สงครามโลกครั้งที่ 1
(World
War I)
|
||
การเริ่มขึ้นของสงครามโลก
ในฤดูร้อนของปี
ค.ศ. 1914 (พ.ศ. 2457) เริ่มขึ้นในทวีปยุโรป
หลายชาติจากทั่วโลกก็เข้าร่วมการสู้รบในทันที
มีปัจจัยหลายอย่างที่นำไปสู่ความขัดแย้งของโลกในครั้งนี้ ซึ่งเรียกว่า
สงครามโลกครั้งที่ 1 (World
War I)
สาเหตุที่สำคัญ
ประมาณศตวรรษที่ 1900
ลัทธิชาตินิยมได้สร้างการแข่งขันขึ้นในหลายประเทศของทวีปยุโรป ผู้คนกำลังมุ่งไปสู่สงครามเพื่อพิสูจน์ความยอดเยี่ยมของชาติตนเอง
ในเวลาเดียวกันนั้น บางกลุ่มที่ต้องการก่อตั้งรัฐประชาชาติ (ปัจจุบันเรียก
รัฐชาติ) ของตนเองขึ้นก็ยังถูกชาติอื่นปกครองอยู่ ยกตัวอย่างเช่น ผู้คนในคาบสมุทรบอลข่านในทวีปยุโรปตะวันออกเฉียงใต้ต้องการเป็นอิสระจากจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี
จึงเริ่มเคลื่อนไหวลัทธิชาตินิยมขึ้นซึ่งสร้างความตึงเครียดในคาบสมุทรบอลข่าน
ลัทธิจักรวรรดินิยมได้เพิ่มปัญหาให้กับทวีปยุโรป
ชาติอุตสาหกรรมได้แข่งขันกันล่าอาณานิคมอย่างรุนแรง
ประชาชนจำนวนมากมีความเชื่อว่า ถ้าประเทศของพวกเขามีจักรวรรดิ ก็จะมีอำนาจที่ยิ่งใหญ่
การแข่งขันเพื่อยึดครองดินแดนโพ้นทะเลได้นำไปสู่วิกฤตการณ์มากมายซึ่งจวนเจียนจะก่อให้เกิดสงคราม
ในต้นศตวรรษที่ 1900
ชาติยุโรปหลายชาติยังเริ่มสร้างกองทัพขนาดใหญ่อีกด้วย หลายชาติใช้เวลาสร้างอาวุธที่ทันสมัยอย่างหนัก
หลายประเทศได้ใช้กองทัพทั้งแสดงความแข็งแกร่งและคุกคามศัตรู
ชาตินิยมเข้มข้นขึ้น
การแข่งขันตึงเครียดขึ้น และกองทัพเจริญเติบโตขึ้น จึงทำให้ชาติยุโรปหลายชาติเกิดความกลัวซึ่งกันและกัน
จึงเริ่มสร้างสัมพันธมิตรใหม่ ๆ ขึ้นเพื่อปกป้องตนเอง สมาชิกของสัมพันธมิตรเดียวกันได้ตกลงสัญญาจะปกป้องซึ่งกันและกันถ้าชาติใดถูกโจมตี
การจุดประกายสงคราม
ใน ค.ศ.
1914 (พ.ศ. 2457) ทวีปยุโรปตกอยู่ในสถานการณ์เสี่ยงต่อการเกิดสงคราม
ความตึงเครียดได้ระเบิดขึ้นระหว่างจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการีกับเซอร์เบียเหนือบริเวณบางส่วนของจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการีซึ่งชาวเซิร์บมีความปรารถนาที่เลวร้าย
ครั้นแล้ว ในวันที่ 28 มิถุนายน พวกชาตินิยมเซอร์เบียก็ได้ปลงพระชนม์อาร์ชดยุก
ฟรันซ์ แฟร์ดีนันด์ (Archduke Francis (or Franz) Ferdinand - ตำแหน่งเจ้าชายของออสเตรีย) ซึ่งเป็นรัชทายาทที่จะขึ้นครองบัลลังก์จักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการีและชายาของพระองค์
ด้วยความพยายามในการแก้แค้น จักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการีก็ได้ประกาศสงครามกับเซอร์เบีย
ระบบสัมพันธมิตรได้แบ่งแยกทวีปยุโรปออกเป็นฝ่ายสงครามสองฝ่าย
มหาอำนาจกลาง (Central
Powers) นำโดยจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการีกับเยอรมนี ฝ่ายสัมพันธมิตรที่ตรงข้าม
คือ สหราชอาณาจักร (Great Britain) ฝรั่งเศส และรัสเซีย เมื่อเวลาผ่านไป
ประเทศอื่น ๆ ที่อยู่ทั่วโลกก็เข้าร่วมในการสู้รบ
สนธิสัญญาแวร์ซาย (The Treaty of
Versailles)
ภายหลังสิ้นสุดสงคราม
เหล่าผู้นำของสัมพันธมิตรได้ประชุมกันที่แวร์ซาย (Versailles) ใกล้กรุงปารีสเพื่อเจรจาสันติภาพ ประธานาธิบดีวูดโรว์ วินสัน (Woodrow Wilson)
ของสหรัฐเสนอแผนการมุ่งหมายที่จะสนับสนุนประชาธิปไตยและป้องกันสงครามในอนาคต
แนวความคิดของเขาข้อหนึ่งคือการสร้างสันนิบาตชาติ (the League of Nations) ได้แก่องค์การที่ประเทศทั้งหลายควรพยายามมาแก้ปัญหากันด้วยสันติภาพ
|
||
วิลสันยังมีความเชื่อว่า
ประชาชาติทั้งหลายควรจะปกครองตนเอง ด้วยการปฏิบัติตามแนวความคิดนี้ สัมพันธมิตรจึงทำให้แผนที่ของทวีปยุโรปเปลี่ยนแปลง
โดยยึดดินแดนจากรัสเซียและเยอรมนีและทำลายจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการีและจักรวรรดิออตโตมัน
ประเทศใหม่ ๆ 7 ประเทศได้เกิดขึ้นจากดินแดนเหล่านี้
(เช่น
เชโกสโลวาเกียและยูโกสลาเวียแยกออกจากรัสเซีย ออสเตรีย ฮังการี ถูกแยกออกจากกัน
โปแลนด์ เอสโตเนีย ลัตเวีย และลิทัวเนีย แยกเป็นประเทศใหม่)
สัมพันธมิตรยังบังคับให้เยอรมนียอมรับการประณามว่าเป็นผู้เริ่มก่อสงครามอีกด้วย
เยอรมนีจึงต้องแบ่งขนาดของกองทัพ สละอาณานิคมและจ่ายเป็นค่าเสียหายการทำสงคราม
ประชาชนมากมายไม่ชอบสนธิสัญญาแวร์ซาย
เยอรมนีคิดว่ามันรุนแรงเกินไป ไม่ใช่ประชาชาติทั้งหมดที่มีชาติของตนเอง
บางประเทศไม่พอใจที่สูญเสียดินแดน ดังนั้น แทนที่จะนำไปสู่สันติภาพยั่งยืน
สนธิสัญญาจะเป็นเวทีแห่งความขัดแย้งอันกว้างไกล
การปฏิวัติรัสเซีย (The Russian
Revolution)
ผลลัพธ์อีกประการหนึ่งของสงครามโลกครั้งที่
1 คือการปฏิวัติในประเทศรัสเซีย ปัญหาและความเจ็บปวดได้เกิดขึ้น ณ
ที่นั้นมาเป็นเวลาหลายทศวรรษ ชาวนาและกรรมกรตกอยู่ในความยากจน ความขาดแคลนอาหารในภาวะสงครามและการสูญเสียชีวิตอย่างหนักทำให้ประชาชนหันไปต่อต้านรัฐบาลอย่างหนัก
ในเดือนมีนาคม 1917 (พ.ศ. 2460) พระเจ้าซาร์
นิโคลัสที่ 2 (Czar
Nicholas II) ผู้ปกครองรัสเซียถูกบังคับให้สละอำนาจ
รัฐบาลใหม่เข้าปกครอง
แต่ไม่สามารถรักษาความเป็นระเบียบเรียบร้อยได้ การก่อการกบฏจึงกระจายไปทั่วรัสเซีย
ผู้สนับสนุนลัทธิคอมมิวนิสต์ บอลเชวิก (Bolsheviks) จึงเกิดความเข้มแข็งขึ้น
ลัทธิคอมมิวนิสต์คือระบบเศรษฐกิจและการเมืองซึ่งรัฐบาลเป็นเจ้าของธุรกิจทั้งหมดและควบคุมเศรษฐกิจ
วลาดีมีร์ เลนิน (Vladimir Lenin) ผู้นำบอลเชวิก ได้สร้างกำลังใจให้กับกรรมกรและทหาร ในเดือนพฤศจิกายน
1917 (พ.ศ. 2460) บอลเชวิกได้ล้มล้างรัฐบาล
และเลนินได้สร้างรัฐคอมมิวนิสต์ขึ้นเป็นแห่งแรกของโลก คือ
สหภาพสาธารณรัฐสังคมนิยมโซเวียต (the Union of Soviet Socialist
Republics = USSR) หรือสหภาพโซเวียต (the
Soviet Union)
|
![]() |
แผนที่สงครามโลกครั้งที่ 1 |
อาวุธชนิดใหม่ที่เกิดในสงครามโลกครั้งที่
1
|
||
แก๊สพิษ
ทหารจะสวมหน้าหน้ากากเหมือนภาพด้านซ้ายเพื่อป้องกันตัวจากแก๊สพิษ
แก๊สนำเข้ามาใช้โดยประเทศเยอรมนีแต่ใช้ทั้งสองฝ่าย แก๊สบางชนิดทำให้ตาบอดหรือทำให้เกิดแผลพุพอง
บางชนิดทำให้ตายเพราะสำลัก
ปืนกล
ปืนกลซึ่งยิงกระสุนโดยอัตโนมัติได้รับการปรับปรุงให้ดีขึ้นในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 ปืนตามภาพด้านซ้ายมือสามารถกวาดล้างคลื่นของผู้บุกรุกและทำให้กองกำลังบุกไปข้างหน้าได้ยากลำบาก
รถถัง
รถถังตามภาพด้านซ้ายมือเป็นยานพาหนะต่อสู้หุ้มเกราะที่เคลื่อนไปบนสายพานลูกโซ่และด้วยเหตุนั้นจึงสามารถวิ่งข้ามภูมิประเทศชนิดต่าง
ๆ มากมาย รถถังถูกนำมาใช้โดยอังกฤษในปี ค.ศ. 1916 (พ.ศ. 2459) ที่ยุทธการแม่น้ำซอม
เรือดำน้ำ
ในปี
ค.ศ. 1914 (พ.ศ. 2457) เยอรมนีได้นำเรือดำน้ำมาใช้เป็นเรือสงครามได้ผลเป็นอย่างดี
อาวุธหลักของเรือดำน้ำที่ต่อสู้กับเรือคือตอร์ปิโด ซึ่งเป็นขีปนาวุธใต้น้ำ
|
การบินของทหาร
|
||
สงครามโลกครั้งที่
1 ได้นำยุทธการทางอากาศยานมาใช้ และด้วยการกระทำเช่นนั้นจึงเป็นการเปิดตัวยุคแห่งความก้าวหน้าอันยิ่งใหญ่ในด้านการบินทหาร
แม้ว่าเครื่องบินเองเมื่อเปรียบกับอาวุธชนิดอื่นจะเป็นของใหม่และยังไม่ได้รับการทดสอบประมาณ
ปี ค.ศ. 1914 (พ.ศ. 2457) ก็ตาม ประเทศที่ทำสงครามก็ตระหนักถึงศักยภาพอย่างรวดเร็วว่าเป็นอาวุธอันทรงประสิทธิภาพ
ตลอดเวลาที่อยู่ในช่วงเกิดความขัดแย้ง หลายประเทศทั้งสองฝ่ายได้สร้างอากาศยานที่เร็วและแข็งแรงและออกแบบเพื่อให้ทิ้งระเบิดและยิงอีกฝ่ายหนึ่งในอากาศได้
ในระหว่างการเริ่มต้นจนถึงสิ้นสุดสงคราม จำนวนเครื่องบินทั้งหมดที่คู่ต่อสู้ส่วนใหญ่นำมาใช้พุ่งขึ้นจาก
850 ลำ ถึงเกือบ 10,000 ลำ ภายหลังสิ้นสุดสงคราม หลายประเทศยังคงรักษาอากาศยานให้มีความเข้มแข็งและก้าวหน้าต่อไป
ในขณะที่ประเทศเหล่านั้นมีความตระหนักว่าความยิ่งใหญ่ของอากาศยานเป็นกุญแจหลักที่นำไปสู่ชัยชนะของทหาร
(ขวา) นักบินในสงครามโลกครั้งที่ 1 แสดงการใช้อุปกรณ์สื่อสารจากอากาศสู่พื้นดินในยุคแรก
|