ยุโรปสมัยระบอบศักดินาและยุคกลางสมัยต่อมา
 |
แผนที่ยุโรป ค.ศ. 1000 |
 |
แผนที่ลำดับเหตุการณ์ในยุโรปและโลกสมัยโบราณ |
 |
แผนที่ลำดับเหตุการณ์ในยุโรปและโลกสมัยโบราณ |
ระบอบศักดินาในยุโรปสมัยกลาง
ลักษณะของยุโรปสมัยกลาง
การล่มสลายของกรุงโรมในคริสต์ศักราช 476 เริ่มขึ้นในช่วงประมาณ 1,000 ปี ซึ่งรู้จักกัน ยุคกลาง
(Middle Ages) ระยะเวลานี้ก็ยังรู้จักกันว่า ยุคกลาง ภูมิทัศน์ทางการเมืองและวัฒนธรรมของยุโรปเปลี่ยนแปลงอย่างมากหลังจากการล่มสลายของกรุงโรม
 |
ถ้วยใบนี้มีลายเพชรพลอย เป็นของชาวแฟรงก์ ซึ่งเป็นกลุ่มชนเจอร์มานิค |
ชาวโรมันไม่ได้ปกครองภูมิภาคโดยการรวมกลุ่มต่าง
ๆ มากมายภายใต้รัฐบาลเดียวอีกต่อไป แต่มีอาณาจักรดั้งเดิมจำนวนมากปกครองดินแดนเหล่านั้น
ซึ่งครั้งหนึ่งเคยปกครองโดยอาณาจักรอันยิ่งใหญ่
ชาวโรมันมีการปกครองที่ได้รับการพัฒนาอย่างจริงจัง
พวกเขายังเน้นการเล่าเรียน อีกประการหนึ่ง ผู้คนสมัยดั้งเดิมอาศัยอยู่ในชุมชนเล็ก
ๆ พวกเขามีความเป็นระเบียบเรียบร้อยด้วยการปกครองและประเพณีที่ไม่เป็นลายลักษณ์อักษร
เป็นผลให้พวกเขาไม่ได้พัฒนาการปกครองที่มีขนาดใหญ่หรือผลิตผลงานด้านวิชาการ
ชนชั้นกลางมีการศึกษาทั้งหมด
แต่หายไปในระหว่างยุคกลาง โรงเรียนส่วนใหญ่หยุดการเรียนการสอนและมีคนไม่กี่คนที่สามารถอ่านหรือเขียนภาษาละตินได้
ชาวยุโรปส่วนมากลืมความสำเร็จในศิลปะและการเรียนรู้ของชาวกรีกและชาวโรมัน
ในขณะที่การค้าขายทั่วยุโรปหดตัวลง
หลาย ๆ เมืองก็เป็นเช่นนั้น ผู้คนที่อาศัยอยู่ในเมืองส่วนใหญ่เลี้ยงชีวิตตนเองโดยการค้าขายสินค้า
การขาดการค้าขายทำให้ชาวเมืองจำนวนมากย้ายไปยังชนบทและเลี้ยงชีวิตของตนเองโดยการทำเกษตรกรรม
 |
กรุงปารีสในยุคคริสต์ศตวรรษที่ 14 ภาพวาดนี้มาจากหนังสือกำหนดเทศกาล (Book of Hours) หนังสือสวดมนต์ในยุคกลาง ในภาพนี้ ชาวนากำลังตัดหญ้าและกองไว้นอกกรุงปารีส |
การเจริญและแพร่กระจายของศาสนาคริสต์
สถาบันแห่งหนึ่งที่รอดมาได้จากการล่มสลายของกรุงโรมคือคริสตจักร ผู้ปกครองดั้งเดิมเป็นจำนวนมากและราษฎรอื่น
ๆ เปลี่ยนไปนับถือศาสนาคริสต์ ทางตอนเหนือของเทือกเขาแอลป์, กลุ่มคนเจอร์มานิก (Germanic) คือ ชาวแฟรงก์ ได้ก่อตั้งอาณาจักรอันเกรียงไกรขึ้น
พวกเขาสนับสนุนศาสนาคริสต์ให้มีความเข้มแข็งอย่างยิ่งใหญ่ในยุโรป
โคลวิสที่ 1 และชนชาวแฟรงก์ ในคริสต์ศักราช 486 ผู้นำชาวแฟรงก์ ชื่อโคลวิสได้บุกดินแดนกอลแห่งโรมัน (ปัจจุบัน คือ ฝรั่งเศส
อาจรวมถึงเบลเยี่ยมด้วย) เขาพิชิตกองทัพโรมันอันยิ่งใหญ่แห่งสุดท้ายในดินแดนกอลนี้
แล้วโคลวิสก็ยกทัพไปตีกลุ่มชาวเจอร์มานิกอื่น ๆ ประมาณคริสต์ศักราช 507
อาณาจักรของเขาก็แผ่ขยายดินแดนยาวเหยียดไปทางตะวันตกตั้งแต่แม่น้ำไรน์จนถึงเทือกเขาพิเรนีส
(Pyrenees) ไม่ช้าก็เร็ว โคลวิสก็หันไปนับถือศาสนาคริสต์ ต่อมาราษฎรส่วนใหญ่ก็หันไปนับถือศาสนาคริสต์เช่นกัน
การปกครองของชาเลอมาญ (Charlemagne) ในคริสต์ศักราช 768 ผู้ปกครองคนใหม่ผู้มีความทะเยอทะยาน
ซึ่งปกครองอาณาจักรของชาวแฟรงก์ คือ ชาร์ลส์
(Charles) รู้จักกันอีกชื่อหนึ่งว่า ชาร์เลอมาญ (SHAHR•luh•MAYN)
ได้สร้างอาณาจักรยุโรปที่ใหญ่กว่าอาณาจักรใด ๆ ที่รู้จักกันมาตั้งแต่กรุงโรมโบราณ
เขาทำเช่นนี้ได้ส่วนใหญ่เพราะชัยชนะของทหารเป็นระยะ ๆ ยาวนานเป็นเวลาหลายปี ประมาณคริสต์ศักราช
800 ยุโรปตะวันตกเป็นอันมากก็กลายเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิที่บริหารได้เป็นอย่างดีของเขา
ชาร์เลอมาญได้จัดตั้งกฎหมายใหม่เพื่อช่วยรักษาความเป็นระเบียบ
เขายังอนุญาตเชลยศึกบางพวกให้รักษากฎหมายแบบดั้งเดิมไว้ตราบจนกระทั่งพวกเขารวบรวมเป็นประมวลกฎหมายและเขียนเป็นลักษณ์อักษร
ชาร์เลอมาญได้ปฏิรูปคริสตจักรให้เข้มแข็ง เขาการส่งเสริมการศึกษาของพระในคริสตจักร
จัดระเบียบคริสตจักรให้มีอำนาจและสร้างสัมพันธไมตรีกับพระสันตะปาปา
 |
ราชอาณาจักรที่มีอำนาจมากแห่งหนึ่งในยุโรป คือ ราชอาณาจักรแฟรงก์ ผู้น้ำราชอาณาจักรคือ กษัตริย์โคลวิสที่ 1 (ภาพบน) |
ระบบศักดินา:
การจัดระเบียบทางสังคมแบบใหม่
หลังจากการตายของชาร์เลอมาญ ในคริสต์ศักราช 814
หลุยส์ลูกชายของเขากลายเป็นจักรพรรดิ เมื่อหลุยส์เสียชีวิต ลูกชายทั้งสามคนของเขาต่อสู้กันเองเพื่อปกครองอาณาจักร
พวกเขาทั้งหมดลงนามในสนธิสัญญา ในคริสต์ศักราช 843 เพื่อแบ่งจักรวรรดิออกเป็นสามส่วน
การแบ่งแยกจักรวรรดินี้ทำให้อาณาจักรแฟรงก์อ่อนแอลง ความเสื่อมลงของการปกครองอาณาจักรแฟรงก์นำไปสู่ความวุ่นวายไปทั่วยุโรป
ผู้บุกรุกใช้ประโยชน์จากความวุ่นวายนี้
โจรสลัดสแกนดิเนเวีย ที่เรียกว่าไวกิ้ง (Vikings) ได้คุกคามหมู่บ้านชายฝั่ง
กลุ่มที่เรียกว่า แมกยาร์ (Magyar - ชาวฮังการีในปัจจุบัน)
ได้โจมตีเมืองต่าง ๆ ทั่วยุโรปตอนกลาง เริ่มต้นในกลางศตวรรษที่ 8 ยุโรปกลายเป็นสถานที่ของความขัดแย้งและสงครามอย่างต่อเนื่อง
--------------------------------
ผู้สร้างประวัติศาสตร์
ชาร์เลอมาญ (มีชีวิตระหว่าง ค.ศ. 742 – 814)
 |
ชาร์เลอมาญ |
ชาร์เลอมาญดูเหมือนและทำหน้าที่เช่นเดียวกับผู้ปกครองที่มีประสิทธิภาพของอาณาจักรขนาดใหญ่
เขาเป็นคนที่สูงและแข็งแรงและมีความสุขกับกิจกรรมการออกกำลังกายโดยเฉพาะอย่างยิ่งการว่ายน้ำ
นอกจากนี้ เขาเจริญเติบโตด้วยการนอนหลับเล็กน้อย
เขาบอกว่าจะตื่นขึ้นมาสี่หรือห้าครั้งต่อคืน ด้วยการปลุกคนรอบข้างตัวเองให้ตื่นทำภารกิจให้เสร็จสิ้นหรือให้รายงานงาน
ชาร์เลอมาญยังแสดงความสนใจในเรื่องราวทางวิชาการ
รวมทั้งดาราศาสตร์ อย่างไรก็ตาม มีอยู่สิ่งหนึ่งที่อาจจะทำให้เขาไม่ได้รับการเรียนรู้เพิ่มเติม
นักประวัติศาสตร์คาดการณ์ว่า กษัตริย์แฟรงก์ผู้เกรียงไกรนั้น ก็เหมือนกับกษัตริย์คนอื่น
ๆ ในยุคกลาง คือ อ่านหนังสือไม่ออก
--------------------------------
การเกิดขึ้นของระบบศักดินา ในช่วงเวลาที่มีความรุนแรงนี้
ผู้คนมองหาการคุ้มครองรักษา ข้อนี้นำไปสู่การสร้างระบบการเมืองและสังคมที่รู้จักกัน
คือ ระบบศักดินา ระบบศักดินาขึ้นอยู่กับข้อตกลงระหว่างกลุ่มขุนนางสองกลุ่ม คือ ขุนนางและข้าราชบริพาร
ลอร์ด (Lord) คือ
ขุนนางผู้ทรงอำนาจซึ่งเป็นเจ้าของที่ดิน ขุนนางอนุญาตให้ขุนนางชั้นผู้น้อย ซึ่งเรียกข้าราชบริพาร
ใช้ที่ดินหลายส่วน ที่ดินหลายแปลงเหล่านี้ถูกเรียกว่า ศักดินา เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนศักดินา
ข้าราชบริพารจะทำหน้าที่ในศาลของและกองทัพบกของขุนนางชั้นผู้ใหญ่ ขุนนางชั้นผู้ใหญ่ป้องกันดินแดนไม่ให้มีการโจมตีด้วยกองทัพของข้าราชบริพาร
ข้าราชบริพารบางพวกเป็นนักรบ เรียกกันว่า อัศวิน
โครงสร้างของระบบศักดินา สังคมระบบศักดินาเป็นโครงสร้างชั้นสูง
กษัตริย์ปกครองด้านบนของสังคม ต่อมาก็เป็นเจ้าของที่ดินที่มั่งคั่งและสมาชิกระดับสูงของคริสตจักร
ถัดลงผู้รับใช้พวกเขา คือ อัศวิน ด้านล่างของสังคม คือ ชาวนา ชาวบ้านส่วนใหญ่เป็นข้าแผ่นดิน
ข้าแผ่นดินอาศัยและทำงานอยู่บนที่ดินที่เป็นของขุนนางหรือข้าราชบริพาร ข้าแผ่นดิน
เหมือนกับข้าราชบริพาร จะดูแลป้องกันขุนนางระดับสูง (ดูภาพ)
ระบบศักดินาสร้างโครงสร้างทางการเมืองแบบใหม่ในทวีปยุโรป
แมนเนอร์ (Manors) คือ คฤหาสน์ที่ครอบครองโดยขุนนางผู้มีอำนาจ เป็นส่วนที่สำคัญของภูมิทัศน์ทางการเมืองแบบใหม่นี้
ระบบศักดินาของยุโรป
 |
ลำดับระบบศักดินาของยุโรป |
1. กษัตริย์: นั่งอยู่บนยอดสุดของสังคมศักดินา
ครอบครองพื้นดินขนาดใหญ่
2.
เจ้าหน้าที่แห่งคริสตจักรและขุนนาง: เป็นเจ้าของที่ดิน
ยึดครองอำนาจและความมั่งคั่งเป็นอันมาก
3. อัศวิน: เป็นนักรบจัดการด้านการทหารให้กับขุนนาง เพื่อแลกเปลี่ยนที่ดินหลายแปลง
4. ชาวไร่ชาวนาชาวสวน
เกษตรกร: ทำงานให้กับขุนนาง ในฐานะเป็นข้าแผ่นดิน
และงานอื่น ๆ ที่เหน็ดเหนื่อยมาก (ดูภาพด้านบน)
บทบาทของแมนเนอร์ (Manor) ส่วนที่สำคัญของที่ดินของขุนนาง เรียกว่า
แมนเนอร์ (คฤหาสน์) ศูนย์กลางของคฤหาสน์เป็นบ้านเจ้านายหรือขุนนางและครอบครัวของเขาอาศัยอยู่
บ่อยครั้งที่อาคารคฤหาสน์เป็นป้อมหรือปราการ รอบ ๆ อาคารคฤหาสน์เป็นที่ดินของเจ้านายหรือขุนนาง
ที่ดินส่วนมากประกอบด้วยพื้นที่การเกษตรและหมู่บ้านที่ชาวบ้านอาศัยอยู่
การดำเนินชีวิตและเศรษฐกิจในแมนเนอร์ ชาวนา (ส่วนใหญ่เป็นข้าแผ่นดิน) อาศัยและทำงานอยู่ที่คฤหาสน์
พวกเขาทำไร่ไถนาบนที่ดิน ซึ่งเป็นพื้นฐานทางเศรษฐกิจของระบบแมนเนอร์ ข้าแผ่นดินกล่าวได้ว่า
"ผูกพันกับที่ดิน" ซึ่งหมายความว่าพวกเขาถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของทรัพย์สมบัติ
พวกเขายังคงอยู่บนที่ดินถ้าเจ้านายหรือขุนนางคนใหม่ต้องการ
ชีวิตในระบบศักดินาและแมนเนอร์มีผลกระทบที่มีประสิทธิภาพต่อเศรษฐกิจยุโรปยุคกลาง
ที่ดินบนคฤหาสน์ให้สิ่งที่จำเป็นส่วนใหญ่แก่ผู้อยู่อาศัย เป็นผลให้กิจกรรมส่วนใหญ่นับตั้งแต่การทำการเกษตรจนถึงงานไม้
การทำไวน์เกิดขึ้นในคฤหาสน์ Manors กลายเป็นโลกของพวกตัวเองและคนไม่กี่คนที่เคยละทิ้งทรัพย์สมบัติไป
ระบอบแมนเนอร์
แมนเนอร์ (Manor) เป็นระบบการปกครองในฟิวดัล
(ระบบศํกดินา) เจ้าหน้าที่ในเขตปกครอง “คฤหาสน์” เรียก “Lord of the Manor” ขุนนางมีสิทธิ์ครอบครองแมนเนอร์เป็นร้อย ๆ ได้ ในแมนเนอร์มีการทำเกษตรกรรมเป็นหลัก
แม้แต่แมนเนอร์ที่เล็กที่สุดมีเนื้อที่ประมาณ 300 – 400 เอเคอร์
และอาจประกอบด้วยหมู่บ้านเดียวหรือมากกว่านั้น
แต่ละแมนเนอร์จะมีระบบเศรษฐกิจที่สมบูรณ์ในตัวเอง (Self Sufficiency) ภายในแต่ละแมนเนอร์จะมี Manor
- House ของ Lord อยู่ตรงกลางล้อมรอบด้วยคูกั้นเป็นที่อยู่ของครอบครัวเจ้าของที่ดินและอัศวินทั้งหลาย
ตลอดจนผู้จัดการดูแลแมนเนอร์(Bailiff) และพระของหมู่บ้านแมนเนอร์ ถัดจากคูที่ล้อมรอบ Manor-House เป็นที่อยู่อาศัยของชาวไร่ชาวนา เลยที่อยู่ของชาวไร่ชาวนาออกไปเป็นไร่นา
ส่วนที่ดีที่สุดกันไว้เป็นสมบัติส่วนตัวของเจ้าของที่ดินและพระ
ที่เหลือเจ้าของที่ดินจะจัดแบ่งให้พวกไพร่ติดที่ดิน
แต่ละครอบครัวทำกินจะขยายหรือโยกย้ายไม่ได้ ถ้าเจ้าของที่ดิน (Lord) ไม่สั่ง
ชนชั้นในแมนเนอร์สามารถแบ่งได้ดังนี้
1.ชนชั้นขุนนางหรือเจ้าของแมนเนอร์ ซึ่งอาจรวมพระ หรือกษัตริย์ สำหรับแมนเนอร์ใหญ่ๆ
จะแต่งตั้งผู้ดูแลกิจการไปทำการดูแล
ถ้ามีแมนเนอร์ในครอบครองหลายแห่งก็จะแต่งตั้งผู้แทนของตนไปดูแล
ในแมนเนอร์จะมีที่ดินส่วนหนึ่งเรียกว่า ดีมีนส์ (Demesne) เป็นไร่ที่ดินภายใน
ซึ่งขุนนางเจ้าของที่ดินของแมนเนอร์เป็นผู้ครอบครอง
2.ชนชั้นไพร่ เป็นชนชั้นที่ทำงานให้แก่ชนชั้นขุนนาง
ประกอบด้วย
ก.ชนชั้นวิเลนส์ (Villein) เป็นพลเมืองส่วนใหญ่ที่อาศัยอยู่ในแมนเนอร์
และเป็นชนชั้นที่มีความสำคัญต่อแมนเนอร์มากกว่าชนชั้นอื่น
เพราะเป็นผู้ดูแลรับผิดชอบการเพาะปลูก ส่วนใหญ่ของแมนเนอร์
ซึ่งผลผลิตที่ได้ใช้เป็นอาหารสำหรับชนชั้นต่างๆ ในแมนเนอร์
ในทางกฎหมายชนชั้นวิเลนส์มีฐานะด้อยกว่าเสรีชนแต่สูงกว่าทาส
ไม่ได้รับการคุ้มครองจากขุนนางนอกจากกรณีทำร้ายร่างกาย
ข. ชนชั้นคอททาร์ หรือบางทีเรียก บอร์ดาร์ (Bordars) หรือคอทเทเจอร์ส (Cottagers) ชนชั้นนี้มีจำนวนคนรองจากชนชั้นวิเลนส์และมีฐานะด้อยกว่าทั้งในทางสังคมและทางเศรษฐกิจ
เนื่องจากมีที่ดินในครอบครองน้อยกว่า จึงต้องพึ่งพาชนชั้นอื่นในการดำรงชีพ
โดยเฉพาะการรับใช้ตอบแทนขุนนาง และทำหน้าที่เป็นแรงงานสำรองไว้ในเวลาจำเป็น
ดังนั้นจึงมักใช้เวลาว่างไปรับจ้างขุนนางเพื่อหารายได้มาจุนเจือครอบครัวและดำรงชีพของตน
ค. ชนชั้นทาส (Serf) เป็นพลเมืองส่วนน้อยที่อาศัยอยู่ในแมนเนอร์ มีพันธะที่จะต้องจ่ายให้เจ้านายของตนในรูปแรงงานและผลผลิต
หรือเงินตรา เช่น Serf ต้องเสียภาษีรัชชูปการ
ภาษีผลผลิตที่ผลิตได้ ต้องจ่ายค่าบริการให้กับเครื่องมือของ Lord จัดหาไว้ให้ใช้ร่วมกันในการทำการเกษตร เช่น โรงสี เครื่องคั้นน้ำองุ่น เตาต้มกลั่น ให้การต้อนรับเลี้ยงดูเจ้านายและบริวารที่ติดตามเข้ามาตรวจราชการในท้องที่ของตนปีละไม่เกินสามครั้ง ยอมให้เจ้านายเกณฑ์แรงงานไปสร้างเครื่องสาธารณูปโภค ขุดคู สร้างสะพานและเขื่อน เป็นต้น ต่อมาจำนวนทาสได้ ลดน้อยลงไปเนื่องจากได้รับอิสรภาพมากขึ้น
ได้รับที่ดินทำการเพาะปลูกและเปลี่ยนสภาพมาเป็นชนชั้นคอททาร์ในเวลาต่อมา
3.ชนชั้นเสรีชน
เป็นชนชั้นอิสระไม่ขึ้นอยู่กับขุนนาง เป็นเจ้าของที่ดินโดยเสรี ไม่ต้องมีภาระข้อผูกมัดกับชนชั้นอื่นๆ
ความสัมพันธ์ระหว่างเสรีชนกับชนชั้นขุนนาง หรือเจ้าของแมนเนอร์
มักอยู่ในรูปของสัญญา เช่น
เสรีชนจะสละแรงงานช่วยเหลือขุนนางในการเพาะปลูกเป็นครั้งคราว แล้วขุนนางจะให้การคุ้มครองป้องกันความปลอดภัยในชีวิตร่างกาย
และทรัพย์สินของ เสรีชนเป็นการตอบแทน
เสรีชนมีสิทธิที่จะโอนที่ดินของตนไปรับการคุ้มครองจากขุนนางแมนเนอร์คนหนึ่งคนใดโดยไม่ต้องผูกมัดกับขุนนางเดิม
ยุคอัศวิน (The Age of
Chivalry)
อัศวินมักจะเป็นข้าราชบริพารหรือขุนนางชั้นผู้น้อย
(ชนชั้นที่ต่ำกว่าขุนนาง) ผู้ต่อสู้ในนามของขุนนางเพื่อแลกเปลี่ยนกับที่ดิน ในช่วงยุคกลาง
ความขัดแย้งมักจะโพล่งออกมาระหว่างขุนนางต่าง ๆ หลายต่อหลายครั้ง พวกเขาชำระกรรมสิทธิ์ข้อขัดแย้งเหนือที่ดิน
ด้วยการโจมตีซึ่งกันและกัน เมื่อต่อสู้กัน
เหล่าขุนนางก็อาศัยอัศวินที่มีฝีมือในการขี่ม้าและเป็นนักสู้
ความเป็นอัศวินและตำแหน่งอัศวิน เหล่าอัศวินไม่ได้เป็นเพียงนักสู้มืออาชีพเท่านั้น
พวกเขามุ่งมั่นที่จะดำเนินชีวิตด้วยหลักเกียรติยศ ที่รู้จักกันว่า Chivalry
(ความกล้าหาญหรือตำแหน่งอัศวิน)
พวกเขาจะต้องแสดงให้เห็นถึงความเชื่อทางศาสนาที่แข็งแกร่งและความเต็มใจที่จะปกป้องคริสตจักรคาทอลิก พวกเขายังมุ่งมั่นที่จะปกป้องผู้หญิงและคนอ่อนแอ
นอกจากนี้
อัศวินได้รับการคาดหมายว่าจะต่อสู้กับความอยุติธรรมและแสดงความกล้าหาญในการต่อสู้ทุก
ๆ ครั้งที่พวกเขาต่อสู้ การต่อสู้ที่อัศวินและนักรบคนอื่น ๆ ต่อสู้
เริ่มตั้งแต่การต่อสู้หลั่งเลือด ณ ทุ่งโล่งจนถึงการโจมตีอย่างเหน็ดเหนื่อยเหนื่อยบนปราสาท
ในการเข้ายึดปราสาท ขุนนางและอัศวินจะใช้อาวุธ
เช่น การกระทุ้งและยิงด้วยก้อนหิน กองกำลังสำหรับโจมตีมักจะล้อมปราสาท ในขณะล้อมปราสาท กองทัพพยายามป้องกันไม่ให้อาหารหรือวัสดุสิ้นเปลืองเข้าไปในปราสาท
เป้าหมายคือการทำให้ผู้คนที่อยู่ภายในให้อดอาหารไปอย่างช้า ๆ และบังคับผู้คนให้ยอมจำนน
เปรียบเทียบอัศวินยุโรปกับซามูไรญี่ปุ่น
|
 |
อัศวิน |
|
 |
ซามูไร |
|
อัศวินมักจะสวมชุดเกราะเพื่อป้องกันตัวเองในการสู้รบ
ชุดเกราะเมื่อชั่งน้ำหนักโดยเฉลี่ยประมาณ 65 ปอนด์ (ประมาณ 30 กิโลกรัม)
ซามูไรยังแต่งตัวเพื่อป้องกันตัวในระหว่างการต่อสู้ แต่ชุดเกราะน้ำหนักเบากว่า
ชุดเกราะที่เบานี้แสดงให้เห็นว่า ซามูไรผู้ใช้ชุดเกราะนี้ทำให้การเคลื่อนไหวสะดวกมากกว่าเน้นการป้องกัน
1.
ชุดเกราะของนักรบแต่ละคนป้องกันศีรษะและคอ
หมวกกันน็อคของอัศวินปกป้องหน้าของเขา แต่มีความจำกัดในด้านการมองเห็น
ใบหน้าของซามูไรไม่ปกปิด แต่มีแผ่นเหล็กป้องกันคอของเขา
2. ทั้งอัศวินและซามูไรมีแผ่นหน้าอกเพื่อป้องกันอวัยวะที่สำคัญจากลูกธนู
ดาบและหอก
3. นักรบแต่ละคนมีชุดเกราะสวมขา ของอัศวินยุโรปหนักมากและครอบคลุมขามากกว่า
ของซามูไรครอบคลุมขาด้านล่างเท่านั้น
(ดูรูปภาพประกอบ)
|
สมาคมแห่งอัศวิน อัศวินบางคนให้ความจงรักภักดีต่อคริสตจักรเพื่อขึ้นสู่ตำแหน่งที่สูงขึ้น
พวกเขากลายเป็นข้าราชบริพารสมเด็จพระสันตะปาปาและก่อตัวขึ้นเป็นองค์กรทหารของศาสนาที่รู้จักกันว่า
orders of chivalry (คณะแห่งอัศวินหรือสมาคมแห่งอัศวิน)
คณะที่รู้จักกันดีที่สุดก่อตั้งขึ้นในคริสต์ศักราช 1119
เรียกว่า Poor Knights of Christ และ Temple of
Solomon หรือ Knights Templar
เหล่านักรบให้คำสาบานว่าจะเสียสละและเชื่อฟังคริสตจักร
พวกเขาอาศัยอยู่ด้วยกัน หลับอยู่ในห้องนอนธรรมดาและรับประทานอาหารร่วมกัน อย่างไรก็ตาม
หน้าที่หลักของพวกเขาคือการต่อสู้กับศัตรูของคริสตจักร นักรบและคณะแห่งอัศวินอื่น
ๆ ก่อตัวขึ้นเพื่อการต่อสู้กับกองทัพของชาวมุสลิมในและรอบ ๆ กรุงเยรูซาเล็ม บริเวณที่เรียกว่าแผ่นดินศักดิ์สิทธิ์
(Holy Land) สงครามที่เกิดขึ้นหลาย ๆ ครั้งเรียกว่า สงครามครูเสด (Crusades)
การเจริญเติบโตของเมืองต่าง ๆ
ประมาณคริสต์ศักราช 1000 ชีวิตแบบเมืองเริ่มกลับไปยังยุโรป
ขุนนางผู้เรืองอำนาจได้นำความปลอดภัยและสวัสดิภาพไปยังภูมิภาคต่าง ๆ นานา เหล่าพ่อค้าเริ่มออกเดินทางอย่างอิสระมากขึ้นและเริ่มค้าขายสินค้าของพวกเขา
เหล่าพ่อค้าตั้งรกราก ณ ที่ใดก็ตาม
ช่างก่อสร้างและพ่อค้าอื่น ๆ ก็มารวมตัวกันอยู่รอบตัวพวกเขา
เมืองส่วนใหญ่ในยุคกลางเป็นสถานที่สกปรก
คับแคบและพลุกพล่าน ในใจกลางเมืองมีตลาดนัดและโบสถ์ขนาดใหญ่ ถนนแคบสกปรกและมักจะไม่ได้ปูพื้นถนน
หลังจากที่ฝนตก ถนนกลายเป็นโคลนลึกถึงหัวเข่า บ้านส่วนใหญ่สร้างขึ้นมาจากไม้และไฟไหม้ง่าย
เป็นผลให้ทั้งเมืองมักจะถูกไฟไหม้บ่อย ๆ ระหว่างคริสต์ศักราช 1200 และ 1225 เมืองรูอ็องของฝรั่งเศสถูกไฟเผาถึงหกครั้ง!
ในเมืองหลายเมือง ผู้คนที่มีอาชีพเดียวกันก่อรูปเป็นกลุ่มขึ้นเรียกว่า
สมาคมอาชีพ (Guilds) สมาคมหลายแห่งสร้างขึ้นโดยเหล่าพ่อค้า เช่น
ช่างทอง ช่างทำขนมปัง ช่างทอผ้าและช่างย้อมผ้า สมาคมอาชีพสร้างกฎระเบียบเพื่อควบคุมปริมาณและคุณภาพของการผลิต
สมาคมอาชีพดูแลสมาชิกและทำงานเพื่อทำให้ทุกคนแน่ใจว่าจะหาอาชีพได้ สมาคมอาชีพมีความสำคัญพอ
ๆ กัน มีอิทธิพลเล็กน้อย รองมาจากคริสตจักรคาทอลิก
การดำเนินชีวิตในคฤหาสน์ที่มีที่ดินล้อมรอบ
ของขุนนางในยุคกลาง
ในช่วงยุคกลางส่วนมาก คฤหาสน์ที่มีที่ดินล้อมรอบของขุนนางทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางการดำเนินชีวิตสำหรับคนจำนวนมากในยุโรป
ชนชั้นที่กำหนดไว้ชัดเจนสองจำพวกอาศัยอยู่เคียงข้างกัน
ในคฤหาสน์ที่มีที่ดินล้อมรอบของขุนนาง คือขุนนางหรือข้าราชบริพารที่ร่ำรวย และครอบครัว
ตลอดจนชาวไร่ชาวนาที่ยากจนหรือข้าแผ่นดิน
A กรรมกรผู้ทรหด งานหลักของข้าแผ่นดินก็คือการทำเกษตรกรรม
ฝนตกหรือแดดออก พวกเขาก็ทำงานในทุ่งนาทุกวันยกเว้นวันอาทิตย์และวันสำคัญทางศาสนา ข้าแผ่นดินต้องทำไร่ไถนาให้กับขุนนางมากที่สุด
B คฤหาสน์มาเนอร์ ขุนนางแห่งคฤหาสน์มาเนอร์อาศัยอยู่กับครอบครัวของเขาในบ้านขนาดใหญ่ที่มักจะสร้างด้วยหิน
ชีวิตของพวกเขามีความสะดวกสบายเมื่อเทียบกับข้าแผ่นดิน ในท่ามกลางกิจกรรมอื่น ๆ พวกเขาเป็นเจ้าภาพเลี้ยงอาหารค่ำที่มีขนาดใหญ่ประกอบด้วยเนื้อสัตว์จำนวนมาก
C บ้านเรือนของข้าแผ่นดิน ข้าแผ่นดินส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในกระท่อมขนาดเล็กที่เปียกชื้นทำจากไม้และโคลน
พื้นดินเป็นพื้นบ้านเสมอ ๆ กระท่อมแต่ละหลังมักจะมีเตียงเพียงตัวเดียว ซึ่งสร้างขึ้นมาจากกองใบไม้หรือฟางข้าว
ครอบครัวจะปรุงอาหารในกระท่อมด้วยการก่อไฟบนพื้นดิน ชาวนาส่วนใหญ่มีชีวิตอยู่รอดได้ด้วยอาหารที่เรียบง่าย
คือ สตูผักและขนมปัง
D การพักผ่อนหย่อนใจ ขุนนางและครอบครัวชอบใช้เวลาพักผ่อนหย่อนใจส่วนมากด้วยการล่าสัตว์ในป่าบนที่ดินของพวกเขา
ในขณะเดียวกัน ข้าแผ่นดินจะพักผ่อนหย่อนใจแบบเรียบง่ายเสียเป็นส่วนมาก เกมการเล่นที่นิยมในหมู่ข้าแผ่นดินผู้ที่อายุน้อย
คือ หมากเก็บ เล่นกันมากเหมือนกับลูกหิน เว้นเสียแต่ว่า ก้อนที่ใช้เล่นเป็นกระดูกของสัตว์เลี้ยงในฟาร์มก้อนกลม
ๆ เล็ก ๆ หลากหลาย
คริสตจักรและสงครามครูเสด
ในยุคกลาง ชาวยุโรปเกือบทั้งหมดเป็นชาวคริสต์และสมาชิกของคริสตจักรโรมันคาทอลิก
ในเอเชียตะวันตกเฉียงใต้ คนส่วนใหญ่เป็นชาวมุสลิม ต่อไปนี้ เราจะได้เรียนรู้วิธีการที่ชาวคริสต์และชาวมุสลิมเกิดความขัดแย้งกัน
 |
ภาพนี้มาจากภาพต้นฉบับ สมเด็จพระสันตปาปาเออร์บันที่ 2 ทรงบัญชาการชิงชัย ในแผ่นดินศักดิ์สิทธิ์ ใน ค.ศ. 1095 |
อิทธิพลของคริสตจักรโรมันคาทอลิก
นับตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 10 จนถึงที่ 14
บางแง่มุมของระบบศักดินายังคงพบในยุโรป ตัวอย่างเช่น ขุนนางยังคงปกครองชนบทเป็นส่วนมาก อย่างไรก็ตาม
ทั้งคริสต์ศาสนานิกายโรมันคาทอลิกและระบอบกษัตริย์ของยุโรปยังคงเรืองอำนาจ
คริสตจักรและระบอบกษัตริย์ยังพยายามที่จะเป็นศูนย์กลางทางการเมืองและกุมอำนาจทางศาสนาอีกด้วย
องค์กรคริสตจักร นิกายโรมันคาทอลิกต้องการสร้างองค์กรที่แข็งแกร่งในการให้บริการคฤหัสถ์อย่างมีประสิทธิภาพ
คฤหัสถ์ (laypeople) คือ ผู้ที่เป็นสมาชิกของคริสตจักร
แต่ไม่ได้เป็นสมาชิกของคณะสงฆ์ คริสตจักรมีระดับของตำแหน่งผู้นำแตกต่างกันในหมู่พระสงฆ์หรือผู้ที่ได้รับมอบอำนาจทางพระจากคริสตจักร
สมเด็จพระสันตะปาปาเป็นผู้นำทางจิตวิญญาณและทางการเมืองของคริสตจักร ตำแหน่งของพระองค์
เรียกว่าตำแหน่งพระสันตะปาปา (Papacy) เบื้องล่างของพระองค์
มีพระสงฆ์ระดับต่าง ๆ ที่แสดงในภาพประกอบ (ดูภาพประกอบ)
 |
มหาวิหารน็อทร์-ดามแห่งปารีส สร้างในยุคกลาง เป็นตัวอย่างสถาปัตยกรรมของกอทิกอันโดดเ่ด่น โครงสร้างที่ยันภายนอก เรียกว่า "ครีบยันลอย" (Flying Buttresses) |
บทบาททางการเมืองของพระสงฆ์ (คริสต์) คนที่มีตำแหน่งสำคัญในคริสตจักรจะมีความสัมพันธ์ทางสังคมและการเมืองที่แข็งแกร่งต่อขุนนางของยุโรป
เป็นผลให้ขุนนางและผู้นำคริสตจักรมีมากเหมือนกันและมักจะให้การสนับสนุนซึ่งกันและกัน
คริสตจักรยังมีความมั่งคั่งยิ่งใหญ่ซึ่งทำให้เป็นสถาบันที่มีอำนาจมากยิ่งขึ้น
ความมั่งคั่งของตำแหน่งพระสันตะปาปายิ่งใหญ่มากกว่าพระมหากษัตริย์แต่ละองค์ในยุโรป
นอกจากนี้อำนาจของสมเด็จพระสันตะปาปามักจะยิ่งใหญ่มากกว่ากษัตริย์และจักรพรรดิ
อำนาจของสมเด็จพระสันตะปาปาเป็นเหตุให้พระมหากษัตริย์หลายพระองค์ร่วมมือกับคริสตจักร
แต่มันก็ทำให้เกิดความขัดแย้งอีกด้วย
ตำแหน่งพระในคริสต์ศาสนานิกายโรมันคาลธอลิก
 |
ลำดับตำแหน่งการปกครองคริสตจักรคาทอลิก |
1. สมเด็จพระสันตะปาปา (Pope) สมเด็จพระสันตะปาปาเป็นผู้นำทางจิตวิญญาณและทางการเมืองของคริสตจักร
2. พระคาร์ดินัล (พระราชาคณะ - Cardinals) พระคาร์ดินัลช่วยสมเด็จพระสันตะปาปาบริหารงานคริสตจักร
3. บิชอป (Bishops – หัวหน้าบาทหลวง) บิชอปบริหารงานพื้นที่แขวงการปกครองของบิชอป
มีโบสถ์หลายโบสถ์
4. พระ, นักบวช (Priest
– บาทหลวง) ทำหน้าที่บริหารโบสถ์เป็นเอกเทศและบริการฆราวาสโดยตรง
5. พระ,
นักพรต และ แม่ชี (Monks and Nuns) พระสงฆ์และแม่ชีอาศัยอยู่ในชุมชนที่ห่างไกลจากเมืองใหญ่
พวกเขาเรียนอ่านภาษาละติน ผลิตอาหารด้วยตัวเอง คัดลอกและแปลตำราทางศาสนา
คริสตจักร
การเมือง และสังคม
ในที่สุด ผู้นำคริสตจักรและพระมหากษัตริย์ยุโรปก็เกิดความขัดแย้งกัน
ในคริสต์ศักราช 1075 ข้อพิพาทระหว่างสมเด็จพระสันตะปาปาเกรกอรีที่ 7 และพระเจ้าเฮนรี่ที่
4 แห่งจักรพรรดิโรมันศักดิ์สิทธิ์ถึงจุดวิกฤติ
การปะทะกันของสองมหาอำนาจ จักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ ครอบคลุมยุโรปตอนกลางและอิตาลีตอนเหนือมากที่สุด
อาณาจักรเริ่มขึ้นในคริสต์ศักราช 962 ในขณะที่กษัตริย์อ็อตโตที่ 1 แห่งเยอรมันปราบดาภิเษกขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์โดยสมเด็จพระสันตะปาปา
จักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์คงอยู่ต่อเนื่องในรูปแบบที่แตกต่างกันจนถึงคริสต์ศักราช
1806
จักรพรรดิองค์ต่อมา คือ พระเจ้าเฮนรีที่
4 ได้สร้างอำนาจทางการเมืองขึ้น โดยการแต่งตั้งเจ้าหน้าที่คริสตจักร อย่างไรก็ตาม ในคริสต์ศักราช
1075 สมเด็จพระสันตะปาปาเกรกอรีท้าทายอำนาจของพระเจ้าเฮนรี่
พระองค์ประกาศว่าพระสงฆ์เท่านั้นที่จะสามารถแต่งตั้งคนไปยังสำนักคริสตจักรได้
พระเจ้าเฮนรี่และบาทหลวงที่สนับสนุนพระองค์ได้ประกาศการเลือกตั้งที่ไม่ถูกต้องของสมเด็จพระสันตะปาปา
สมเด็จพระสันตะปาปาเกรกอรี่ตอบสนองต่อความท้าทายของพระเจ้าเฮนรี่โดยการคว่ำบาตร หรือขจัดพระเจ้าเฮนรี่ออกจากคริสตจักร
พระองค์บอกราษฎรของพระเจ้าเฮนรี่ว่า พวกเขาไม่ต้องเชื่อฟังจักรพรรดิอีกต่อไป
ครั้นแล้ว ขุนนางและเจ้าหน้าที่ของคริสตจักรหลายคนหันหลังให้กับพระเจ้าเฮนรี่
พระเจ้าเฮนรี่ตัดสินพระทัยขอให้สมเด็จพระสันตะปาปายกโทษให้พระองค์อย่างชาญฉลาด ในฐานะที่เป็นพระสงฆ์
สมเด็จพระสันตะปาปาเกรกอรี่ต้องยกโทษให้พระเจ้าเฮนรี่ พระเจ้าเฮนรี่ฟื้นฟูชื่อเสียงของพระองค์และปกครองราษฎร
แต่ความขัดแย้งระหว่างกษัตริย์ยุโรปกับพระสันตะปาปายังดำเนินต่อไป
คริสตจักรเป็นผู้นำด้านการศึกษา คริสตจักรมีบทบาทโดดเด่นในด้านการจัดการศึกษา
โรงเรียนถูกจัดตั้งขึ้นที่มหาวิหาร นักศึกษาของโรงเรียนเหล่านี้
มักจะเป็นขุนนางที่เป็นผู้นำทางศาสนาหรือการเมืองเสมอ ๆ โรงเรียนในมหาวิหารเหล่านี้ต่อมาพัฒนาเป็นมหาวิทยาลัยยุคแรก
ๆ
นักวิชาการได้ศึกษานักปรัชญายุคคลาสสิก
แต่เจ้าหน้าที่คริสตจักบางพวกกังวลว่าแนวคิดยุคคลาสสิกจำนวนมากจะไปขัดแย้งกับคำสอนของคริสตจักรเกี่ยวกับความเชื่อ
ในช่วงกลางคริสต์ศตวรรษที่ 12 นักปราชญ์ชาวอิตาลีชื่อโทมัส อไควนัส (Thomas
Aquinas - uh•KWY•nuhs) ได้โต้แย้งว่าปรัชญายุคคลาสสิกสามารถอยู่ด้วยกันได้กับความเชื่อทางศาสนาคริสต์
เขาบอกว่าความเชื่อและเหตุผลมาจากพระเจ้า อไควนัสได้รับการจดจำไว้ว่าเป็นนักปราชญ์ทางศาสนาที่ยิ่งใหญ่
คณะสงฆ์ทางศาสนาเป็นสถาบันทางการศึกษาที่สำคัญที่สุดของคริสตจักร
คณะสงฆ์ทางศาสนาเป็นกลุ่มของคนที่อาศัยอยู่ตามกฎที่เฉพาะเจาะจงเพื่อระเบียบวินัยของพวกเขา
คณะสงฆ์คือกลุ่มคนทางศาสนาที่แยกตัวออกมาจากสังคมเพื่อมุ่งเน้นการสวดมนต์และรับใช้พระเจ้า
ผู้ชายที่เข้าร่วมคณะสงฆ์ เรียกว่าพระสงฆ์ พวกเขาอาศัยอยู่ในอาราม
ผู้หญิงที่เข้าร่วมคณะสงฆ์ เรียกว่าแม่ชีและพวกเธออาศัยอยู่ในคอนแวนต์ (Convents
– อารามของนางชี)
สงครามครูเสดเริ่มต้นขึ้น
สงครามครูเสดเป็นการเดินทางของทหารจากยุโรปไปยังปาเลสไตน์ซึ่งเป็นที่รู้จักกันว่า
เป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ (Holy Land) เยรูซาเล็มตั้งอยู่ในปาเลสไตน์ พื้นที่นี้เป็นดินแดนอันศักดิ์สิทธิ์สำหรับชาวคริสต์
ชาวมุสลิมและชาวยิวเหมือนกัน สงครามครูเสดมีผลกระทบระยะยาวต่อสภาพการเมืองและสังคมในยุโรป
สาเหตุของการเกิดสงครามครูเสด ชาวคริสต์ในยุโรปเริ่มต้นสงครามครูเสดด้วยเหตุผลหลายประการ
ราชวงศ์เซลจุคเติร์ก (Seljuk Turks) เข้าปกครองปาเลสไตน์ในคริสต์ศักราช
1071 ซึ่งแตกต่างจากผู้ปกครองก่อนหน้านี้ของกรุงเยรูซาเล็ม
ราชวงศ์เซลจุคเดินทางแสวงบุญไปยังดินแดนศักดิ์สิทธิ์เกือบจะไม่สำเร็จ
นอกจากนี้เจ้าชายและพ่อค้าชาวยุโรปแต่ละพวกมองเห็นประโยชน์จากสงครามเหล่านี้
เจ้าชายใช้ความสำเร็จในการทำสงครามเพื่อเป็นวิธีที่จะได้มาซึ่งอำนาจ เหล่าพ่อค้าเต็มใจที่จะลงทุนสำหรับสงครามครูเสดเพราะพวกเขาอาจจะเข้าถึงเส้นทางการค้ามากมายที่เชื่อมต่อกับเอเชียไปทางทิศตะวันออก
ในที่สุด กองกำลังเซลจุคก็เข้าโจมตีจักรวรรดิไบเซนไทน์
ทำให้จักรพรรดิแห่งไบเซนไทน์ขอความช่วยเหลือจากสมเด็จพระสันตะปาปา ประมาณคริสต์ศักราช
1095 สมเด็จพระสันตะปาปาเออร์บันที่ 2 ออกมาโต้ตอบ
และประมาณคริสต์ศักราช 1096 สงครามครูเสดครั้งที่ 1 ก็เริ่มขึ้น
สงครามครูเสดครั้งที่ 1 และครั้งที่ 2 ในคริสต์ศักราช 1096 กองทัพยุโรปเป็นอันมาก เริ่มออกเดินทางไปยังกรุงคอนสแตนติโนเปิล
เมืองหลวงแห่งจักรวรดิไบเซนไทน์ จากนั้นพวกเขาก็วางแผนโจมตีปาเลสไตน์
ทหารหลายหมื่นคนเสียชีวิตในระหว่างทาง กองทัพทหารขนาดใหญ่ยังคงเตรียมพร้อมที่จะโจมตีปาเลสไตน์ กองทัพชาวคริสต์ยึดเมืองไนซีอาและแอนติออกได้ และในคริสต์ศักราช
1099 พวกเขาก็ยึดกรุงเยรูซาเล็มได้ พวกเขาแบ่งดินแดนที่พิชิตได้ออกเป็นรัฐนักรบครูเสด
(Crusader State) 4 รัฐ คือ เอเดสสา แอนติออ ตริโปลี
และเยรูซาเล็ม
สงครามครูเสดครั้งที่สอง (คริสต์ศักราช
1147-1149) เริ่มขึ้นหลังจากที่ชาวเติร์กมุสลิมได้ยึดเอารัฐนักรบครูเสด
คือ เอเดสสาในคริสต์ศักราช 1144 กองทัพยุโรปอ่อนแรงจากการเดินทางที่ยากลำบากไปยังดินแดนศักดิ์สิทธิ์
เป็นผลให้กองกำลังมุสลิมพิชิตนักรบครูเสดที่ดามัสกัส ชาวคริสต์รักษารัฐนักรบครูเสดอื่น
ๆ เอาไว้ได้
พวกเขารอดชีวิตมาได้ในส่วนหนึ่งเป็นเพราะความขัดแย้งอย่างต่อเนื่องในหมู่ผู้นำของชาวมุสลิม
 |
ภาพนี้วาดขึ้นในคริสต์ศตวรรษที่ 12 นักรบครูเสดแล่นเรือผ่านช่องแคบบอสฟอรัส ผ่านกรุงคอนสแตนติโนเปิล (กรุงอิสตันบูล ประเทศเตอรกีในปัจจุบัน) |
ชาวมุสลิมชนะและพ่ายแพ้
ความขัดแย้งของชาวมุสลิมสิ้นสุดลงในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 11 ความเป็นเอกภาพนี้เกิดขึ้นพร้อมกับการอุบัติขึ้นของซาลาห์อัลดินหรือศอลาฮุดดิน
(Salah-al-din) ซึ่งเป็นผู้นำทางการเมืองและการทหารของชาวมุสลิม
ซาลาดินหรือศอลาฮุดดิน (Saladin) กับสงครามครูเสดครั้งที่
3 ซาลาห์อัลดินเป็นที่รู้จักของชาวยุโรปว่า
ซาลาดิน (Saladin - SAL•uh•dihn) กว่าหนึ่งปีที่ซาลาดินเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วในฐานะผู้นำของชาวมุสลิม
ครั้งแรกในอียิปต์และต่อมาในซีเรีย เขากลายเป็นที่รู้จักกันดีในฐานะที่เป็นผู้นำอัจฉริยะ
ขรึม หนักแน่น และดุดัน แต่ใจกว้างและมีน้ำใจอีกด้วย
ในคริสต์ศักราช 1187 ซาลาดินได้รวบรวมทัพใหญ่โจมตีรัฐนักรบครูเสด
กองกำลังของซาลาดินได้รับชัยชนะเป็นอันมากและยึดกรุงเยรูซาเล็มคืนมาได้ ใช้เวลาไม่นานัก
ข่าวแห่งชัยชนะของซาลาดินก็แพร่ไปถึงยุโรป
หลังจากการล่มสลายของกรุงเยรูซาเล็ม
สมเด็จพระสันตะปาปาต้องการจะให้เกิดสงครามครูเสดอีกครั้ง ผู้นำที่ทรงอิทธิพลที่สุดของยุโรปบางพวกได้ทำสงครามครูเสดครั้งที่สามต่อไป
(คริสต์ศักราช 1189-1192) ในหมู่ผู้นำที่ทรงอิทธิพลเหล่านั้น พระเจ้าริชาร์ดใจสิงห์แห่งอังกฤษ
(King Richard the Lionhearted) พระเจ้าริชาร์ดกลายเป็นผู้นำนักรบครูเสด เพราะความกล้าหาญ
ทักษะและในการสู้รบของพระองค์ นักรบครูเสดประสบความสำเร็จในตอนแรก
แต่พวกเขาไม่บรรลุเป้าหมายหลักในการยึดกรุงเยรูซาเล็ม ในคริสต์ศักราช 1192 ซาลาดินและพระเจ้าริชาร์ดได้ตกลงกันเพื่อพักรบ
เยรูซาเล็มจะยังคงอยู่ภายใต้การควบคุมของชาวมุสลิม แต่ในทางกลับกัน ซาลาดินตกลงอนุญาตให้ชาวคริสต์ผู้แสวงบุญเดินทางมาเยี่ยมชมสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของเมืองได้
 |
แผนที่สงครามครูเสด ค.ศ. 1096 - 1204 |
สงครามครูเสด ครั้งที่ 4 การสู้รบไม่ได้ยืดเยื้อและยุโรปได้ประกาศสงครามครูเสด
ครั้งที่ 4 (คริสต์ศักราช 1202-1204) เพื่อจ่ายเงินให้กับพ่อค้าชาวอิตาลีที่ลำเลียงพวกเขาไป
นักรบครูเสดชาวแซกซันได้ตกลงกันที่จะโจมตีเมืองซารา (Zara) แห่งจักรวรรดิไบเซนไทน์
ครั้นแล้ว พวกนักรบแซกซันก็ขับไล่คอนสแตนติห็เป็นพันธมิตรทางการเมืองในความดูแลของจักรวรรดิไบเซนไทน์
สมเด็จพระสันตะปาปาโกรธพวกนักบที่โจมตีเมืองที่นับถือศาสนาคริสต์ แต่พระองค์ก็ไม่สามารถหยุดพวกเขาได้
การโจมตีทำให้จักรวรรดิไบเซนไทน์อ่อนแอเป็นอันมาก
ผลกระทบจากสงครามครูเสด การติดต่อกับวัฒนธรรมจากเมดิเตอร์เรเนียนตะวันออกของยุโรปได้วิวัฒนาการขึ้นในช่วงสงครามครูเสด
พวกนักรบแซกซันได้นำสินค้าของชาวเอเชียกลับไป ส่งผลให้การค้าเจริญเติบโตขึ้น สินค้าเหล่านี้ มีเครื่องเทศ ขนสัตว์ ผ้า อ้อย ข้าวและผลไม้ต่าง
ๆ การค้าขายที่เจริญเติบโตขึ้นข้ามทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ได้ช่วยเมืองหลายเมืองของยุโรปพัฒนาขึ้นและสร้างบทบาทของพ่อค้าในเมืองให้สำคัญมากขึ้น
สิ่งที่หลงเหลือจากสงครามครูเสดอีกประการหนึ่งคือการที่ชาวคริสต์เป็นปรปักษ์ต่อชาวยิวมากขึ้น
ชาวคริสต์มองเห็นผู้ที่ไม่ใช่ชาวคริสต์ทั้งหมดเป็นศัตรูของพวกเขามากขึ้น ๆ บนทางไปยังปาเลสไตน์ของพวกเขา พวกนักรบแซกซันบางพวกได้สังหารหมู่ชาวยิวในยุโรป
การฆ่ายังคงดำเนินอยู่ในปาเลสไตน์ หลังจากสิ้นสุดสงครามครูเสด ชาวยิวถูกขับออกจากประเทศอังกฤษในคริสต์ศักราช
1290 และจากฝรั่งเศสในคริสต์ศักราช 1306 และอีกครั้งในคริสต์ศักราช 1394
พวกยิวเหล่านี้เป็นจำนวนมากได้อพยพไปยังยุโรปตะวันออก
อย่างก็ตาม ชาวมุสลิมก็อนุญาตให้ชาวยิวและชาวคริสต์อาศัยด้วยความสงบในหลายกรณีเป็นส่วนใหญ่
นักรบแซกซันจำนวนมากที่อาศัยอยู่ในปาเลสไตน์ก็ให้ควมเคารพชาวมุสลิม แต่การขาดความอดทนของชาวคริสต์ที่มีต่อชาวยิวยังดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง
 |
แผนที่เรกองกิสตา ค.ศ. 1000 - 1492 |
เรกองกิสตา (The Reconquista) ผู้นำมุสลิมได้ขับไล่นักรบแซ็กซันออกจากปาเลสไตน์ แต่ในสเปนเกิดขึ้นตรงกันข้าม
ที่นี่เป็นกองทัพชาวคริสต์ที่ขับไล่เหล่าผู้ปกครองชาวมุสลิมออกไป
เหตุการณ์นี้เป็นที่รู้จักกันในภาษาสเปน ว่า รีกองกิสตา (reh•kawn•KEES• tah)
ชาวมุสลิมพิชิตคาบสมุทรไอบีเรีย
ซึ่งเป็นที่ตั้งของประเทศสเปนและโปรตุเกสในปัจจุบัน ในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 7 อย่างไรก็ตาม ประมาณคริสต์ศตวรรษที่ 10 ความสามัคคีของชาวมุสลิมบนคาบสมุทรพังพินาศลง
อาณาจักรสเปนและโปรตุเกสจึงลุกขึ้นพิชิตกองกำลังมุสลิม ในคริสต์ศตวรรษที่ 14
กษัตริย์เฟอร์ดินานด์และพระราชินีอิซาเบลลา (King Ferdinand
and Queen Isabella) ได้รวบรวมสเปนปึกแผ่นด้วยอำนาจทางทหารและทางศาสนา
กองทัพของทั้งสองพระองค์ได้ยึดเมืองได้หลายเมืองและเจ้าหน้าที่ของคริสตจักรของพระองค์ได้ใช้ศาลลงโทษคนไม่เห็นด้วยกับคำสอนของคริสตจักร
ศาลนี้ ได้ถูกนำมาใช้ทั่วทวีปยุโรป เรียกว่า ศาลไต่สวนศรัทธา (Inquisition) ศาลไต่สวนศรัทธา ได้สืบสวนทรมานและประหารชีวิตชาวยิวและชาวมุสลิมเป็นจำนวนมากในสเปนและโปรตุเกส
ในคริสต์ศักราช 1492 กษัตริย์เฟอร์ดินานด์และราชินีอิซาเบลลา
ได้ทำเรกองกิสตาจนเสร็จสมบูรณ์ด้วยการบังคับให้ผู้ปกครองชาวมุสลิมพวกสุดท้ายและพรรคพวกของพวกเขาให้ออกไป
ชาวยิวเป็นจำนวนมากก็ถูกบังคับให้ออกไปเช่นกัน
 |
พระราชวังที่สร้างเป็นป้อมปราการ มองข้ามจากเมืองกรานาดาในสเปน เมืองอาลัมบรา เป็นที่ประทับสำหรับผู้ปกครองมุสลิมองค์สุดท้ายในสเปน |
โรคระบาดกับสงครามร้อยปี
โรคระบาด
ก่อนสิ้นศตวรรษ โรคระบาดได้ฆ่าผู้คนในยุโรป แอฟริกาเหนือ
และเอเชียตะวันตกหลายสิบล้านคน ในยุโรป ประชากรทั้งหมดประมาณหนึ่งในสามได้เสียชีวิต
การระบาดของโรค โรคระบาดที่โจมตีทวีปยูเรเซีย
(คือทวีปยุโรปและทวีปเอเชีย) ตะวันตก ในช่วงกลางคริสต์ศตวรรษที่ 13 คือ กาฬโรค
ผู้ที่ตกเป็นเหยื่อของมัน จะมีอาการหนาวสั่น ไข้ ชักและอาเจียนอย่างรุนแรง ผู้ประสบภัยยังมีจุดด่างดำเกิดขึ้นบนผิวหนังและมีต่อมปูดขึ้น ผู้คนที่เป็นโรคกาฬโรคมักจะตายภายในไม่กี่วัน โรคระบาดในคริสต์ศตวรรษที่
13 ยังเป็นที่รู้จักกันว่า Black Death
 |
โรคระบาด เป็นโรคชนิดหนึ่งมีจุดดำบนผิวหนัง ภาพวาดนี้ วาดขึ้นในยุคเกิดโรคระบาด |
--------------------------------
การแพร่กระจายของโรคระบาด
 |
แผนที่การแพร่กระจายของโรคระบาด |
นักวิชาการเชื่อว่าโรคระบาดแพร่กระจายจากเอเชียกลาง โดยแพร่กระจายมาทางบกไปตามเส้นทางการค้าจากเอเชียไปยังยุโรป
นอกจากนี้ยังแพร่กระจายตามเส้นทางทะเล ในเดือนตุลาคม คริสต์ศักราช 1347 เรือค้าขายได้นำโรคไปยังอิตาลี
ครั้นแล้ว โรคระบาดไปทางเหนืออย่างรวดเร็ว ในฤดูใบไม้ผลิต่อมา โรคระบาดได้แพร่กระจายไปยังฝรั่งเศสและเยอรมนี
และไปไกลถึงตอนเหนือของอังกฤษ
1. โรคระบาดอาจจะแพร่กระจายจากเอเชียกลาง
แต่ไม่สามารถจะทราบได้อย่างชัดเจน
2. หนูเป็นพาหะนำหมัดที่ติดเชื้อเดินทางพร้อมกับพ่อค้าตามเส้นทางการค้า
3. พ่อค้าชาวอิตาลีนำโรคระบาดไปยังยุโรปโดยไม่รู้ตัว
----------------------------
ผลกระทบจากโรคระบาด การสูญเสียครั้งใหญ่ของสิ่งมีชีวิตที่เกิดจากโรคระบาดมีผลกระทบสำคัญต่อเอเชีย
แอฟริกาเหนือและยุโรป ชาวคริสต์และชาวมุสลิมมีปฏิกิริยาตอบสนองต่อโรคระบาดที่แตกต่างกัน
ชาวคริสต์มักจะมองโรคระบาดเป็นการลงโทษบาป
โดยการเปรียบเทียบกัน ชาวมุสลิมมองโรคระบาดเป็นการทดสอบความศรัทธาของตนในพระเจ้า
โรคระบาดได้ฆ่าผู้คน 20 ถึง 30 ล้านคน โดยไม่คำนึงถึงศรัทธาของพวกเขา
ประมาณคริสต์ศักราช 1400
ในช่วงเวลาสั้น ๆ สงครามได้หยุดลงและการค้าปรับตัวลดลง
เจ้าของที่ดินบางพวกเกิดความวิบัติย่อยยับเพราะการขาดแคลนแรงงาน อย่างไรก็ตาม ข้อนี้เป็นผลให้มีการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสำหรับบางคนตามมา
ตัวอย่างเช่น แรงงานยุโรปหายากมากจนกระทั่งผู้ที่สามารถจะทำงานได้จะเรียกร้องค่าใช้จ่ายสูงขึ้นสำหรับแรงงานของพวกเขา
การขาดแคลนแรงงานและค่าจ้างสูงขึ้นทำให้ระบบศักดินาอ่อนแอลง เพราะคนงานเริ่มที่จะย้ายไปค้นหาค่าจ้างที่สูงกว่า
ในยุโรป ความเป็นปรปักษ์ต่อชาวยิวที่ขยายขึ้นในช่วงสงครามครูเสด
ก็ดำเนินไปอย่างต่อเนื่องตลอดระยะเวลาที่เกิดกาฬโรค ชาวยิวมักจะถูกกล่าวหาว่าก่อให้เกิดโรคระบาดด้วยการวางยาพิษบ่อน้ำ
พวกเขาถูกขับไล่ออกจากเมืองหลายเมืองในเยอรมันในช่วงที่เกิดโรคระบาด
สงครามร้อยปี
ในคริสต์ศตวรรษที่ 13 อังกฤษและฝรั่งเศสไม่เพียงเผชิญกับโรคระบาดเท่านั้น
แต่ยังเผชิญกับสงครามบ่อย ๆ เช่นกัน ระหว่างคริสต์ศักราช 1337 และ 1453 อังกฤษและฝรั่งเศสต่อสู้กันในสงครามร้อยปี (Hundred
Years’ War) จริง ๆ แล้วสงครามเกิดเป็นช่วง ๆ ไม่ใช่ต่อสู้ครั้งเดียวอย่างต่อเนื่อง
เบื้องหลังสงคราม ดยุควิลเลียมแห่งนอร์มังดี (Normandy)
จากภูมิภาคนอร์แมนของฝรั่งเศส อ้างว่าเป็นพระมหากษัตริย์โดยชอบธรรมของอังกฤษ
ในคริสต์ศักราช 1066 ดยุควิลเลียมได้ยึดอังกฤษในสิ่งที่เรียกว่าการรุกรานของนอร์แมน
พระองค์เป็นที่รู้จักกันว่า วิลเลียมผู้พิชิต และได้เชื่อมสัมพันธ์ขุนนางของฝรั่งเศสกับขุนนางของอังกฤษ
ผ่านมาเป็นปี ความตึงเครียดได้เข้าครอบงำผู้ที่มีสิทธิในการปกครองภูมิภาคแต่ละภูมิภาค
หลายปีแห่งการทำสงคราม ความตึงเครียดเหล่านั้นทวีความรุนแรงมากขึ้นในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 13 อังกฤษอ้างกรรมสิทธิ์ดินแดนในตะวันตกเฉียงใต้ของฝรั่งเศส
ฝรั่งเศสก็สนับสนุนสกอตแลนด์ให้ต่อสู้กับอังกฤษ นอกจากนี้ยังมีการอภิปรายเกี่ยวกับสิทธิในการเดินทางทางทะเลในช่องแคบอังกฤษ
การต่อสู้เริ่มขึ้นเมื่อกษัตริย์แห่งฝรั่งเศสพยายามที่จะยึดดินแดนทางตอนใต้ของฝรั่งเศสที่อังกฤษอ้างว่าเป็นกรรมสิทธิ์
กษัตริย์อังกฤษตอบโต้ด้วยการอ้างว่าเขาเป็นราชาแห่งฝรั่งเศสโดยชอบธรรม ในคริสต์ศักราช
1337 อังกฤษจึงโจมตีฝรั่งเศส
ในช่วงแรก อังกฤษมีชัยชนะหลายครั้ง ในคริสต์ศักราช 1428 อังกฤษได้โจมตีเมืองออร์เลอ็อง
(Orléans) ซึ่งเป็นหนึ่งในฐานที่มั่นสำคัญของฝรั่งเศสแห่งสุดท้าย
เด็กหญิงชาวนาฝรั่งเศสคนหนึ่ง ซึ่งรู้จักกันในนาม โยนออฟอาร์ (Joan of Arc
– วีรสตรีเหล็กหัวใจทมิฬ) ได้นำฝรั่งเศสไปสู่ชัยชนะ ประมาณคริสต์ศักราช
1453 ฝรั่งเศสได้ขับไล่อังกฤษออกจากฝรั่งเศสและยุติสงคราม
----------------------------------
โยนออฟอาร์ก หรือ ฌาน ดาร์ก
(Joan fo Arc or Jeanne d'Arc)
(มีชีวิตระหว่าง ค.ศ. 1412 – 1431)
 |
ภาพวาดโยนออฟอาร์ก |
โยนออฟอาร์กเกิดเป็นชาวนาในดงเรมี (Domrémy) ฝรั่งเศส ประมาณคริสต์ศักราช 1412 เธอเป็นคาทอลิกที่มีศรัทธาแน่วแน่ เมื่ออายุ
13 ปี เธอเชื่อว่าวิสัยทัศน์ทางศาสนากระตุ้นให้เธอต่อสู้อังกฤษในช่วงสงครามร้อยปี ในคริสต์ศักราช
1429 เธอได้โน้มน้าวใจพระเจ้าชาร์ลส์ ทายาทบัลลังก์แห่งฝรั่งเศส ว่าวิสัยทัศน์ของเธอเป็นของพระเจ้า
พระเจ้าชาร์ลส์ได้สร้างให้เธอเป็นอัศวิน ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1429 โยนได้นำฝรั่งเศสไปสู่ชัยชนะในการสู้รบกับอังกฤษที่ออร์เลอ็อง
หนึ่งปีต่อมา โยนก็ถูกจับโดยพันธมิตรของอังกฤษ
เธอถูกประหารชีวิตในที่สุด ใน ค.ศ. 1431 เธอกลายเป็นวีรสตรีระดับชาติในฝรั่งเศสและได้รับการประกาศเป็นนักบุญโดยคริสตจักรคาทอลิกในปี
ค.ศ. 1920
----------------------------------
อาวุธชนิดใหม่ อาวุธชนิดใหม่ได้เปลี่ยนแปลงสงครามในทวีปยุโรปและทั่วโลก
คันธนูขนาดใหญ่ได้ยิงลูกธนูที่มีพลังมากพอที่จะเจาะเสื้อเกราะของอัศวิน ยุโรปยังใช้ประโยชน์จากอาวุธดินปืนชนิดใหม่ เทคโนโลยีดินปืนมาจากประเทศจีน
แต่ยุโรปได้พัฒนาเทคโนโลยีให้เป็นเครื่องมือที่สำคัญของสงคราม ยกตัวอย่างเช่น ปืนไฟขนาดใหญ่สามารถทำลายกำแพงปราสาทลงได้และวิ่งผ่านเกราะของอัศวินได้
อาวุธชนิดใหม่เหล่านี้สามารถเอาชนะอัศวินได้อย่างง่ายดาย กว่า 300 ปีถัดมา ธรรมชาติของสงครามได้เปลี่ยนไปเป็นอย่างมาก
ยุโรปสมัยใหม่ตอนต้นปรากฏตัวขึ้น
เป็นเวลาหลายศตวรรษ สังคมยุโรปเป็นอันมากดำเนินตามโครงสร้างระบบศักดินา
อย่างไรก็ตาม เมื่อเวลาผ่านไป ระบบศักดินาของยุโรปได้ล่มสลายลงและส่งสัญญาณการสิ้นสุดของยุคกลาง
โครงสร้างทางสังคมและการเมือง การค้าขายของยุโรปได้ขยายตัวตลอดยุคกลาง
จำนวนและขนาดของเมืองได้ขยายตัวไปด้วย ในขณะที่ผู้คนก็อพยพออกมาจากชนบทเพื่อจะแสวงหาโชคลาภของพวกเขา
นี้เป็นความจริงแม้ว่าประชากรยุโรปโดยรวมจะใช้เวลาหลายปีในการฟื้นตัวจากโรคระบาด สงครามร้อยปี
และสงครามอื่น ๆ
หลายเมืองต้องการความมั่นคงในการทำธุรกิจและการค้าให้น่าเชื่อถือมากขึ้น
พ่อค้าผู้มั่งคั่งได้เพิ่มอำนาจทางการเมืองท้องถิ่นของตนขึ้นเรื่อย ๆ พระมหากษัตริย์ของยุโรปยังสนพระทัยพ่อค้าผู้ร่ำรวย
นายธนาคารและพ่อค้า ในฐานะเป็นแหล่งที่มาของเงินสดที่เข้มแข็งที่สุดของพวกเขาผ่านการเก็บภาษีและเงินกู้ยืม
พระมหากษัตริย์ที่ได้รับการสนับสนุนเป็นอย่างดีได้บังคับใช้กฎหมายและความสงบเรียบร้อย
โดยการจัดการความมั่นคงให้กับเมืองหลายเมือง เป็นผลให้เมืองหลายเมืองกลายเป็นศูนย์กลางการสนับสนุนกษัตริย์และในทางกลับกันกษัตริย์ก็ขยายอำนาจของตน
กษัตริย์มีความเข้มแข็งมากยิ่งขึ้นหลังจากสงครามร้อยปี
ยกตัวอย่างเช่น สถาบันพระมหากษัตริย์ของฝรั่งเศสไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับการเรียกร้องสิทธิของอังกฤษในราชบัลลังก์ของพวกเขา
พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 (ค.ศ. 1643-1715)
ของฝรั่งเศสกลายเป็นสัญลักษณ์ของอำนาจของพระมหากษัตริย์แบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ คือ พระมหากษัตริย์หรือพระราชินีที่มีอำนาจไม่จำกัดและควบคุมทุกแง่มุมของสังคม
ด้วยความช่วยเหลือจากองคมนตรีที่มีฝีมือ พระเจ้าหลุยส์จะได้ทำให้ฝรั่งเศสเป็นประเทศที่มีอำนาจมากที่สุดในยุโรป
 |
ภาพวาดนี้ คือ ร้านค้าในหมู่บ้านในประเทศฝรั่งเสศส แสดงถึงการดำเนินธุรกิจประจำวัน ภาพนี้วาดขึ้นในคริสต์ศตวรรษที่ 14 |
แนวความคิดใหม่ ๆ สำหรับความคิดเห็นของนักประวัติศาสตร์เป็นจำนวนมาก
จุดสิ้นสุดของยุคกลางเริ่มต้นขึ้นด้วยการพัฒนาของประเทศขนาดใหญ่ที่มีรัฐบาลกลางทรงประสิทธิภาพบริหารราชการโดยพระมหากษัตริย์
ในขณะที่ยุคกลางมาถึงจุดจบ นักวิชาการก็ยังศึกษาตำราคลาสสิกอย่างต่อเนื่อง เริ่มต้นด้วยนักวิชาการผู้ชาย
เช่นโทมัส อไควนัส (Thomas Aquinas) ความคิดใหม่ ๆ เกี่ยวกับการเรียนรู้ วิทยาศาสตร์
และศิลปะ ได้พัฒนาในเมืองหลายเมืองของอิตาลี ความคิดใหม่ ๆ ได้แพร่กระจายไปตามเส้นทางการค้าขายในยุโรป
ยุคใหม่นี้ เรียกว่า สมัยฟื้นฟูศิลปวิทยา (Renaissance)
 |
ภาพวาดสงครามร้อยปี วาดขึ้นในคริสต์ศตวรรษที่ 14 ในภาพมีการใช้ปื่นใหญ่และคันธนูขนาดใหญ่ |
จุดเริ่มต้นของการปกครองสมัยใหม่
การปกครองของอังกฤษ
ในยุคกลาง อำนาจตามกฎหมายในประเทศอังกฤษเริ่มค่อย ๆ เปลี่ยนแปลงจากระบบพระมหากษัตริย์
แนวความคิดที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงนี้เป็นรากฐานของการปฏิบัติที่ถูกต้องตามกฎหมายสมัยใหม่เป็นจำนวนมาก
 |
นี้เป็นตราประจำตระกูลของพระเจ้าจอห์นก่อนที่พระองค์จะขึ้นครองราชย์ ตราประจำตระกูลเป็นชุดของสัญลักษณ์บ่งบอกตระกูลและปัจเจกบุคคล |
กฎหมายจารีตประเพณี (Common Law) พระเจ้าเฮนรี่ที่ 2 (King
Henry II - ค.ศ. 1154-1189) ได้นำความมั่นคงไปสู่ระบบกฎหมายของอังกฤษ
โดยการส่งผู้พิพากษาในราชสำนักไปยังทุกส่วนของประเทศ
ก่อนหน้านี้กฎหมายก็ขึ้นอยู่กับประเพณีท้องถิ่นและศาลชี้ขาดสมัยก่อน กฎหมายนี้ถูกเรียกว่า
กฎหมายจารีตประเพณี (Common Law) นั่นหมายความว่า การตัดสินในส่วนหนึ่งของอังกฤษอาจจะแตกต่างจากส่วนอื่น
ๆ อย่างไรก็ตาม การตัดสินของผู้พิพากษาในราชสำนักแบบใหม่
ตั้งใจที่จะนำไปใช้กับทุกส่วนของประเทศอังกฤษ กฎมณเฑียรบาลมีแนวโน้มว่าจะทำให้ประชาชนทั่วอังกฤษได้รับการปฏิบัติอย่างเสมอภาคกันมากขึ้น
ศาลอิสระ
(Independent Courts – หาคำแปลไม่พบ
ผู้รู้โปรดแนะนำ)
ผู้พิพากษาในราชสำนักมุ่งที่จะเป็นอิสระจากการเมืองท้องถิ่น อย่างไรก็ตาม
พวกเขาไม่ได้เป็นอิสระจากรัฐบาลพระราช ศาลยุคกลางของอังกฤษแตกต่างจากศาลในปัจจุบันนี้มาก
ตัวอย่างเช่น ศาลของสหรัฐมีความเป็นอิสระจากส่วนอื่น ๆ ทุกส่วนของรัฐบาล
นี้เรียกว่าตุลาการอิสระ
 |
ในภาพนี้ พระเจ้าจอหน์กำลังลงนามในมหากฎบัตร เมื่อประมาณ 800 ปีที่ผ่านมา เอกสารนี้ยังคงมีอิทธิพลต่อการปกครองในปัจจุบันนี้ |
มหากฎบัตร (Magna Carta) ในคริสต์ศักราช 1199 บุตรคนสุดท้องในบรรดาบุตรทั้งหลายของพระเจ้าเฮนรีที่
2 ชื่อ จอห์น ได้ขึ้นครองอำนาจ พระเจ้าจอห์นได้สู้รบและพ่ายแพ้สงครามเป็นอันมาก
สงครามให้อังกฤษอ่อนแอทางการเงิน บารอน (barons) หลายท่าน
ซึ่งเป็นสมาชิกของขุนนางอังกฤษไม่เห็นด้วยกับนโยบายของพระเจ้าจอห์น พวกเขาจึงบอกพระเจ้าจอห์นให้ตระหนักถึงสิทธิของพวกเขา
พวกเขาแสดงสิทธิดังกล่าวในเอกสารที่เรียกว่า มหากฎบัตร และบังคับให้พระเจ้าจอห์นลงนามในคริสต์ศักราช
1215
มหากฎบัตรรับประกันการคุ้มครองกฎหมายและการพิจารณาคดีโดยคณะลูกขุน
ยังรับประกันว่ากษัตริย์ไม่สามารถเก็บเงินจากขุนนางโดยการอนุมัติของพวกเขา อย่างไรก็ตาม
คนธรรมดาสามัญชาวอังกฤษไม่ได้รับประโยชน์จากมหากฎบัตรโดยทันที อย่างไรก็ตาม
มหากฎบัตรก็เป็นตัวอย่างสำหรับการพัฒนาประชาธิปไตยในระยะต่อมาในอังกฤษและทั่วโลก
หมายเหตุ: มหากฎบัตร (ดูภาพ)
ได้ถูกร่างขึ้นครั้งแรกในคริสต์ศักราช 1215 แนวความคิดบางอย่างสามารถหาดูได้จากรัฐธรรมนูญของสหรัฐอเมริกา
ซึ่งเขียนขึ้นเมื่อ 575 มาแล้ว
สถาบันที่เป็นแบบฉบับ
นักประวัติศาสตร์บางคนเห็นว่าการปฏิบัติทางการเมืองของอังกฤษในยุคกลางเป็นรากฐานของการปกครองแบบตัวแทนสมัยใหม่
แต่การเกิดขึ้นของอำนาจของรัฐสภาล่าช้าและได้มาด้วยความยากลำบาก
สภาสำหรับการปกครองแบบใหม่ ขั้นตอนที่สำคัญเกี่ยวกับการปกครองแบบตัวแทนเกิดขึ้นในคริสต์ศักราช
1264 ขุนนางอังกฤษได้ถอดถอนพระเจ้าเฮนรี่ที่ 3 จากบัลลังก์หลังจากที่พระองค์เลิกสัญญากับพวกเขา
พวกเขาให้กลุ่มผู้แทนซึ่งต่อมาเรียกว่ารัฐสภาปฏิบัติหน้าที่แทนพระองค์ รัฐสภาประกอบด้วยขุนนาง
เจ้าหน้าที่คริสตจักรระดับสูงและผู้แทนจากเมืองใหญ่และเมืองเล็ก
พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 1 (Edward
I) บุตรชายของพระเจ้าเฮนรีได้ยึดบัลลังก์คืนในคริสต์ศักราช 1265 แต่พระองค์ก็ไม่ได้กำจัดรัฐสภาเพราะพระองค์ต้องการการสนับสนุนทางการเมือง
ในคริสต์ศักราช 1295 รัฐสภาเป็นที่ประชาชนมาชุมนุกันซึ่งเป็นการยอมรับกันอย่างกว้างขวางเป็นครั้งแรกว่าเป็นรัฐสภาแบบตัวแทนอย่างแท้จริง
เป็นที่รู้จักกันว่าเป็นรัฐสภาที่เป็นแบบอย่าง ผู้แทนจากทุกมณฑล ตำบลและเมืองมาชุมนุมกัน
พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดได้เรียกหารัฐสภาตลอดรัชสมัยของพระองค์ อย่างไรก็ตาม แม้ในตอนท้ายของการครองราชย์ของพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดในคริสต์ศักราช
1307 อำนาจของรัฐสภาก็ยังคงไม่ชัดเจนโดยสิ้นเชิง
 |
หนังสือหน้านี้จากต้นฉบับในคริสต์ศตวรรษที่ 14 ในภาพ พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 1 กำลังกำกับดูแลรัฐสภาพแบบใหม่ของพระองค์ |
อำนาจของรัฐสภา รัฐสภาก่อรูปขึ้นเป็นสองสภาหรือฝ่ายในการปกครองประเทศ
คือ สภาสามัญชน (House of Commons) และสภาขุนนาง (House
of Lords) ในที่สุด รัฐสภาก็จะควบคุมการเก็บภาษี ผลที่ตามมามันจะจำกัดอำนาจของระบอบพระมหากษัตริย์ของอังกฤษ
ในที่สุด รัฐสภายังสามารถแนะนำและผ่านกฎหมาย
พระมหากษัตริย์ไม่สามารถประกาศใช้กฎหมายใหม่ได้โดยปราศจากการอนุมัติของรัฐสภา
อำนาจของรัฐสภาค่อย ๆ เจริญขึ้น
การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวข้างต้นใช้เวลานานหลายศตวรรษในการพัฒนา แม้ศึกสงครามก็ต่อสู้เพื่อคำถามของผู้มีอำนาจของรัฐสภา
แต่การปฏิบัติทางกฎหมายและตามรัฐธรรมนูญของอังกฤษยุคกลางจะเป็นแนวทางให้กับนักคิดทางการเมืองในภายหลัง
การก่อกำเนิดของความคิดแบบประชาธิปไตยสมัยใหม่
ตุลาการอิสระ สิทธิของประชาชนและรูปแบบของประชาธิปไตยของการปกครองไม่ได้อยู่ในยุคกลางของอังกฤษในขณะที่เรารู้จักอยู่ในทุกวันนี้
เช่น การพัฒนาของรัฐสภา การเจริญเติบโตของความคิดและสถาบันเหล่านี้จะต้องใช้เวลาหลายศตวรรษ
ในระหว่างการพัฒนาระบบเหล่านี้ การปฏิบัติตามกฎหมายและรัฐธรรมนูญของอังกฤษยุคกลางมักจะกลายเป็นแนวทางเสมอ
ๆ
ตุลาการอิสระ ตุลาการอิสระมีการพัฒนาการไปทั่วโลก ในหลายประเทศ ศาลมีอิสระจากสาขาอื่น ๆ
ของการปกครองและสามารถตรวจสอบว่ามีความสมดุลของอำนาจ ตัวอย่างเช่น ศาลสามารถป้องกันรัฐบาลไม่ให้ผ่านกฎหมายที่ละเมิดสิทธิของประชาชน
สิทธิตามกฎหมายอย่างหนึ่งอาจจะเริ่มต้นในอังกฤษยุคกลางคือหมายศาลที่เรียกตัวบุคคลให้มาปรากฏต่อหน้าผู้พิพากษาหรือศาล (habeas corpus) สิทธิข้อนี้ป้องกันไม่ให้รัฐบาลสั่งจำคุกประชาชนโดยไม่มีสาเหตุ ทุกวันนี้ หมายศาลต้องมีตัวเจ้าหน้าที่แสดงหลักฐานทางกฎหมายเพื่อหาสาเหตุที่ทำให้บุคคลถูกจำคุก
สิทธิซึ่งระบุไว้ในมหากฎบัตรมีผลกระทบขุนนางอังกฤษเป็นส่วนใหญ่
ต่อมานักการเมืองได้ขยายการใช้งาน ตัวอย่างเช่น ขุนนางชั้นบารอนกล่าวว่าพระเจ้าจอห์นต้องปรึกษาพวกเขาเมื่อพระองค์ต้องการเงิน
หลายศตวรรษต่อมารัฐสภาอังกฤษที่ถกเถียงกันว่าข้อนี้หมายความว่ากษัตริย์ไม่สามารถขอภาษีโดยไม่มีข้อตกลงของรัฐสภา
 |
สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซษเบธที่ 2 (ประทับนั่งที่ด้านซ้ายของภาพ) ยังคงเป็นประธานในรัฐสภาอังกฤษ |
การปกครองแบบผู้แทน รัฐบาลที่ได้รับการเลือกตั้งโดยประชาชนเพื่อเป็นตัวแทนผลประโยชน์ของพวกเขาคือรัฐบาลแบบผู้แทน
การปกครองแบบผู้แทนที่พยายามจะรวมสมาชิกทุกคนในสังคมคือการพัฒนาค่อนข้างไม่นานมานี้
แต่การปกครองเหล่านั้นเป็นส่วนขยายทางตรรกะของระบบรัฐสภา
รัฐสภาเกิดขึ้นเพราะสมาชิกบางพวกของสังคมเรียกร้องให้รัฐบาลพูดวิธีการที่จะดำเนินการ
 |
สตรีในอเมริกาหย่อนบัตรเลือกตั้งเป็นครั้งแรกใน ค.ศ. 1920 สตรีได้รับสิทธินี้เมื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับที่ 19 ในปีเดียวกัน |
วิธีหลักที่ประชาชนแสดงความคิดเห็นต่อรัฐบาลของพวกเขาจะผ่านการลงคะแนนเสียง
การต่อสู้สำหรับสิทธิในการออกเสียงทั่วไปหรือการเข้าถึงการโหวตใช้มาหลายปีแล้ว
คนอังกฤษส่วนใหญ่ไม่สามารถลงคะแนนให้กับสมาชิกรัฐสภาจนกระทั่งถึงคริสต์ศตวรรษที่ 18 สำหรับผู้หญิง การเข้าถึงการลงคะแนนเสียงเป็นการยากอย่างยิ่ง ในสหรัฐอเมริกา
ผู้หญิงไม่สามารถลงคะแนนเสียงได้จนกระทั่งคริสต์ศักราช 1920
และชาวอเมริกาเชื้อสายแอฟริกันหลายคนถูกกีดกันไม่ให้ออกเสียงได้อย่างมีประสิทธิภาพจนกระทั่งคริสต์ทศวรรษที่
1960