maximilian) ให้ปกครองจักรวรรดิตะวันตก
บุรุษทั้งสองได้ปกครองเป็นเวลา 20 ปี
เมืองหลวงแห่งใหม่ ในคริสต์ศักราช 306 สงครามกลางเมืองได้ระอุไปทั่วจักรวรรดิ
ผู้บัญชาการกองทัพสี่คน ได้ต่อสู้เพื่อการควบคุมส่วนแบ่งทั้งสองส่วน
หนึ่งในผู้บัญชาการเหล่านี้ คือ คอนสแตนติน (Constatine)
เขาได้เข้าควบคุมในช่วงสงครามกลางเมืองและกลายเป็นจักรพรรดิ
การกระทำที่สำคัญครั้งที่สองของคอนสแตนตินปรากฏในคริสต์ศักราช
330 เมื่อพระองค์ได้ย้ายเมืองหลวงของจักรวรรดิจากกรุงโรมไปยังเมืองกรีกโบราณ
ชื่อ ไบแซนเทียม (Byzantium - bih•ZAN•shee•uhm) คอนสแตนตินได้เปลี่ยนชื่อเมือง
เป็นคอนสแตนติโนเปิล (Constantinople)
ที่สี่แยกระหว่างตะวันออกและตะวันตก เมืองได้ตั้งอยู่อย่างมั่นคงเพื่อการป้องกันและการค้าขาย
เมืองหลวงแห่งใหม่ ได้ส่งสัญญาณการเปลี่ยนแปลงอำนาจจากส่วนตะวันตกของจักรวรรดิไปยังส่วนตะวันออก
 |
คอนสแตนติโนเปิล คือ เมืองอิสตันบูลของตุรกีในปัจจุบัน
ในภาพจะมองเห็นสุเหร่าสีฟ้า (Blue Mosque) ในเมืองอิสตันบูล |
จักรวรรดิตะวันตกล่มสลาย
นอกจากปัญหาภายใน ชาวโรมันต้องเผชิญกับปัญหาที่สำคัญอีก กลุ่มชาวต่างชาติก็รุมล้อมอยู่รอบ
ๆ ชายแดนของกรุงโรม ในไม่ช้าพวกเขาก็ได้บุกรุก และจักรวรรดิที่เสื่อมลงอย่างช้า ๆ
กลับหายนะอย่างรวดเร็ว
 |
แผนที่การบุกรุกจักรวรรดิโรมัน ค.ศ. 350 - 500 |
การบุกรุกและชัยชนะ ประชาชนดั้งเดิมจำนวนหนึ่งและกลุ่มอื่น
ๆ ได้อาศัยอยู่ทางชายแดนของกรุงโรม ชาวโรมันดูหมิ่นกลุ่มคนเหล่านี้
แต่ยังกลัวพวกเขา สำหรับชาวโรมัน ประชาชนดั้งเดิมเป็นคนป่าเถื่อน สำหรับชาวโรมันโบราณ
คำว่า อนารยชน (barbarian) หมายถึง บางคนที่เป็นคนดั้งเดิมและไม่มีวัฒนธรรม
ชาวโรมันใช้คำนั้นกับใครก็ได้ที่อาศัยอยู่นอกอาณาจักร
ในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 3 กลุ่มชนดั้งเดิมนี้เริ่มผลักดันเข้าไปดินแดนโรมัน
เหตุผลของการบุกรุกแตกต่างกัน บางคนมามองหาดินแดนที่ดีกว่าหรือหาวิธีการที่จะมีส่วนร่วมกับความมั่งคั่งของกรุงโรม
คนอื่น ๆ เป็นจำนวนมาก หนีกลุ่มผู้บุกรุกที่โหดร้ายจากเอเชียที่รู้จักกันว่าชาวฮั่น
(Huns – เป็นประชากรส่วนใหญ่ในประเทศจีน)
กรุงโรมล่มสลาย ในคริสต์ศักราช 410 ประชาชนดั้งเดิม (คือชาวนอร์สเม็น หมายความว่า
“ผู้มาจากทางเหนือ” และเป็นคำที่ใช้สำหรับชนนอร์ดิคที่เดิมมาจากทางตอนไต้และตอนกลางของสแกนดิเนเวีย ชาวนอร์สได้ตั้งถิ่นฐานและอาณาบริเวณการปกครองในดินแดนต่าง ๆ
ที่รวมทั้งบางส่วนของหมู่เกาะฟาโร อังกฤษสกอตแลนด์ เวลส์ ไอซ์แลนด์ ฟินแลนด์ ไอร์แลนด์ รัสเซีย อิตาลี แคนาดา กรีนแลนด์ฝรั่งเศส ยูเครน เอสโตเนีย ลัตเวีย และ เยอรมนี)
ได้โจมตีและปล้นกรุงโรม ปล้นหมายถึงการแย่งชิงหรือการถือเอาสิ่งต่าง ๆ โดยการบังคับขู่เข็ญ
เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่กอลยึดกรุงโรม
เมื่อ 390 ปี ก่อนคริสต์ศักราช ซึ่งผู้เข้ามารุกรานเป็นเผ่าเร่ร่อนที่เข้ามาสู่กรุงโรม
ในที่สุด ชาวฮั่นก็จบุกรุกจักรวรรดิ ในคริสต์ศักราช 476
ชนเผ่าดั้งเดิมพิชิตโรม ยุคนี้นับเป็นการล่มสลายของจักรวรรดิโรมันตะวันตก
 |
กระโหลกศีรษะชาวเจอร์มานิกยังมีเส้นผมติดอยู่ ขมวดผมเป็นลักษณะเฉพาะของชาวเจอร์มานิก |
ผลพวงจากการล่มสลายของกรุงโรม ในหลายปีต่อมา
การครอบครองครั้งสุดท้ายของอำนาจโรมันในส่วนตะวันตกก็ล่มสลาย ในคริสต์ศักราช 486 โคลวิส
(Clovis - KLOH•vihs) ผู้นำของกลุ่มดั้งเดิมที่รู้จักกันว่า
ชนแฟรงค์ (Franks) ได้พิชิตดินแดนที่เหลือของโรมันในจังหวัดกอล
(ปัจจุบัน คือ ฝรั่งเศสและสวิตเซอร์แลนด์) และก่อตั้งอาณาจักรแฟรงค์ขึ้น
หลังจากการล่มสลายของกรุงโรม
การดำเนินชีวิตในยุโรปตะวันตก ได้เปลี่ยนแปลงไปหลายแนวทาง ถนนและอาคารสาธารณะอื่น
ๆ ทรุดโทรมลง และการค้าและการพาณิชย์ได้เสื่อมลง ราชอาณาจักรดั้งเดิม ได้เรียกร้องสิทธิ์ดินแดนของชาวโรมันในอดีต
และนิกายโรมันคาทอลิกก็รวมกันและมีประสิทธิภาพ
แม้ว่าส่วนตะวันตกของจักรวรรดิได้ล่มสลาย
ส่วนตะวันออกก็ยังคงอยู่รอด ซึ่งจักรวรรดินี้ก็ได้กลายเป็นที่รู้จักกันว่า จักรวรรดิไบแซนไทน์
(Byzantine Empire)
อาณาจักรไบแซนไทน์ (Byzantine)
คอนสแตนตินได้ย้ายเมืองหลวงจากจักรวรรดิไปยังไบแซนเทียม และเปลี่ยนชื่อใหม่เป็นกรุงคอนสแตนติโนเปิล
นักประวัติศาสตร์ได้ตั้งชื่ออาณาจักรไบแซนไทน์ตามชื่อเดิมของเมือง
อาณาจักรยังคงอยู่ต่อไป
จักรวรรดิไบแซนไทน์ดำเนินไปอย่างต่อเนื่องเป็นเวลาประมาณ 1,000
ปีหลังจากที่จักรวรรดิโรมันตะวันตกล่มสลาย จักรพรรดิแห่งอาณาจักรไบแซนไทน์เป็นผู้ปกครองเผด็จการ
นั่นหมายความว่าเขามีอำนาจสิทธิขาด เช่นเดียวกับเหล่าจักรพรรดิของจักรวรรดิตะวันตก
เหล่าจักรพรรดิไบแซนไทน์ก็พยายามที่จะให้ประชาชนดั้งเดิมและผู้บุกรุกอื่น ๆ
ออกจากดินแดนของพวกเขา แม้จะมีความพยายามของพวกเขา ดินแดนไบแซนไทน์ส่วนมากก็ล่มสลาย
 |
ภาพโมเสกของจักรพรรดิจัสติเนียน |
จักรพรรดิจัสติเนียน ผู้ปกครองที่เกรียงไกรชื่อจัสติเนียนก็สามารถฟื้นฟูการควบคุมบางส่วนของที่ดินโรมที่ล่มสลายไห
และได้ขยายจักรวรรดิไบแซนไทน์ จัสติเนียนปกครอง ตั้งแต่คริสต์ศักราช 527-565
ภรรยาของเขา จักรพรรดินีธีโอโดรา (Theodora) เป็นผู้ปกครองที่ทรงประสิทธิภาพเช่นกัน
กองทัพของจัสติเนียนได้พิชิตดินแดนสูญเสียไปคืนมา รวมทั้งอิตาลี แอฟริกาตอนเหนือ และชายฝั่งทางตอนใต้ของประเทศสเปน
 |
ฮาเยียโซเฟียหรือฮาเจียโซเฟีย สร้างโดยจักรพรรดิจัสติเนียน เป็นโบสถ์ที่ใหญ่ที่สุดในคอนสแตนติโนเปิล ปัจจุบันเป็นพิพิธภัณฑ์ในเมืองอิสตันบูล |
การสร้างกรุงคอนสแตนติโนเปิลขึ้นมาใหม่ จัสติเนียนเริ่มสร้างกรุงคอนสแตนติโนเปิล
ซึ่งได้รับความเสียหายในระหว่างการประท้วงอีกด้วย เขาสร้างกำแพงเมืองขึ้นมาใหม่และสร้างโรงเรียน
โรงพยาบาล ศาลและโบสถ์ โบสถ์ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดคือสุเหร่าโซเฟีย (Hahia
Sohpia - HAY•ee•uh•Soh•FEE•uh) ชื่อของมันหมายถึง
"ปัญญาอันศักดิ์สิทธิ์ (Holy Wisdom)" คอนสแตนติโนเปิลก็กลับมาเป็นเมืองที่รุ่งเรืองอีกครั้ง
การอนุรักษ์วัฒนธรรมโรมัน จัสติเนียนได้รับการจดจำได้ดีที่สุดเกี่ยวกับประมวลกฎหมายที่ได้รับการพัฒนาในช่วงการปกครองของเขา
เขาได้แต่งตั้งคณะกรรมการเพื่อสร้างประมวลกฎหมายบนพื้นฐานของกฎหมายโรมัน
ผู้เชี่ยวชาญเหล่านี้ได้ละทิ้งกฎหมายที่ล้าสมัยและเขียนกฎหมายอื่น ๆ
ขึ้นมาใหม่เพื่อทำให้กฎหมายเหล่านั้นชัดเจน ใหม่ ประมวลกฎหมายที่เหมือนกันนั้น เรียกว่า
ประมวลกฎหมายจัสติเนียน (Justinian Code) มันรวมถึงกฎหมายการแต่งงาน การเป็นทาส
ทรัพย์สิน สิทธิสตรีและความยุติธรรมทางอาญา
แม้ว่าพวกเขาจะพูดภาษากรีก ชาวไบแซนไทน์ก็คิดว่าตัวเองเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมประเพณีของชาวโรมัน
นักเรียนนักศึกษาชาวไบแซนไทน์ วรรณกรรมและประวัติศาสตร์ละติน กรีกและโรมัน ด้วยวิธีนี้ อาณาจักรทางทิศตะวันออกก็ได้อนุรักษ์วัฒนธรรมกรีกและโรมันไว้
ในอาณาจักรทางทิศตะวันตกสมัยก่อน วัฒนธรรม
ประชาชนดั้งเดิมได้ผสมผสานวัฒนธรรมโรมันกับวัฒนธรรมของพวกเขาเอง อย่างไรก็ตาม พวกเขาได้สูญเสียความรู้ทางวิทยาศาสตร์และปรัชญา
ของชาวกรีกและโรมันเป็นอันมาก
---------------------------------------------
ผู้สร้างประวัติศาสตร์
จักรพรรดินีธีโอโดรา (มีชีวิตระหว่างคริสต์ศักราช 500 – 548)
 |
ภาพโมเสกจักรพรรดินีธีโอโดรา |
ธีโอโดราเป็นจักรพรรดินีของไบแซนเทียม ซึ่งผิดปกติ เมื่อพิจารณาภูมิหลังของเธอ
ธีโอโดราเป็นนางละคร และสังคมไบแซนไทน์ก็ดูหมิ่นนางละคร
แต่จัสติเนียน ผู้เป็นรัชทายาทแห่งบัลลังก์ ได้แต่งงานกับธีโอโดรา ในคริสต์ศักราช 525
ทางเลือกของเขาเป็นทางเลือกที่ดี
จัสติเนียนและธีโอโดรากลายเป็นจักรพรรดิและจักรพรรดินีในคริสต์ศักราช
527 ในคริสต์ศักราช 532 ผู้ก่อการจลาจลขู่ว่าจะคว่ำรัฐบาล
ธีโอโดราได้กระตุ้นให้จัสติเนียนไม่ให้หนี ตัวเธอเองก็ไม่ยอมหนี
ความกล้าหาญของเธอเป็นแรงบันดาลใจจัสติเนียนและแม่ทัพของเขาได้ตีกบฏให้พ่ายแพ้
ต่อมา ธีโอโดราได้ผ่านกฎหมายที่ช่วยเหลือหญิง
ผู้หญิงที่หย่าร้างได้รับสิทธิมนุษยชนมากกว่า เธอได้ก่อตั้งบ้านเพื่อจะดูแลเด็กผู้หญิงที่ยากจน
เธอยังได้เสนอการป้องกันชนกลุ่มน้อยทางศาสนาอีกด้วย
ธีโอโดรา
ราชินีแห่งโรม มเหสีของพระเจ้าจัสติเนียน
เกิดที่กรุงคอนสแตนติโนเปิล ราว ค.ศ. 508 บิดามีอาชีพเป็นคนเลี้ยงสัตว์ป่า
และถูกหมีกัดตาย ธีโอโดรามีพี่น้อง
3 คน หลังพ่อตายเด็กทั้งสามจึงออกไปรับทำงานต่ำๆ
ในโรงละครสัตว์เพื่อหาเงินเลี้ยงตนเองกับแม่
คนโรมันในนครแห่งนี้นับว่าเป็นผู้คลั่งไคล้การละเล่นต่าง ๆ มาก
การจัดการแสดงจะต้องจัดที่ฮิบโดรม จะมีการจัดเป็นสองฝ่าย คือ ฝ่ายสีเขียว และ
ฝ่ายสีน้ำเงิน ที่ฮิปโดรมให้การสนับสนุน
ครอบครัวของธีโอโดร่าเดิม น่าจะมาจากไซปรัส หรือซีเรีย และเป็นชนชั้นต่ำเตี้ยที่สุดในบีแซนไทน์
พ่อของธีโอโดรา ทำงานฝ่ายสีเขียวเป็นคนเลี้ยงหมี
แต่เขาก็ตเสียชีวิตไปเมื่อบุตรสาวผู้นี้อายุได้เพียง 5 ขวบเท่านั้น พอพ่อตาย ครอบครัวที่เหลืออยู่ ธีโอโดรา แม่ และพี่หนทางรอด
ทว่างานตำแหน่งคนเลี้ยงหมี ก็มีคนชิงตัดหน้า แม่ของธีโอโดราถึงขนาดโวยวายต่อหน้าฝูงชนเพื่อขอความเมตตา
ทั้งสามแทบก้มกราบฝ่ายสีเขียวเพื่อขอความปรานี
แต่ปรากฏว่ามือที่ยื่นมาช่วยกลับไม่ไช่คนของฝ่ายสีเขียว กลับเป็นคนของฝ่ายสีน้ำเงินที่ต้องการหักหน้า
จึงรับสามีใหม่ของแม่ไว้ทำงาน
เมื่อธีโอโดราอายุ 10 ขวบ
ก็เข้าทำงานกับสำนักนางคณิกากับพี่สาวพออายุได้ 12 ก็เริ่มฝึกเป็นนางละครถึงจะไม่มีชื่อเสียงว่าเป็นศิลปินเช่นกับคนอื่นๆ
นางก็สามารถดึงดูดความสนใจจากบรรดาชายหนุ่มและไม่หนุ่มทั้งหลายที่พากันมาเป็นแขกของนางธีโอโดรารับแขกได้หลายคนตลอดวันอย่างไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อยเพราะเธอเป็นผู้หญิงที่มีรูปสวย
ปัญญาดี แต่ธีโอโดราก็ไม่ได้ปล่อยจิตใจให้อยู่กับชายใดและมีความยินดีที่จะติดต่อกับชายคนใหม่ที่ดีกว่าต่อเสมอ
มารดาของธีโอโดราเฝ้าตักเตือนให้นึกถึงอันตรายที่จะเกิดขึ้นกับตนเอง แต่ธีโอโดราบอกกับแม่ของเธอว่าเธอยินดีจะต้อนรับทั้งความยินดีและความโชคร้ายที่ผ่านเข้ามาในชีวิต
ชื่อเสียงของเธอเป็นที่เลื่องลือไปทั่วจนธีโอโดรากลายเป็นสาวสังคม
ไม่ว่าจะมีงานอะไร ที่ไหน ธีโอโดราถูกจ้างให้ไปเเสดง
เมื่ออายุได้ 15 ธีโอโดรา กลายเป็นดาวรุ่งคนใหม่ของฮิปโปโดรม ไม่เพียงแต่ร้องเพลงเก่ง
เต้นรำได้ แต่เธอเป็นนักเล่าเรื่องขบขันและล้อเลียนที่ประชาชนนิยมชมชอบด้วย
ยิ่งกว่านั้น
เธอยังเป็นนักระบำเปลื้องผ้าที่มีชื่อเสียงโด่งดังทั่วนคร
ธีโอโดรา ทำเงินจากการเป็นนักระบำเปลื้องผ้ามากมาย
ยิ่งกว่านั้น เธอยังยอมเป็นโสเภณีตามคำชักชวนของแอนโตนินา
ผู้เป็นหัวหน้าสำนักโสเภณี ที่ชักชวนให้เธอเข้าสู่โสเภณีอาชีพชั้นสูง
นางใช้ชีวิตวนเวียนอยู่เช่นนี้หลายปี จนเป็นที่รู้จักในหมู่ขุนนางและพ่อค้าผู้ร่ำรวย
แต่สำหรับธีโอโดราแล้ว ชื่อเสียงที่ปรากฎ
หรือเงินทองที่หลั่งไหลเข้ามาไม่ได้ทำให้เธอพอใจ ในทางตรงกันข้าม
เธอพยายามจับผู้ชายรวย ๆ เพื่อให้ชีวิตยามขาลงยังคงสบายเหมือนเดิม
แม้จะมีกฎต้องห้ามว่า ห้ามนักแสดงหรือโสเภณีแต่งงานกับชายสูงศักดิ์ แต่นางก็ไม่ยอมปล่อยใจกับผู้ชายทุก ๆ คนที่ได้พบปะพูดคุย...
ในที่สุด โชคชะตาก็นำพาเธอให้ไปได้ดีกับพ่อค้าผู้ยิ่งใหญ่แห่งนครแอนทิอ็อค
ทว่า หลังจากทราบว่าธีโอโดรากำลังตั้งครรภ์
เขาก็ตัดสินใจทิ้งเธอไปในทันที ธีโอโดราเสียใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น ทว่า นางกลับกระทำสิ่งที่เห็นแก่ตัวไม่แพ้กัน
โดยการทิ้งบุตรชายที่พึ่งถือกำเนิดไว้หน้าประตูบ้าน แล้วก็ออกเดินทางค้นหาสิ่งที่ต้องการต่อไป
ธีโอโดราได้ท่องเที่ยวไปทั่วทั้งเมดิเตอเรเนียน
กับคนรักที่มากหน้าหลายตา ทั้งนครอเล็กซานเดรียและเมืองเบงกาซี
ที่อยู่ทางตอนเหนือของลิเบีย ณ ที่แห่งนี้เองที่นางพบกับ "เฮเคโบลัส"
ซึ่งเป็นผู้ว่าราชการแห่งแพนธาโดพลิส
ในวันที่มีงานเลี้ยงฉลองที่เขาได้รับตำแหน่งใหม่และธีโอโดราจึงถูกเชิญไปในงานนี้การพบกับเฮเคโบลัสทำให้ความตั้งใจเปลี่ยนไปเธอยอมเป็นภรรยาของเขาพร้อมทั้งอยู่กินกับเขาอย่างเงียบๆ
ไม่นานนักธีโอโดราจึงเกิดความเบื่อหน่ายที่ต้องถูกทิ้งที่ต้องอยู่ตามลำพังเธอจึงตัดสินใจแอบติดสินบนให้หัวหน้าคนใช้หาชายหนุ่มมาพูดคุยกับนางตอนที่สามีไม่อยู่บ้าน
เฮเคโบลัสได้เห็นเข้าในวันหนึ่ง นางจึงถูดทอดทิ้งและไม่ให้เงินแม้แต่บาทเดียวนางจึงไปหาเพื่อนของนางเซโดเนียที่เคยแสดงละครด้วยกัน
ธีโอโดรา กลับจากคอนสแตนติโนเปิล ก็ไม่ได้กลับไปทำงานที่ฮิปโปโดรมอีก แต่ซื้อบ้านเล็ก
ๆ ใกล้กับพระราชวัง ปั่นขนสัตว์ขายเลี้ยงชีพ
แต่แล้วโชคชะตากลับไม่ได้ปล่อยให้เธอตกอับอยู่นาน
เมื่ออายุได้ 25 ปี ก็ได้พบจัสติเนียน เป็นครั้งแรก ในฐานะที่จัสติเนี่ยนเป็นทั้งผู้สูงศักดิ์และกงสุลผู้ให้การสนับสนุนสีน้ำเงิน
ซึ่งเป็นเส้นทางที่ทำให้เขาได้พบกับธีโอโดรา ตอนนั้นพระองค์มีพระชนมายุได้
40 พรรษา แก่กว่าธีโอโดรา 15 ปี
พระองค์ทรงพระทัยเย็น ทรงเป็นนักอนุรักษ์
แต่ก็ทะเยอทะยาน ที่สำคัญทรงเป็นเจ้าชายรัชทายาทของพระปิตุลาหรือองค์จักรพรรดิจัสติน
ทรงรับนางเข้ามาเป็นสนมลับในวังทันที พระองค์ทรงเห็นว่าธีโอโดราเป็นส่วนเติมเต็มในสิ่งที่พระองค์ขาด
ทรงเป็นคนฉลาด คาดคะเนเก่ง อดทน
และเป็นนักยุทธศาสตร์ แต่ขาดความมั่นใจในการตัดสินใจ ไม่เหมือนกับธีโอโดรา ที่ทุกอย่างของนางปราศจากความกลัว เธอจึงเป็นเหมือนส่วนเติมเต็ใของพระองค์
ด้วยเหตุนี้ ทั้งสองจึงเกิดความรักในกันและกันอย่างลึกซึ้ง
แต่ทว่า ความคิดที่ว่าไม่อาจเป็นไปได้ด้วยกฎข้อห้าม
ว่าชายสูงศักดิ์ห้ามแต่งงานกับนักแสดง จึงต้องมีการเปลี่ยนแปลง
ดังนั้นจัสติเนี่ยนจึงแก้ปัญหาด้วยการเพียรพยายามข้อร้องให้องค์จักรพรรดิจัสตินเปลี่ยนกฎ
จนในที่สุด ความพยายามก็เป็นผลสำเร็จใน ค.ศ. 524 ทั้งสองทรงอภิเษกสมรสกันในปี
ค.ศ. 525 ในโบสถ์ที่สง่างามแห่งซานตา โซเฟียในคอนสแตนติโนเปิล
สองปีต่อมา จักรพรรดิจัสติน ทรงประชวร ได้สถาปนา
พระเจ้าจัสติเนี่ยนขึ้นครองราชย์ โดยปกครองร่วมกับพระองค์ และธีโอโดราจึงได้เป็นราชินี
ทำให้เธอมีชื่อเสียงมาก เพราะเธอไม่ใช่ราชินีธรรมดา
เธอเฉลียวฉลาดจึงเป็นที่ปรึกษาที่ดีของสามี แต่นางเป็นคนโลภมากและขี้อิจฉา ไม่ต้องการใครดีไปกว่าตน
เมื่อเห็นใครดีกว่าผู้นั้นจะถูกฆ่าตายด้วยการวางยาพิษหรือจับถ่วงน้ำ
หรือไม่ก็เชิญให้เป็นแขกผู้มีเกียรติด้วยการมอมเหล้าให้คนฆ่าตาย
พระนางสิ้นเมื่ออายุได้ 40 ปี
ที่ตำบลปี่เนียนเป็นที่พระองค์ทรงเสด็จไปรักษาตัว
---------------------------------------------
 |
แผนที่จักรวรรดิไบแซนไทน์ ค.ศ. 565 |
ความเหลื่อมล้ำกันแบ่งแยกศาสนาคริสต์
การแบ่งแยกจักรวรรดิยังเกิดผลกระทบศาสนาคริสต์ด้วย การปฏิบัติทางศาสนาต่าง
ๆ ได้พัฒนาในโบสถ์คริสต์ในจักรวรรดิตะวันออกและตะวันตก
การปฏิบัติทางวัฒนธรรมและการติดต่อจำกัด ระหว่างสองภูมิภาคก่อให้เกิดความแตกต่างเหล่านี้
การแยกนิกาย ความแตกต่างอย่างหนึ่งจะต้องทำกับเจ้าหน้าที่ของจักรพรรดิในเรื่องคริสตจักร
ในจักรวรรดิตะวันออก จักรพรรดิมีอำนาจเหนือหัวของคริสตจักร ในจักรวรรดิตะวันตกไม่มีจักรพรรดิ
เป็นผลให้สมเด็จพระสันตะปาปาเริ่มอุปโลกน์ความรับผิดชอบมากในฐานะผู้นำของจักรวรรดิตะวันตกในอดีต
ปัญหาระหว่างนิกายทั้งสองเริ่มที่จะเติบโตขึ้น
สมเด็จพระสันตะปาปา อ้างว่าเจ้าหน้าที่ที่มีอำนาจเหนือนิกายทั้งในจักรวรรดิตะวันตกและตะวันออก
อย่างไรก็ตาม เหล่าจักรพรรดิไบแซนไทน์คิดว่าพระองค์เองเป็นผู้มีอำนาจคนสุดท้ายในเรื่องศาสนา
ผู้ได้รับมอบหมายจากสมเด็จพระสันตะปาปาพยายามที่จะเคลื่อนย้ายหัวหน้าทางนิกายตะวันออก นิกายทางตะวันออกได้ตอบโต้โดยการปฏิเสธที่จะยอมรับอำนาจของสมเด็จพระสันตะปาปา
สุดท้าย ในคริสต์ศักราช 1054 นิกายในคริสต์ศาสนาได้แบ่งออกเป็นสองนิกาย
คือ นายกายตะวันตก ที่รู้จักกันว่า นิกายโรมันคาทอลิก (Roman
Catholic Church) และสาขาของคริสต์ศาสนาที่พัฒนาในจักรวรรดิโรมันตะวันออก
รู้จักกันว่า นิกายออร์ธอดอกซ์ตะวันออก (Eastern Orthodox Church) ออร์โธดอกซ์ หมายถึง "การถือครองความเชื่อที่จัดตั้งขึ้นแล้ว” เมื่อเวลาผ่านไป การแตกแยก ได้นำไปสู่การพัฒนาของอารยธรรมยุโรปแยกจากกันสองสาย สายหนึ่งอยู่ในตะวันออกและสายหนึ่งอยู่ในตะวันตก
ศาสนาและรัฐ หลังจากที่แยกเป็นสองนิกาย สมเด็จพระสันตะปาปาก็อ้างว่ามีอำนาจเหนือจักรพรรดิและพระมหากษัตริย์ชาวคริสเตียน
อำนาจนี้อนุญาตให้นิกายโรมันคาทอลิกมีอิทธิพลต่อรัฐบาลซึ่งอยู่ในดินแดนที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิโรมันตะวันตก
ความขัดแย้งระหว่างคริสต์จักรกับพระมหากษัตริย์และจักรพรรดิบางคนของยุโรปตะวันตกจะก่อให้เกิดความขัดแย้งที่สำคัญในเวลาต่อมา
ดังที่ได้ทราบแล้ว จักรพรรดิแห่งจักรวรรดิไบแซนไทน์เป็นผู้ปกครองเผด็จการ
เขามีอำนาจเหนือคริสตจักรเช่นเดียวกับที่มีเหนือรัฐบาล
นั่นหมายความว่าพระมหากษัตริย์ปกครองพระสังฆราช ซึ่งเป็นผู้นำของนิกายออร์ธอดอกซ์ตะวันออก
กล่าวโดยสรุป เหล่าจักรพรรดิไบแซนไทน์มีอำนาจมากกว่าจักรพรรดิหรือกษัตริย์ในจักรวรรดิตะวันตก
----------------------------------------------------------------------
เปรียบเทียบนิกายทั้้้งสองของศาสนาคริสต์
โรมันคาทอลิก
|
ทั้งสองนิกาย
|
อิสเทิร์นออร์ทอดอกซ์
|
1. ผู้นำทางศาสนา
เรียกว่า สมเด็จพระสันตะปาปา (Pope) มีอำนาจเหนือบิชอป
|
1. ศรัทธาในพระเยซูและคัมภีร์ไบเบิล
|
1. ผู้นำเรียกว่าพระสังฆราช (Patriarch)
และบิชอปบริหารคริสตจักรเป็นกลุ่ม
|
2. สมเด็จพระสันตะปาปา มีอำนาจเหนือกษัตริย์และจักรพรรดิทั้งหมด
|
2. ผู้นำเป็นพระและบิชอป
|
2. จักรพรรดิมีอำนาจเหนือเจ้าหน้าที่ของคริสตจักร
|
3. พระอาจจะไม่แต่งงาน
|
3. ทั้งสองนิกายต้องการเปลี่ยนคนให้มานับถือศาสนาคริสต์
|
3. พระอาจจะแต่งงาน
|
4. ใช้ภาษาละติน
|
|
4. ใช้ภาษาท้องถิ่น เช่น กรีก รัสเซีย ฯลฯ
|
จักรวรรดิไบแซนไทน์ล่มสลาย
หลังจากจักรพรรดิจัสติเนียนสิ้นพระชนม์ในคริสต์ศักราช 565
จักรวรรดิไบแซนไทน์ประสบความเสื่อมเป็นอันมาก มีการจลาจลบนถนน การทะเลาะทางศาสนา สงครามแย่งราชบัลลังก์และโรคภัยไข้เจ็บ
นอกจากนี้อาณาจักรก็เผชิญกับภัยคุกคามอย่างต่อเนื่องจากศัตรูต่างชาติ
การโจมตีมาจากทุกทิศทุกทาง ชนชาวสลาฟได้ทำการโจมตีพรมแดนทางภาคเหนืออย่างต่อเนื่อง
ชาวเปอร์เซียที่เกรียงไกรได้โจมตีทางทิศตะวันออก ในคริสต์ศตวรรษที่ 6 ศาสนา ที่เรียกว่า อิสลาม เกิดขึ้นในอารเบีย กองทัพอาหรับ ได้ลุกขึ้นและโจมตีดินแดนใกล้เคียงและกรุงคอนสแตนติโนเปิล
ต่อมา สงครามกลางเมือง ตลอดจนการโจมตีของพวกเติร์กและพวกเซิร์บ ทำให้จักรวรรดิอ่อนแอมากขึ้น
จักรวรรดิไบแซนไทน์ค่อย ๆ หดตัวภายใต้ผลกระทบของการโจมตีเหล่านี้
ประมาณคริสต์ศักราช 1350 ส่วนที่เหลือเป็นส่วนเล็ก ๆ ของคาบสมุทรอนาโตเลียและดินแดนแถบทะเลดำและทะเลอีเจียนยังคงหลงเหลืออยู่ กำแพงเมือง กองทัพเรือ และสถานที่ตั้งทางยุทธศาสตร์ ทำให้กรุงคอนสแตนติโนเปิล
ได้ยืนหยัดมาอีก 100 ปี สุดท้ายในคริสต์ศักราช 1453 กองทัพของพวกเติร์กก็ได้ยึดเมืองหลวง
การพิชิตเมืองเป็นจุดจบของจักรวรรดิไบแซนไทน์ ประมาณพันปีหลังจากการล่มสลายของจักรวรรดิโรมันตะวันตก
 |
ม้าแห่งมหาวิหารซันมาร์โก (Horses of St. Mark's Basilica) ในระหว่างการโจมตีในคริสต์ศตวรรษที่ 12 ชาวเมืองเวนิซได้ยึดม้าสัมฤทธิ์เหล่านี้ จากกรุงคอนสแตนติโนเปิลและนำกลับไปยังเมืองเวนิซ |
มรดกของโรม
ดังที่ได้ทราบแล้วว่า กรีซเป็นอารยธรรมที่โดดเด่นที่สุดในทะเลเมดิเตอร์เรเนียนก่อนโรมัน
ชาวโรมันพิชิตกรีก แต่ลึก ๆ แล้วก็ได้รับอิทธิพลมาจากวัฒนธรรมของกรีก
 |
ภาพวาดฝาผนังหน้ากากละครของชาวโรมันนี้ สะท้อนให้เห็นการใช้หน้ากากในโรงละครของกรีกโบราณ |
วัฒนธรรมโรมัน
วัฒนธรรมโรมันขึ้นอยู่กับคุณค่าของความแข็งแรง ความจงรักภักดีและการปฏิบัติจริง
ชาวโรมันได้รับความคิดของกรีกเกี่ยวกับการเขียนและอุดมคติทางศิลปะแห่งความงามที่สมบูรณ์แบบ
นอกจากนี้ศิลปินและนักเขียนโรมัน ได้สร้างสไตล์เป็นของตนเอง
ผลที่ได้เป็นวัฒนธรรมที่ผสมผสานการปฏิบัติจริงของโรมันกับองค์ประกอบของอุดมคตินิยมของกรีก
ศิลปะ ชาวโรมันนิยมประเภทของศิลปะก่อนหน้านี้ที่เรียกว่า
โมเสค (Mosaic) โมเสค คือ ภาพที่ทำขึ้นโดยการวางหิน กระเบื้องหรือกระจกสีชิ้นเล็ก
ๆ บนพื้นผิว ตัวอย่างของโมเสคสามารถพบได้ในโบสถ์และอาคารอื่น
ๆ ทั่วโลก
ชาวโรมันได้เรียนรู้เกี่ยวกับประติมากรรมจากกรีก
แต่ไม่ปฏิบัติตามประเพณีของกรีกที่แสดงรูปแบบมนุษย์ที่สมบูรณ์แบบเท่านั้น แต่ชาวโรมันสร้างประติมากรรมที่เป็นจิตรกรรมที่เหมือนจริงเป็นรูปปั้นนูนต่ำ
(bas-relief - BAH rih•LEEF) ปฏิมากรรมที่ยกขึ้นเล็กน้อยจะโดดเด่นบนพื้นหลังที่ราบเรียบในรูปปั้นนูนต่ำ
 |
ภาพโมเสก เป็นศิลปะการตกแต่งด้วยชิ้นแก้ว, หิน, หรือกระเบื้องชิ้นเล็ก ๆ ภาพโมเสกของชาวโรมันนี้ค้นพบที่ซีเรีย |
วรรณคดี ชาวกรีกยังมีอิทธิพลต่อวรรณคดีโรมันอีกด้วย
นักเขียนโรมันได้นำรูปแบบของมหากาพย์
ซึ่งเป็นบทกวียาวเกี่ยวกับการผจญภัยของพระเอก มาใช้ คำฉันท์ อินี-อิด (Aeneid)
โดยกวีชาวโรมัน ชื่อ Virgil เป็นมหากาพย์โรมันที่รู้จักกันดี
Virgil เอาแบบอย่างบทกวีของเขาในมหากาพย์กรีกสองบท
คือ โอดิสซีและอีเลียด (the Odyssey and the Iliad)
โอดิสซี เล่าเรื่องการผจญภัยของวีรบุรุษ ชื่อ อีเนียส (Aeneas) ผู้รอดชีวิตจากสงครามโทรจันและแล่นเรือไปยังอิตาลี
ดังที่ได้ทราบแล้วว่า งานเขียนและสุนทรพจน์ของซิเซโร
(Cicero) ให้ภาพของชีวิตโรมันและเพิ่มความรู้แก่เราด้านประวัติศาสตร์โรมัน ซิเซโรเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านสุนทรพจน์ ซึ่งเป็นศิลปะการพูดในที่สาธารณะ
สุนทรพจน์ คือ วิธีการที่สำคัญในการชักชวนสำหรับนักการเมืองโรมัน
ชาวโรมันยังเขียนเกี่ยวกับปรัชญาอีกด้วย
จักรพรรดิ มาร์กุส เอาเรลิอุส (Marcus Aurelius) ได้เขียนงานชิ้นสำคัญ
“Meditations” ซึ่งเป็นผลงานที่อธิบายแนวความคิดของลัทธิสโตอิก
(Stoicism - STOH•ih•SIHZ•uhm) ลัทธิสโตอิก ที่พัฒนาขึ้นโดยนักปรัชญากรีก
เน้นความสำคัญของคุณธรรม ความรับผิดชอบและความอดทนในการใช้ชีวิต
ภาษา ละติน (Latin) ซึ่งเป็นภาษาของกรุงโรม
เป็นอีกหนึ่งแง่มุมที่ยั่งยืนของวัฒนธรรมโรมัน
เมื่อเวลาผ่านไปละตินกลายเป็นกลุ่มของภาษาที่เรียกว่า ภาษาโรแมนติก (Romance
languages) (คำว่า Romance
มาจากคำว่า Roman) ปัจจุบันนี้ ภาษาโรแมนติก
ได้พูดกันในหลาย ๆ ประเทศที่มีดินแดนที่ครั้งหนึ่งเคยปกครองโดยโรม
เปรียบเทียบรากศัพท์ที่มาจากภาษาละตินของคำในกลุ่มภาษาโรมานซ์ (Romance Words)
ภาษา
|
พ่อ
|
ดี
|
ชีวิต
|
แม่
|
อังกฤษ
|
father
|
good
|
life
|
mother
|
ละติน
|
pater
|
bonus
|
vita
|
mater
|
สเปน
|
padre
|
bueno
|
vida
|
madre
|
ฝรั่งเศส
|
pѐre
|
bon
|
vie
|
mѐre
|
โปรตุเกส
|
pai
|
bom
|
vida
|
mᾶe
|
อิตาลี
|
padre
|
buono
|
vita
|
madre
|
โรมาเนีย
|
tᾶta
|
bun
|
viatậ
|
mamậ
|
 |
ต้นฉบับระบายสีประกอบนี้เขียนเป็นภาษาละตินในประเทศงกฤษ ในคริสต์ศตวรรษที่ 11 |
สถาปัตยกรรมและวิศวกรรม
สถาปัตยกรรมกรีกโรมันมีอิทธิพลกับสิ่งก่อสร้างโรมัน ดังที่ได้ทราบแล้วเกี่ยวกับรูปแบบอาคารกรีก
ที่มีการใช้เสาหิน จั่ว และสัดส่วนที่สง่างาม
ชาวโรมันใช้องค์ประกอบเหล่านี้ แต่เพิ่มความคิดของตัวเองเข้าไปด้วย
ผู้ชมจากทั่วทุกมุมอาณาจักรประหลาดใจสถาปัตยกรรมของกรุงโรม
โค้งโดมและคอนกรีตมารวมกันสร้างโครงสร้างอันน่าตื่นเต้น เช่น โคลอสเซียม (Colosseum)
รูปแบบใหม่ของสถาปัตยกรรม สถาปนิกผู้สร้างโรมันเป็นวิศวกรที่ยอดเยี่ยม
พวกเขาพบวิธีการใหม่ในการปรับปรุงโครงสร้างของอาคาร ความคิดเหล่านี้รวมถึงซุ้มประตู
หลังคาโค้ง และโดม หลังคาโค้ง คือ เส้นโค้งที่ก่อรูปแบบเป็นเพดานหรือหลังคา
การพัฒนาในการก่อสร้างอาคารของชาวโรมันทำให้มีศักยภาพในการสร้างอาคารขนาดใหญ่สูง
อาคารสมัยใหม่มากมาย ได้ยืมองค์ประกอบของการออกแบบและโครงสร้างของชาวโรมัน โดมของอาคารหน่วยงานของรัฐในสหรัฐฯ
(the Dome of the U.S. Capitol Building) เป็นตัวอย่างที่รู้จักกันดี
วัสดุก่อสร้างใหม่ ชาวโรมันได้พัฒนารูปแบบคอนกรีตที่ทั้งเบาและแข็งแรง
พวกเขาเทส่วนผสมลงในกำแพงกลวงหรือบนรูปแบบโค้งเพื่อจะสร้างหลังคาโค้งที่แข็งแกร่ง
คอนกรีต คือ วัสดุก่อสร้างทั่วไปในปัจจุบันนี้
ท่อระบายน้ำ ดังที่ได้ทราบแล้วว่า ชาวโรมันสร้างท่อระบายน้ำขึ้นเพื่อนำน้ำไปยังเมือง
ท่อระบายน้ำหลักสิบเอ็ดท่อ ได้นำน้ำไปยังกรุงโรม ท่อน้ำที่ยาวที่สุด ยาว 57 ไมล์ ท่อน้ำยังสามารถพบได้ในประเทศฝรั่งเศสและสเปน
ดินแดนที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิโรมัน
ถนน ชาวโรมันมีชื่อเสียงโดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านคุณภาพของถนนของพวกเขา
ในช่วงเวลา 312 ก่อนคริสต์ศักราช ชาวโรมันได้สร้างถนนเส้นแรกในบรรดาถนนหลายสายขึ้น
เรียกว่า แอปเปียนเวย์ (Appian Way) และทอดตรงไปยังตะวันออกเฉียงใต้จากกรุงโรม
ในเวลานั้น ระบบของถนนทอดกระจายไปทั่วจักรวรรดิ โรมเป็นศูนย์กลางของเครือข่ายนี้
ถนนของโรมันหลายสาย สร้างขึ้นเพื่อให้ทหาร
สามารถเคลื่อนย้ายได้อย่างรวดเร็วไปยังสถานที่ในอาณาจักรที่พวกเขาต้องการ
ระบบถนนยังเพิ่มการค้าขายขึ้น เพราะเหล่าพ่อค้าและนักธุรกิจ สามารถขนย้ายสินค้าของพวกเขาได้ง่ายขึ้น
แม้ว่าระบบถนนได้ช่วยเชื่อมจักรวรรดิโรมันเข้าด้วยกัน มันก็เป็นการง่ายขึ้นสำหรับศัตรูของจักรวรรดิที่จะการบุกรุก
 |
ถนนของชาวโรมันจะสร้างเป็นหลายชั้น ความกว้างเฉลี่ยของถนนอยู่ที่ 15 ถึง 18 ฟุต |
ศาสนาและกฎหมาย
อารยธรรมที่ยิ่งใหญ่ทิ้งเครื่องหมายผ่านความคิดและสิ่งของที่เราสามารถสัมผัสและเห็นได้ จักรวรรดิโรมันสร้างคุณูปการที่ยั่งยืนในสาขาวิชาศาสนาและกฎหมาย
 |
ปฏิมากรรมแห่งความยุตินี้ตั้งอยู่บนยอดตึกศาลของสหรัฐ (Court House) มีตราชั่งวัดความผิดและความถูก ดาบเอาไว้ตัดสินความผิด ผ้าปิดตา หมายความว่า ความยุติธรรมเป็นความเสมอภาค |
การเผยแพร่ศาสนาคริสต์ จักรวรรดิโรมันมีบทบาทสำคัญในการเผยแพร่ศาสนาคริสต์
มิชชันนารีชาวคริสต์ได้เปลี่ยนคนในจักรวรรดิเป็นอันมากมานับถือศาสนาคริสต์ และถึงแม้ว่าผู้นำชาวโรมันจะต่อต้านศาสนาคริสต์ในช่วงแรก
ๆ ต่อมา พวกเขาก็อ้าแขนรับคำสอนของศาสนาคริสต์และทำให้เป็นศาสนาอย่างเป็นทางการ
ในฐานะที่เป็นอาณาจักรที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดในโลกในเวลานั้น โรมได้ช่วยพัฒนาให้ศาสนาคริสต์เป็นศาสนาที่สำคัญ
เมื่อจักรวรรดิโรมันตะวันตกตกล่มสลาย
คริสต์ศาสนาก็รุ่งเรืองอย่างต่อเนื่องในดินแดนอดีตของจักรวรรดิ พระราชาและพระราชินีดั้งเดิมกลายเป็นคริสเตียน
นอกจากนี้จักรวรรดิไบแซนไทน์ก็ได้ส่งเสริมศาสนาคริสต์ในจักรวรรดิตะวันออก ศาสนาคริสต์จึงมีอิทธิพลมาจนถึงปัจจุบันนี้
ปัจจุบัน ผู้คนประมาณหนึ่งในสามในโลกเป็นชาวคริสเตียน
กฎหมายและรัฐบาลโรมัน บางทีมรดกที่ยั่งยืนและแพร่กระจายอย่างกว้างขวางมากที่สุดของกรุงโรม
ก็คือระบบของกฎหมาย ผู้พิพากษาและผู้นำทางการเมืองชาวโรมัน ได้จัดตั้งกฎหมายที่สะท้อนให้เห็นอุดมการณ์สโตอิกเกี่ยวกับหน้าที่และคุณธรรม
พวกเขาเน้นความเป็นธรรมและสามัญสำนึก
กฎหมายโรมันได้ส่งเสริมหลักการปฏิบัติเท่าเทียมกันภายใต้กฎหมายและข้อสันนิษฐานว่าผู้
ที่ถูกกล่าวหาว่าก่ออาชญากรรมเป็นผู้บริสุทธิ์
หลักการของกฎหมายโรมันได้ยั่งยืนก่อเป็นรูปแบบของระบบกฎหมายในหลายประเทศในยุโรปและในประเทศสหรัฐอเมริกา ในที่สุด กรุงโรมได้จัดตั้งรูปแบบรัฐบาลโดยผู้แทนราษฎรที่หลายประเทศใช้อยู่ในปัจจุบัน โรมได้เริ่มต้นในฐานะเป็นสาธารณรัฐซึ่งประชาชนทั่วไปถืออำนาจมาก ในระหว่างเวลานี้ ชาวโรมันได้จัดตั้งสภาต่าง ๆ ขึ้น รวมทั้งวุฒิสภาเพื่อออกกฎหมายและแสดงความคิดเห็นของประชาชน ปัจจุบันนี้ สภามีอยู่ในหลายประเทศทั่วโลก เช่น ในสหรัฐอเมริกาสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา คือ สภาที่เป็นตัวแทนหลักทั้งสองสภาของประเทศ พลเมืองของประเทศเลือกตั้งสมาชิกสภาและวุฒิสภา สมาชิกของแต่ละสภา ทำงานรังสรรค์และผ่านกฎหมายตามความต้องการของประชาชนที่พวกเขาเป็นตัวแทน
อิทธิพลของโรมันในปัจจุบัน
สหรัฐอเมริกาได้ยืมแนวความคิดบางอย่างของชาวโรมันเกี่ยวกับโครงสร้างของการปกครอง
แต่ชาวโรมันยังมีอิทธิพลต่อวัฒนธรรมในประเทศสหรัฐอเมริกาในรูปแบบอื่น ๆ แนวความคิดของพวกเขาเกี่ยวกับสถาปัตยกรรมและการสร้างถนนสามารถเห็นได้ในอาคารและระบบทางหลวงของสหรัฐ
แนวความคิดของพวกเขาเกี่ยวกับการปกครองและความเป็นพลเมืองก็ยังเหลือเป็นมรดกที่สำคัญ
โดม
 |
โดมสถาปัตยกรรมโรมัน |
อดีต สถาปนิกโรมันทดลองใช้รูปโค้งเป็นวงกลมเป็นชุด
ๆ ในการสร้างโดม โดมของวิหารแพนนธีอัน สูง 142 ฟุต วิหารแพนธีอันสร้างขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่พระเจ้า
ต่อมาก็กลายเป็นคริสตจักรและในที่สุดก็เป็นวิหารแห่งชาติในอิตาลี
 |
โดมตึกรัฐสภาแห่งสหรัฐ |
ปัจจุบัน สถาปัตยกรรมสำหรับตึกรัฐสภาของสหรัฐฯ
ใช้แนวความคิดของโดมโรมัน โดมของรัฐสภา สูง 287 ฟุต เสริมยอดด้วยรูปปั้นสูงเกือบ
20 ฟุตที่เรียกว่าอนุสาวรีย์เทพีเสรีภาพ
 |
ความแข็งแกร่งของโดมเหมือนกับไข่ ถ้าเราเอามือกดไข่ตามแนวตั้ง ไข่จะไม่แตก (เหมือนภาพ) |
ถนน
 |
ถนนของโรมันโบราณ |
อดีต ถนนโรมันสร้างขึ้นเพื่อให้กองกำลังทหารสามารถเคลื่อนทัพได้อย่างง่ายดายทั่วจักรวรรดิ
ภายใต้การปกครองของจักรพรรดิไดโอคลีเชียน จักรวรรดิโรมันมีถนนสายหลัก 372 เส้น ครอบคลุมพื้นที่ประมาณ
53,000 ไมล์
 |
ระบบถนนในสหรัฐ |
ปัจจุบัน สหรัฐอเมริกาเป็นประเทศที่ยังอยู่ในความขับเคลื่อน
มีถนนยาวเกือบ 4 ล้านไมล์ ระบบระหว่างรัฐครอบคลุม 46,467 ไมล์
ความเป็นพลเมือง
 |
รูปปั้นเซเนกา |
อดีต ชาวโรมันมากมายมีความรู้สึกที่แข็งแกร่งแห่งความเป็นพลเมืองหรือความมุ่งมั่นที่จะช่วยกันและสังคม
ความรู้สึกของหน้าที่นี้ถูกปลูกฝังโดยนักปรัชญาสโตอิกส์แห่งโรมัน เช่น เซเนกา เซเนกาและสโตอิกกลุ่มอื่น ๆ สนับสนุนประชาชนให้ใช้บทบาทอย่างแข็งขันในกิจการสาธารณะ
 |
การลงคะแนนเสียงในสหรัฐ แสดงหน้าที่ความเป็นพลเมือง |
ปัจจุบัน แนวความคิดของลัทธิสโตอิกเกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ของประชาชนยังคงช่วยส่งเสริมความเป็นพลเมือง
ตัวอย่างของการเป็นพลเมืองที่ดีในประเทศสหรัฐอเมริการวมถึงการลงคะแนนและกิจกรรมที่เป็นประโยชน์ต่อทุกคนในสังคม
เช่น การรีไซเคิล