ประวัติศาสตร์โลก

ประวัติศาสตร์โลก
World History

ประวัติศาสตร์โลก

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

ประวัติศาสตร์โลกหรือประวัติศาสตร์มนุษยชาติเริ่มต้นที่ยุคหินเก่า ประวัติศาสตร์โลกไม่รวมประวัติศาสตร์ธรรมชาติที่ไม่ใช่มนุษย์และประวัติศาสตร์ธรณีวิทยา ยกเว้นตราบเท่าที่โลกธรรมชาตินั้นกระทบต่อชีวิตมนุษย์เป็นอย่างมาก ประวัติศาสตร์โลกประกอบด้วยการศึกษาทางโบราณคดีและหลักฐานลายลักษณ์อักษรตั้งแต่สมัยโบราณ ประวัติศาสตร์โบราณที่มีบันทึกเริ่มต้นจากการประดิษฐ์การเขียน ทว่า รากเหง้าแห่งอารยธรรมมีมาแต่ก่อนการประดิษฐ์การเขียน สมัยก่อนประวัติศาสตร์เริ่มต้นในยุคหินเก่า ต่อด้วยยุคหินใหม่และการปฏิวัติเกษตรกรรม(ระหว่าง 8000 ถึง 5000 ปีก่อนคริสตกาล) ในวงพระจันทร์เสี้ยวไพบูลย์ (Fertile Crescent) การปฏิวัติเกษตรกรรมเป็นเครื่องหมายการเปลี่ยนแปลงในประวัติศาสตร์มนุษย์ โดยมนุษย์เริ่มต้นทำการเกษตร คือ กสิกรรมและการเลี้ยงสัตว์อย่างเป็นระบบ เมื่อเกษตรกรรมก้าวหน้าขึ้น มนุษย์ส่วนมากเปลี่ยนจากวิถีชีวิตเร่ร่อนมาเป็นตั้งถิ่นฐานเป็นเกษตรกรในนิคมถาวร การเร่ร่อนยังมีอยู่ในบางที่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่ห่างไกลซึ่งมีพืชที่เพาะปลูกได้ไม่กี่ชนิด แต่ความมั่นคงสัมพัทธ์และผลิตภาพที่เพิ่มขึ้นจากกสิกรรมทำให้ชุมชนมนุษย์ขยายเป็นหน่วยที่ใหญ่กว่า ซึ่งความก้าวหน้าในการขนส่งก็มีส่วนช่วย

เมื่อกสิกรรมพัฒนา การเพาะปลูกธัญพืชมีความซับซ้อนขึ้นและทำให้มีการแบ่งงานกันทำเพื่อเก็บอาหารระหว่างฤดูเพาะปลูก จากนั้นการแบ่งงานทำให้เกิดชนชั้นสูงที่สุขสบายและพัฒนาการนคร สังคมมนุษย์ที่ซับซ้อนมากขึ้นทำให้ระบบการเขียนและการบัญชีมีความจำเป็น หลายนครพัฒนาบนตลิ่งทะเลสาบและแม่น้ำ ตั้งแต่ 3000 ปีก่อนคริสตกาล เกิดนิคมโดดเด่นและมีการพัฒนาดียุคแรก ๆในเมโสโปเตเมีย ริมตลิ่งแม่น้ำไนล์แห่งอียิปต์ และหุบแม่น้ำสินธุ อาจมีอารยธรรมคล้ายกันพัฒนาขึ้นตามแม่น้ำสำคัญในจีน แต่หลักฐานทางโบราณคดีของการสร้างเมืองอย่างกว้างขวางในที่นั้นชัดแจ้งน้อยกว่า

ประวัติศาสตร์โลกเก่า (โดยเฉพาะอย่างยิ่งยุโรปและเมดิเตอร์เรเนียน) โดยทั่วไปแบ่งเป็นยุคโบราณ ถึง ค.ศ. 476, สมัยกลาง ตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 5 ถึง 15 ซึ่งรวมยุคทองของอิสลาม (ประมาณ ค.ศ. 750-1258) และยุคฟื้นฟูศิลปวิทยายุโรปตอนต้น (เริ่มต้นประมาณ ค.ศ. 1300), ยุคใหม่ตอนต้น ตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 15 ถึงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 18 ซึ่งรวมยุคเรืองปัญญา และยุคใหม่ตอนปลาย นับแต่การปฏิวัติอุตสาหกรรมถึงปัจจุบัน รวมทั้งประวัติศาสตร์ร่วมสมัย ตะวันออกใกล้โบราณ กรีซโบราณและโรมโบราณมีความโดดเด่นในยุคโบราณ ในประวัติศาสตร์ยุโรปตะวันตก การเสียกรุงโรมมักยึดเป็นการสิ้นสุดของยุคโบราณและการเริ่มต้นของสมัยกลาง ขณะที่ยุโรปตะวันออกมีการเปลี่ยนผ่านจากจักรวรรดิโรมันเป็นจักรวรรดิไบแซนไทน์ ซึ่งรุ่งเรืองต่อมาอีกเป็นเวลานาน กลางคริสต์ศตวรรษที่ 15 การประดิษฐ์การพิมพ์สมัยใหม่ของโยฮันน์ กูเทนแบร์ก ซึ่งใช้การสื่อสารแบบเคลื่อนที่ได้และเปลี่ยนแปลงอย่างสิ้นเชิง เป็นจุดสิ้นสุดของยุคกลางและนำไปสู่การปฏิวัติวิทยาศาสตร์ เมื่อคริสต์ศตวรรษที่ 18 การสะสมความรู้และเทคโนโลยี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุโรป ได้ถึงจำนวนวิกฤต (critical mass) อันนำมาซึ่งการปฏิวัติอุตสาหกรรม

ในส่วนอื่นของโลก เช่น ตะวันออกใกล้โบราณ จีนโบราณ และอินเดียโบราณ เส้นเวลาทางประวัติศาสตร์ได้คลี่ออกต่างกัน อย่างไรก็ดี จนถึงคริสต์ศตวรรษที่ 18 เนื่องจากการค้าโลกที่ขยายตัวและการล่าอาณานิคม ทำให้ประวัติศาสตร์ของอารยธรรมโลกส่วนมากสานเข้าด้วยกันอย่างแน่นหนา ในช่วงสองร้อยกว่าปีล่าสุด การเติบโตของความรู้ เทคโนโลยี การพาณิชย์ และศักยภาพการทำลายล้างของสงครามได้เร่งให้เกิดขึ้น ก่อให้เกิดโอกาสและอันตรายซึ่งปัจจุบันกำลังเผชิญชุมชนมนุษย์ที่อยู่อาศัยบนดาวเคราะห์ดวงนี้

แปลจากหนังสือ World History โดย...Mcdougal Littel
ผู้แปล...ทรงศักดิ์ สายหยุด

อารยธรรมอเมริกา

อารยธรรมอเมริกา
ภูมิศาสตร์ของอเมริกา
ลำดับเหตุการณ์อเมริกาและโลก
แผนที่ลำดับเหตุการณ์อเมริกาและโลก
แผนที่อารยธรรมอเมริกา
แผนที่อารยธรรมอเมริการ  1,2000 ปี ก่อน ค.ศ. - ค.ศ. 1,500
แผนที่ลำดับเหตุการณ์อารยธรรมอเมริกาและโลก
แผนที่ลำดับเหตุการณ์อารยธรรมอเมริกาและโลก
ภูมิศาสตร์ด้านกายภาพของอเมริกา
          ถ้าเราดูแผนที่ของทวีปอเมริกาเหนือและอเมริกาใต้  ขอให้สังเกตว่าทวีปทั้งสองมีการเชื่อมต่อกัน  สะพานแผ่นดินตอนที่แคบเรียกว่า คอคอดกระ (isthmus) เชื่อมโยงทั้งสองทวีป  แต่ภูมิประเทศและภูมิอากาศของทั้งสองทวีปแตกต่างกันมาก
นกเควทซอล
นกเควทซอล ชาวมายาใช้ขนของนกเควทซอล (Quetzal Bird) เป็นเครื่องประดับ
เสื้อคลุมในพระราชพิธีของกษัตริย์และพระ
ลักษณะดินและแม่น้ำ เทือกเขาพาดไปตามส่วนตะวันตกของทั้งสองทวีป ทวีปอเมริกาเหนือมีเทือกเขาพาดจากเหนือไปใต้ เรียกว่า เทือกเขาร็อกกี (Rocky Mountains) เป็นส่วนหนึ่งของลูกโซ่ของภูเขาที่ทอดยาวเกือบจะติดต่อกันจากอลาสก้าไปยังตอนกลางของเม็กซิโก อเมริกาใต้มีเทือกเขาที่เรียกว่า แอนดีส (Andes) เทือกเขาแอนดีสทอดยาวกว่า 5,500 ไมล์และมียอดเขาสูงจำนวนมาก
น้ำไหลลงมาจากเทือกเขาเหล่านี้ไปยังแม่น้ำที่ยิ่งใหญ่ของทวีป เครือข่ายแม่น้ำที่สำคัญของทวีปอเมริกาเหนือคือมิสซิสซิปปี (Mississippi)  แม่น้ำอเมซอน (Amazon - คนพื้นเมืองออกเสียงแอมะซอน) และแม่น้ำปารานา (Paraná - PAR•uh•NAH) เป็นเครือข่ายที่สำคัญของทวีปอเมริกาใต้
แม่น้ำอเมซอน
แม่น้ำอเมซอน ยาวประมาณ 4,000 ไมล์ (ปมระมาณ 6,400 กิโลเมตร) ยาวเป็นอันดับสองของโลก
รองจากแม่น้ำไนล์  ถ้าวัดระยะทางประมาณกรุงนิวยอร์คของอเมริกาถึงกรุงโรมของอิตาลี
ความหลากหลายของดินฟ้าอากาศ สถานที่ตั้งของทั้งสองทวีปมีผลกระทบต่อฤดูกาล  ทวีปอเมริกาเหนือตั้งอยู่ทางทิศเหนือของเส้นศูนย์สูตร  ทวีปอเมริกาใต้ส่วนมากตั้งอยู่ทางใต้ของเส้นศูนย์สูตร เป็นผลให้ฤดูกาลกลับกัน เมื่อทวีปอเมริกาเหนือเป็นฤดูร้อน อเมริกาใต้จะเป็นฤดูหนาวและในทางกลับกัน เมื่อทวีปอเมริกาใต้เป็นฤดูร้อน อเมริกาเหนือจะเป็นฤดูหนาว
สถานที่ตั้งของทั้งสองทวีปยังส่งผลกระทบต่อภูมิอากาศอีกด้วย ทวีปอเมริกาเหนือส่วนมากมีสภาพภูมิอากาศอบอุ่นหรือแห้งแล้ง มีสี่ฤดูกาลที่แตกต่างกัน มีผู้คนเล็กน้อยอาศัยอยู่ในตอนเหนือของแคนาดา ซึ่งสภาพภูมิอากาศหนาวเย็นมาก
อเมริกาใต้ยังมีความหลากหลายของภูมิอากาศ  นอกจากนี้ ส่วนมากของทวีปได้รับปริมาณน้ำฝนมาก ในความเป็นจริงประมาณครึ่งหนึ่งของทวีปอเมริกาใต้อบอุ่นและมีฝนชุก พื้นที่ที่อบอุ่นและมีฝนชุกเหล่านี้ เรียกว่า เขตโซนร้อน (tropical zones) บางพื้นที่ของทวีปอเมริกาเหนือยังอยู่ในเขตร้อนชื้นอีกด้วย พื้นที่เหล่านี้ส่วนใหญ่อยู่ในอเมริกากลาง คนที่สร้างอารยธรรมโบราณในส่วนของอเมริกากลางนี้ ได้เรียนรู้ในการใช้ชีวิตและเจริญรุ่งเรืองในสภาพภูมิอากาศเขตร้อน
แผนที่แสดงภูมิอากาศอเมริกาเหนือและใต้
แผนที่แสดงภูมิอากาศอเมริกาเหนือและใต้

ภูมิศาสตร์ของเทือกเขาแอนดีส

          อารยธรรมโบราณได้พัฒนาในทวีปทั้งสอง บางแห่งเจริญขึ้นในเทือกเขาแอนดีสในทวีปอเมริกาใต้ เทือกเขาแอนดีสพาดยาวจากเวเนซุเอลาในตอนเหนือไปยังชิลีตอนใต้สุดของทวีป  ประกอบไปด้วยที่ราบสูงและยอดเขาที่สูงพอ ๆ กัน

ยอดเขาสูง ยอดเขาของเทือกเขาแอนดีสสูงที่สุดในทวีปอเมริกา หลายยอดสูงกว่า 20,000 ฟุตหรือเกือบสี่ไมล์ ยอดที่สูงสุดจะปกคลุมไปด้วยดินบางเบา ที่เต็มไปด้วยหิน
เทือกเขาแอนดีสตั้งอยู่ตามพื้นที่ที่มีความเคลื่อนไหวรุนแรงลึกลงไปภายในแผ่นดิน การเคลื่อนไหวครั้งนี้เป็นสาเหตุของการเกิดแผ่นดินไหวและสามารถนำไปสู่​​การระเบิดของภูเขาไฟ สภาพภูมิอากาศยังรุนแรงอีกด้วย ที่ระดับความสูงอากาศเย็นถึงจุดเยือกแข็งและในหลายสถานที่มีปริมาณน้ำฝนไม่แน่นอน

ที่ราบสูงทือกเขาแอนดีสทอดยาวมากเหลือคณนา เทือกเขาจึงแบ่งออกเป็นสองช่วง ที่ราบสูงกลุ่มใหญ่อยู่ระหว่างสองช่วง บริเวณนี้เต็มไปด้วยภูเขา หุบเขา ที่ราบและทะเลทราย แม่น้ำใหญ่สองสามสายชะล้างพื้นที่ แต่ในภูมิภาคสูงที่เป็นทะเลทรายมีฝนแทบไม่เคยตก
ในขณะที่คุณอาจจะจินตนาการว่า การทำการเกษตรเป็นความท้าทายในเทือกเขาแอนดีส เพื่อจะพัฒนาอาหารของพวกเขา เหล่าเกษตรกรในอารยธรรมอินเดียนโบราณได้พัฒนาคลองชลประทาน คลองเหล่านี้นำน้ำไปหล่อเลี้ยงมันฝรั่งและพืชอื่น ๆ ที่เกษตรกรปลูกไว้ เกษตรกรชาวอินเดียนยังตัดที่ดินเป็นขั้นบันไดลงไปตามเชิงเขาเพื่อทำที่ดินต่างระดับสำหรับการเพาะปลูก ที่ดินลดหลั่นแบ่งภูเขาเป็นขั้นแบนขนาดใหญ่ (ดูภาพ)
ปัจจุบันนี้ คนเลี้ยงปศุสัตว์ใช้พื้นที่ทุ่งหญ้าตามธรรมชาติของที่ราบเลี้ยงวัวและแกะ พวกเขายังเลี้ยงลามาและอัลปากา (Alpacas – สัตว์เลี้ยงคล้ายลามาในอเมริกาใต้) ซึ่งเป็นญาติมีขนาดเล็กของอูฐ สัตว์เหล่านี้เป็นสัตว์พื้นเมืองของอเมริกาใต้ สัตว์เหล่านี้กำลังได้รับการส่งเสริมเป็นอย่างมากเพื่อเอาขนของพวกมันและเอาไว้ใช้บรรทุกสิ้นค้า เพื่อขนของหนักไปในภูมิประเทศที่สูงชัน
มาชูปิกชู
เมืองมาชูปิกชูของเผ่าอินคา ตั้งอยู่ติดยอดเขาสองยอดในเทือกเขาแอนดีส
สูงจากระดับน้ำทะเล 8,000 ฟุต 

เมโสอเมริกา (Mesoamerica)

อารยธรรมโบราณที่เกิดขึ้นในทวีปอเมริกาเหนือในภูมิภาคที่เรียกว่าMesoamerica เมโสอเมริการวมถึงเม็กซิโกตอนกลางและตอนใต้ ตลอดถึงประเทศแถบอเมริกากลาง คือ กัวเตมาลา เอลซัลวาดอร์ เบลีซ และหลายส่วนของฮอนดูรัสกับนิการากัว ในทางตรงกันข้ามกับเทือกเขาแอนดีส Mesoamerica มีดินแดนที่มีพื้นที่ต่ำกับสภาพภูมิอากาศอบอุ่นเปอร์เซ็นต์สูงกว่ามาก

แผ่นดินเมโสอเมริกา แผ่นดินส่วนใหญ่ในส่วนทางเหนือของ Mesoamerica เป็นเขตภูเขา เทือกเขาหลายเทือก ทอดไปใกล้ทั้งชายฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิกและชายฝั่งของอ่าวเม็กซิโก  อย่างไรก็ตาม เทือกเขาเหล่านี้เทียบกันไม่ได้กับเทือกเขาแอนดีสในระดับความสูงหรือความสูงชัน ที่ราบสูงทอดผ่านระหว่างเทือกเขาทั้งสองนี้ มันเป็นภูมิประเทศที่ใหญ่ที่สุดทางภูมิศาสตร์ของภูมิภาคนี้  ที่ราบภาคกลางในพื้นที่ของเม็กซิโกซิตี้ ส่วนใหญ่เป็นที่ราบและมีดินที่อุดมสมบูรณ์มากมาย พื้นที่บริเวณนี้เป็นที่ตั้งของ "อู่ข้าวอู่น้ำของประเทศเม็กซิโก (breadbasket of Mexico)" ซึ่งส่วนมากข้าวของประเทศเม็กซิโกก็ปลูกบริเวณนี้
ที่ราบลุ่มเขตร้อนเลียบชายฝั่งอ่าวเม็กซิโก ที่ราบเหล่านี้เป็นพื้นที่ที่มีป่าดงดิบหนาแน่น เต็มไปด้วยลำธาร พื้นที่ของป่ารกทึบยังพบที่คาบสมุทรยูคาทาน (Yucatân - YOO• Kuh•TAN) ซึ่งตั้งอยู่ระหว่างอ่าวเม็กซิโกและทะเลแคริบเบียน

บรรยากาศ ปริมาณน้ำฝนแตกต่างกันมากตลอดภูมิภาค ฝนสามารถตกมากกว่า 80 นิ้วต่อปีในที่ราบลุ่มที่เป็นลำธาร เอื้ออำนวยสภาพแวดล้อมที่ดีให้กับต้นปาล์ม อะโวคาโดและต้นโกโก้ อย่างไรก็ตาม เมื่อปีนสู่ยอดเขาอากาศจะเย็นและแห้ง ที่ราบสูงภาคกลางได้รับปริมาณน้ำฝนเพียงพอที่จะสนับสนุนการเติบโตของธัญพืชต่างๆ ในภาคเหนือมีปริมาณน้ำฝนน้อยมาก
เกษตรกรชาว Mesoamerican ยุคแรกต้องพัฒนาแนวทางการปฏิบัติขั้นสูงในการจัดการกับภูมิอากาศท้องถิ่นของพวกเขา ในบริเวณภูเขาที่แห้งแล้ง เกษตรกรทำชลประทานในนา เพื่อผลิตข้าวโพด ถั่ว และสควอช (พืชตระกูลฟักทอง น้ำเต้า) พวกเขายังทำที่ดินที่เป็นพื้นที่ราบไม่ใหญ่ให้เป็นขั้นบันไดอีกด้วย ในที่ราบลุ่ม เกษตรกรทำการเกษตรตัดแล้วเผา (slash-and-burn agriculture) (คือตัดไม้ทำลายป่า) เมื่อทุ่งนามีประโยชน์น้อย เกษตรกรเริ่มหาที่ดินแห่งใหม่
ตลาดเผ่ามายา
ตลาดสดของเผ่ามายานี้ตั้งอยู่บริเวณเขตภูเขา ประเทศกัวเตมาลาในปัจจุบัน
 เกษตรกรชาวมายาจะนำผลผลิตเหมือนกับที่บรรพบุรุษเคยทำไปขายในตลาดมากมาย
เป็นเวลากว่า 3,000 ปีมาแล้ว
อเมริกากลางและอเมริกาใต้
ชาวโอลเมก (Olmec)
         ประมาณ 3,200 ปีที่ผ่านมา กลุ่มคนที่เรียกว่า Olmec อาศัยอยู่ตามชายฝั่งทะเลอ่าว (เม็กซิโก) ซึ่งปัจจุบันคือเม็กซิโกตอนใต้ เป็นวัฒนธรรมที่สำคัญแห่งแรกที่พัฒนาในเมโสอเมริกา
ชาวโอลเมกเหมือนอารยธรรมอื่น ๆ ในยุคแรกมาก พวกเขาเริ่มต้นด้วยการทำการเกษตรใกล้แม่น้ำที่มักจะถูกน้ำท่วมและทิ้งดินที่อุดมสมบูรณ์ไว้  เมื่อการหาอาหารไว้วางใจได้ ชาวโอลเมกบางพวกจึงมีเวลาว่างทำงานอื่น ๆ บางคนกลายเป็นช่างปั้นดินเผาหรือช่างทอผ้า ในขณะที่คนอื่น ๆบวชเป็นพระสงฆ์หรือผู้บริหาร
ประมาณ 900 ปี ก่อนคริสต์ศักราช ชาวโอลเมกได้สร้างเมืองขนาดใหญ่ ซึ่งปัจจุบันเรียกว่า San Lorenzo และ La Venta (ซาน ลอเรนโซ และ ลาเบนตา) เมืองเหล่านี้เป็นศูนย์รวมศิลปะและการค้าของชาว Olmec  ชาว Olmec ได้ยกย่องอนุสาวรีย์กองดินและหินขนาดใหญ่ใช้สำหรับพิธีกรรมทางศาสนา
ประมาณ 500 ปี ก่อนคริสต์ศักราช ชาว Olmec เริ่มละทิ้งเมืองของพวกเขา เหตุผลในการทำเช่นนี้ยังไม่ชัดเจน ประมาณ 400 ปี ก่อนคริสตศักราช  อารยธรรม Olmec ส่วนใหญ่ได้หายไป แต่ความเชื่อและวิธีการของชาว Olmec ยังคงมีอิทธิพลมากต่อวัฒนธรรม Mesoamerica  เป็นเวลาหลายปีที่ผ่านมา
นักประวัติศาสตร์หลายคนถือว่า Olmec เป็นวัฒนธรรมแม่ของ Mesoamerica วัฒนธรรมแม่ (mother culture) เป็นวิถีชีวิตที่มีอิทธิพลอย่างมากต่อวัฒนธรรมในยุคต่อมา ศิลปะ สถาปัตยกรรม ศาสนาและการค้าขายของชาว Olmec ช่วยก่อรูปร่างวัฒนธรรมในยุคต่อมา เช่น เผ่าแอซเท็กและโดยเฉพาะอย่างยิ่งเผ่ามายา (Aztec and Maya)
ศีรษะหินของชาวโอลเมก
ศีรษะหินขนาดมหึมาของชาวโอลเมก ตั้งอยู่ที่เมืองลาเบนตาหนักถึง 20 ตัน
ชาวโอลเมกคลื่นย้ายศีรษะหินนี้มาไกลจากที่สลักถึง 50 ไมล์ เป็นที่น่าอัศจรรย์
ชนเผ่ามายา
          ชนเผ่ามายาประกอบไปด้วยกลุ่มของประชาชน  Mesoamerican ที่พูดภาษามายารูปแบบต่าง ๆ วัฒนธรรมของพวกเขาใช้รูปแบบศิลปะและอนุสาวรีย์ของชาว Olmec หลาย ๆ อย่างร่วมกัน

เผ่ามายาเจริญเติบโตขึ้น ประมาณ 1,500 ปี ก่อนคริสต์ศักราช  หมู่บ้านเกษตรกรรมขนาดเล็กของชาวมายันเริ่มปรากฏขึ้น เผ่ามายาอาศัยอยู่ในพื้นที่สูงและพื้นที่ลุ่ม ซึ่งปัจจุบันคือประเทศกัวเตมาลาและเบลีซ (Guatemala and Belize) และในแหลมยูคาทาน (Yucatán) ของเม็กซิโก การทำเกษตรกรรมอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้มีประชากรมากมาย จนพัฒนากลายเป็นเมือง และคนงานที่เชี่ยวชาญ เหมือนกับชาว Olmec การแบ่งแรงงานในสังคมมายันนี้นำไปสู่การพัฒนาระบบชนชั้น มีชนชั้นทางสังคมในวงกว้างสี่ชนชั้นในสังคมมายา คือ ชนชั้นปกครอง ชนชั้นขุนนาง ชาวไร่ชาวนาและทาส
ชนชั้นปกครองเป็นกษัตริย์และราชวงศ์ กษัตริย์บริหารเมืองแต่ละเมืองของชาวมายา  (ในขณะที่อารยธรรมมายาเจริญสูงสุด มีเมืองมากกว่า 40 เมือง) กษัตริญยังทำหน้าที่ของพระสงฆ์ในทางศาสนาอีกด้วย
ขุนนางชาวมายามีการศึกษาและมีความมั่งคั่งตลอดจนทำงานเป็นนักวิชาการ นักรบ และพ่อค้าไปพร้อม ๆ กัน พวกเขามีอาหารการกินดีกว่าชาวนา ในความเป็นจริง อาหารบางอย่าง เช่นช็อคโกแลต ถูกสงวนไว้สำหรับคนชั้นสูงเพียงอย่างเดียว
ชาวนาที่เป็นประชากรส่วนใหญ่มีความเป็นอยู่แตกต่างจากขุนนางมาก ส่วนใหญ่เป็นเกษตรกรที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านเล็ก ๆ ใกล้กับเมือง พวกเขาปลูกพืช เช่นข้าวโพด ถั่ว สควอชและพริกไทย เกษตรกรชาวมายาใช้เทคนิคการปลูกพืชหลากหลาย ตัวอย่างเช่น ในที่ราบสูง พวกเขาขยายที่ดินสำหรับทำการเกษตรด้วยการสร้างที่ดินเป็นขั้นบันได พวกทาสส่วนใหญ่เป็นจำเลยที่ถูกจับในสงครามและเด็กกำพร้า ทาสต้องรับใช้ชนชั้นอื่น ๆ ในสังคมมายา (เหมือนสังคมทั่วไป)

เมืองต่าง ๆ  ของเผ่ามายา ในระหว่างยุคคลาสสิก คือ ระหว่าง คริสต์ศักราช 250 และคริสต์ศักราช 900  อารยธรรมมายาเจริญถึงจุดสูงสุด เมืองของชาวมายาจำนวนมาก เช่น เมืองโคปัน (Copán) เมืองตีกัล (Tikal - tee•KAHL) และ เมืองปาเลงเก (Palenque - pah• LEHNG•keh) แสดงสถาปัตยกรรมที่งดงาม แต่ละเมืองประกอบด้วยลานกว้าง พระราชวังและปิรามิดสูงเสียดยอดข้าง ๆ วิหาร หลาย ๆ เมืองยังมีอนุสาวรีย์หินขนาดใหญ่ เรียกว่า steles (STEE•leez – คล้ายศิลาจารึก – ผู้แปล) บน steles เหล่านี้ ชาวมายาได้แกะสลักสัญลักษณ์ที่แสดงวันเดือนปีที่สำคัญและเหตุการณ์ที่ยิ่งใหญ่ไว้
หน้ากากจากหลุมฝังศพของเผ่ามายา
หน้ากากนี้ได้จากหลุมฝังศพของเผ่ามายา ทำจากหยกและเปลือกหอยทะเล
ปิดบังพระพักตร์ของกษัตริย์ปากัลแห่งปาเลนเก (King Pacal of Palenque)
ความก้าวหน้าในการศึกษาเล่าเรียน ชาวมายาได้พัฒนาระบบการเขียนที่สลับซับซ้อนซึ่งใช้สัญลักษณ์ต่าง ๆ  พวกเขาเขียนสัญลักษณ์บนกระดาษที่ทำจากเปลือกไม้ กระดาษนี้พับหน้าเป็นสมุด เรียกว่า codex สมุดเหล่านี้ยังคงมีอยู่สองสามหน้า (ดูภาพประกอบ)
คณิตศาสตร์ของชาวมายันมีพื้นฐานมาจากเลข 20 เมื่อเปรียบเทียบกัน ระบบของเรามีพื้นฐานมาจากเลข 10 ชาวมายาเป็นเผ่าแรกที่ใช้เลขศูนย์เผ่าหนึ่ง ด้วยการใช้ระบบคณิตศาสตร์ ชาวมายาก้าวหน้าในทางดาราศาสตร์เป็นอย่างมาก ตัวอย่างเช่น พวกเขาทำแผนที่วงโคจรดาวศุกร์ (Venus) ได้อย่างถูกต้อง ความรู้ของพวกเขาทำให้พวกเขาทำระบบปฏิทินที่เที่ยงตรง ระบบนี้ช่วยบอกเวลาในการเพาะปลูกและการเก็บเกี่ยวให้กับชาวมายาและช่วยให้เก็บบันทึกได้อย่างแม่นยำ

ความหายนะที่เร้นลับ ในคริสต์ศตวรรษที่ 8 ชาวมายาเริ่มละทิ้งเมืองของพวกเขาในที่ราบลุ่มตอนใต้ ในเวลาเดียวกัน ประชากรของพวกเขาลดลงอย่างรวดเร็ว สาเหตุของการลดลงนี้เป็นความลึกลับ  สาเหตุที่น่าจะเป็นไป รวมถึงความอดอยากที่เกิดจากทศวรรษแห่งการทำเกษตรกรรมมากเกินขอบเขตหรือสงครามระหว่างเมือง ประมาณคริสต์ศตวรรษที่ 14 เมืองในที่ราบลุ่มตอนเหนือและที่ราบสูงก็ถูกทอดทิ้งเช่นกัน

ชนเผ่าแอซเท็ค (Aztecs)
          ชนเผ่าแอซเท็กครั้งหนึ่งเคยเป็นนักล่าเร่ร่อนและหาอาหาร พวกเขาอาศัยอยู่ในสถานที่ซึ่งปัจจุบันคือทะเลทรายด้านตะวันตกเฉียงเหนือของเม็กซิโก  ในช่วงปลายคริสต์ศักราช 1200 พวกเขาเริ่มอพยพลงไปทางใต้ จนในที่สุดก็มาถึงที่ราบสูงแห่งเม็กซิโก (Valley of Mexico)

การตั้งรกรากในหุบเขาในประเทศเม็กซิโก  ตำนานของชนเผ่าแอซเทคกล่าวไว้ว่าพวกเขาจะหาหลักแหล่งใหม่ ซึ่งเป็นสถานที่ที่พวกเขาได้เห็นนกอินทรีเกาะอยู่บนต้นตะบองเพชร  ในคริสต์ศักราช 1325 พวกเขาได้ค้นพบสถานที่ดังกล่าว เป็นเกาะในทะเลสาบขนาดใหญ่  ณ ที่นั่นพวกเขาก็ได้สร้างเมืองหลวง ชื่อ เตนอชตีตลัน (Tenochtitlán - Teh•NOHCH•tee• TLAHN)  
แผ่นดินรอบ ๆ เมืองเตนอชตีตลันเป็นแอ่งน้ำหรือภูเขา-ไม่เหมาะสำหรับการทำเกษตรกรรม ชนเผ่าแอซเท็กมาดัดแปลงโดยการสร้างสวนลอยน้ำ (chinampas) หรือสวนเป็นรูปสี่เหลี่ยมลอยขึ้นบนทะเลสาบ (ดูรูปด้านล่าง) เมื่อมีแหล่งอาหารที่อุดมสมบูรณ์ ประชากรแห่งเมืองเตนอชตีตลันก็เจริญเติบโตขึ้น มากที่สุดถึงประมาณ 250,000 คน
สวนลอย
สวนลอยของชาวแอซเท็ก
ศาสนาและวัฒนธรรมของชนเผ่าแอซเท็ค วิถีชีวิตของชนเผ่าแอซเท็กได้รับอิทธิพลจากศาสนาที่มีรากฐานการเคารพบูชาเทพเจ้าเจ้าแห่งการเกษตร (เหมือนแม่โพสพของไทยเรา) ชนเผ่าแอซเท็คนับถือเทพเจ้าประมาณ 1,000 องค์ พิธีการที่สำคัญที่สุดถูกจัดขึ้นเพื่อขอให้เทพเจ้าประทานให้การเก็บเกี่ยวมีผลดี
ชนเผ่าแอซเท็คได้สร้างปฏิทินแยกจากกันสองอัน โดยการศึกษาดวงอาทิตย์ ดาวฤกษ์และดาวเคราะห์ ปฏิทินอันหนึ่งคือปฏิทินการเกษตร ซึ่งทำนายเวลาแห่งการเพาะปลูกและการเก็บเกี่ยว อีกอันหนึ่งคือปฏิทินทางศาสนาที่กำหนดเวลาสำหรับทำพิธีการสาธารณะมากมายในแต่ละปี
ส่วนใหญ่ ระบบการเขียนของชนเผ่าแอซเท็คไม่ได้เป็นตัวแทนเสียงของภาษาพูด แต่จะใช้ภาพและสัญลักษณ์ ที่เรียกว่า glyphs เพื่อเป็นตัวแทนของคำพูดและความคิด ชนเผ่าแอซเท็คได้ทำหนังสือเป็นภาษาเขียนที่สร้างขึ้นจากสัญลักษณ์  หนังสือแต่ละเล่มเต็มไปด้วยภาพที่มีสีสันอธิบายรายละเอียดในชีวิตประจำวันในสังคมแอซเท็ค  นักประวัติศาสตร์ได้เรียนรู้เรื่องราวเป็นอันมากเกี่ยวกับชนเผ่าแอซเท็คจากบันทึกเหล่านี้
------------------------------------------
แหล่งความรู้ปฐมภูมิ
หนังสือโบราณที่เขียนด้วยลายมือของชนเผ่าแอซเท็ค
หนังสือโบราณของเผ่าแอซเท็ก
หนังสือโบราณของเผ่าแอซเท็ก
ภูมิหลัง หนังสือโบราณที่เขียนด้วยลายมือของชนเผ่าแอซเท็กเป็นหนังสือมีภาพประกอบ ภาพมีสีสดใสทั้งสองเป็นแผ่นพับยาวทำจากเปลือกไม้หรือหนังกลับ (ดูภาพประกอบ) แต่ละเล่มแสดงให้เห็นถึงฉากจากชีวิตของชนเผ่าแอซเท็คหรือบรรจุการบันทึกของรัฐอย่างเป็นทางการ ครั้งหนึ่ง หนังสือเหล่านี้เคยมีถึงหลายร้อยเล่ม แต่ถูกทำลายเป็นจำนวนมาก ในภาพด้านบนแสดงงานศพของขุนนาง (ห่อผ้าด้านบนขวา) ครอบครัวของเขาเตรียมความพร้อมให้เขาสำหรับใช้ในชีวิตหลังความตาย
------------------------------------------
การเจริญรุ่งเรืองและการล่มสลายของจักรวรรดิ ประมาณต้นคริสต์ศตวรรษที่ 15 อาณาจักรแอซเท็คทอดยาวออกมาจากอ่าวเม็กซิโกไปยังมหาสมุทรแปซิฟิกและจากที่ราบสูงแห่งเม็กซิโกไปจนถึงสถานที่ที่เป็นกัวเตมาลาในปัจจุบัน ผู้คนที่อาศัยอยู่ภายใต้การปกครองของจักรวรรดิแอซเท็คสูงถึง 12 ล้านคน จักรวรรดิแอซเท็คได้เรียกร้องส่วยในรูปแบบของสินค้า เช่น ข้าวโพด ทอง และหยกจากคนเหล่านี้
จักรวรรดิเจริญสูงสุดในคริสต์ศักราช 1502 เมื่อจักรพรรดิมอนเตซูมาที่สอง (Montezuma II) ขึ้นสู่อำนาจ พระองค์ทำให้ราษฎรของพระองค์โกรธด้วยการเรียกร้องส่วยและเหยื่อบูชายัญมนุษย์มากขึ้น เพื่อเอาใจเทพเจ้าของชนเผ่าแอซเท็ค ราษฎรบางพวกเริ่มก่อกบฏ ทำให้อำนาจของจักรวรรดิอ่อนแอลง
ในคริสต์ศักราช 1519 ชาวสเปนนำโดยเฮอร์นาน คอร์เตส (Hernán Cortés) เดินทางมาถึงจักรวรรดิแอซเท็ค ด้วยความหวังที่จะหลีกเลี่ยงสงคราม จักรพรรดิมอนเตซูมา ได้ไปพบกับคอร์เตส แต่ชาวสเปนได้จับพระองค์เข้าคุกและต่อมาพระองค์ก็ถูกฆ่าในการสู้รบ ในไม่ช้า โรคที่ติดมากับผู้บุกรุกได้ทำให้จักรวรรดิแอซเท็ค อ่อนแอลง ด้วยการช่วยเหลือของพวกกบฏหลายพันคน ชาวสเปนได้ใช้อาวุธที่เหนือกว่าพิชิตเมืองเตนอชตีตลันได้ในคริสต์ศักราช 1521 และทำให้อาณาจักรแอซเท็คสิ้นสุดลง

ชนเผ่าอินคา (Inca)
          ชนเผ่าอินคา ได้เรียนรู้การใช้ชีวิตอยู่ในภูมิประเทศที่สูงและขรุขระของเทือกเขาแอนดีส ซึ่งปัจจุบันคือเปรู เมืองหลวงเผ่าอิน ชื่อ Cuzco (KOOZ•koh – กุสโก) ตั้งอยู่ในหุบเขาในเทือกเขาแอนดีส สูงจากระดับน้ำทะเลมากกว่า 11,000 ฟุต จากเมืองกุสโก ในที่สุด ชนเผ่าอินคาก็ได้สร้างอาณาจักรที่ใหญ่ที่สุดขึ้นในทวีปอเมริกา

ปาชากูตีก่อตั้งจักรวรรดิ ประมาณต้นคริสต์ศตวรรษที่ 14 ชนเผ่าอินคาได้ขยายอำนาจการปกครองไปยังผู้คนที่อยู่ใกล้เคียง ในคริสต์ศักราช 1438 ผู้ปกครองเผ่าอินคาลำดับที่เก้า ชื่อ Pachacuti (PAH•chah•KOO•tee – ปาชากูตี) ขึ้นสู่อำนาจ ภายใต้การปกครองของเขา เผ่าอินคาได้พิชิตเปรูทั้งหมดและดินแดนอื่น ๆ มากมาย  ประมาณคริสต์ศักราช 1500 จักรวรรดิอินคาได้ขยายกว้างขวางมาก พื้นที่ยาวถึง 2,500 ไมล์ตามแนวชายฝั่งตะวันตกของอเมริกาใต้ มีประชากรประมาณ 12 ล้านคนอาศัยอยู่ในจักรวรรดิ

การดำเนินชีวิตประจำวันในจักรวรรดิ ภูมิศาสตร์ของเทือกเขาแอนดีส ทำให้เกิดความท้าทายในชีวิตแก่ประชาชนในจักรวรรดิ แผ่นดินที่สูงชันทำการเกษตรได้ยาก เกษตรกรจึงทำที่ดินแบบขั้นไดตามด้านข้างของภูเขา จนได้รับประโยชน์สูงสุดจากที่ดินของตน พวกเขาได้ปลูกพืช เช่น มันฝรั่งและข้าวโพด ตลอดจนส่งเสริมสัตว์เลี้ยง เช่น อัลปากา (Alpacas – สัตว์เลี้ยงในตระกูลอูฐ) และ ยามาหรือลามา (Llamas – สัตว์เลี้ยงในตระกูลอูฐ) สัตว์เหล่านี้ให้ผ้าขนสัตว์และบางครั้งก็ให้เนื้อสัตว์
การสื่อสาร เช่นการเกษตร เป็นเรื่องยาก ชนเผ่าอินคา ยังคงรักษาระบบของถนนโดยการกำหนดให้จำนวนแรงงานที่แน่นอนต่อประชาราษฎร์ในแต่ละปี อย่างน้อย มีถนนยาวถึง 14,000 ไมล์ตัดไขว้กันไปทั่วอาณาจักร  บนถนนเหล่านี้ มีผู้ส่งข่าวที่เรียกว่า Chasquis (CHAHS•Kees) ส่งข่าวไปทั่วจักรวรรดิ กองกำลังทหารและการค้าก็เคลื่อนย้ายได้อย่างมีประสิทธิภาพ
----------------------------------------
ผู้สร้างประวัติศาสตร์
ปาชากูตี (มีชีวิตอยู่ระหว่าง ค.ศ. 1391 – 1473)
ปาชากูตี
ภาพวาดปาชากูตี
          ผู้นำชาวอินคา ชื่อ Pachacuti หมายความว่า "ผู้เขย่าโลก – Earth Shaker"  ในฐานะที่เป็นลูกชายคนเล็กของจักรพรรดิเขาไม่ได้อยู่ในลำดับที่จะเป็นผู้ปกครอง แต่ในคริสต์ศักราช 1438 ในระหว่างการโจมตีเมือง Cuzco บิดาและพี่ชายของ Pachacuti หนีไป Pachacuti เป็นทหารที่มีพรสวรรค์ ได้เข้าควบคุมและปกป้องเมืองไว้ จากนั้นเขาก็ยกตัวเองขึ้นเป็นผู้ปกครองชาวอินคาคนใหม่
ระหว่างการครองราชย์ 33 ปี Pachacuti เริ่มขยายดินแดนของชาวอินคา เขายังจัดตั้งรัฐบาลและสร้างเมืองหลวงขนาดใหญ่ ชื่อ Cuzco (กุสโก) เขาถือว่าเป็นผู้ปกครองชาวอินคาที่ยิ่งใหญ่ที่สุด
-----------------------------------------
อินคาล่มสลายให้กับชาวสเปน  ชาวแอนดีสพวกอื่นไม่สามารถเอาชนะจักรวรรดิอินคาได้ กองทัพของพวกอินคามีถึง 200,000  คน เป็นผู้แข็งแกร่งผ่านการฝึกอบรมอย่างดีและติดอาวุธอย่างดี อย่างไรก็ตามจักรวรรดิอินคาก็อ่อนแอลงจากความไม่สงบ  ในสงครามกลางเมืองที่รุนแรง ซึ่งเริ่มต้นขึ้นในคริสต์ศักราช 1527 ผู้นำ ชื่อ Atahualpa (AH•tuh•WAHL•puh – อาตาอวลปา) ได้กำจัดพี่น้องของตัวเอง สงครามก็สิ้นสุดลง เมื่อฟรานซิสโก ปิซาโร (Francisco Pizzarro) เดินทางเข้ายังชายฝั่งอเมริกาใต้ในคริสต์ศักราช 1532
เหมือกันกับจักรวรรดิแอซเท็ค  จักรวรรดิอินคาไม่ใช่คู่แข่งของชาวสเปน ซึ่งขี่ม้า สวมเสื้อเกราะโลหะและถืออาวุธเหล็ก สเปนยังนำโรคชนิดใหม่ที่เป็นอันตรายถึงตายได้มาให้กับจักรวรรดิอินคาโดยเฉพาะ
ผู้ส่งข่าวสาร
ภาพวาดคนส่งข่าวที่เรียกว่า Chasqui นี้ อยู่ในยุค ค.ศ. 1615
          (ตรงกับพ.ศ. 2158 - สมัยพระเจ้าทรงธรรมแห่งอยุธยา)
Chasqui เหมือนกับการวิ่งผลัด มีการส่งข่าวกันเป็นช่วง ๆ 
ปิซาโรได้พบกับอาตาอวลปา ได้จับเขาเป็นเชลย และต่อมาก็ได้สั่งให้สำเร็จโทษเขา หลังจากอาตาอวลปาเสียชีวิต จักรวรรดิอินคาก็ล่มสลาย ชาวสเปนก็เคลื่อนย้ายเข้าสู่เมืองกุสโก ในขณะเดียวกันผู้คนที่เสียทีให้กับจักรวรรดิอินคาก็ลุกขึ้นต่อต้านหัวหน้าชาวอินคา ประมาณคริสต์ศักราช 1535 สเปนก็ควบคุมดินแดนส่วนใหญ่ของจักรวรรดิอินคา ในที่สุด เผ่าอินคาหลายล้านคนก็เสียชีวิตจากโรคที่ชาวยุโรปนำเข้าไป  ผู้ปกครองอินคาคนสุดท้ายก็พ่ายแพ้ในคริสต์ศักราช 1572 และจักรวรรดิอินคาก็ล่มสลาย

ผู้คนในอเมริกาเหนือ
อารยธรรมยุคแรก
          ทวีปอเมริกาเหนือเป็นหลักแหล่งศูนย์กลางที่สำคัญของอารยธรรมสองแห่ง  อารยธรรมทั้งสองมีอิทธิพลต่อสังคมอเมริกันพื้นเมืองในเวลาต่อมา
แผ่นโล่เรียบ
โล่ใบนี้มีภาพวาดสัตว์ซ่อนอยู่ มีรอยหมีและหมีออกมาจากรู
เป็นสัญลักษณ์การป้องกันเจ้าของโล่
ตะวันตกเฉียงใต้ ในระยะเวลาประมาณ 300 ปี ก่อนคริสต์ศักราช  วัฒนธรรมโฮโฮกัม (Hohokam) เกิดขึ้นตามแนวแม่น้ำ Gila และ Salt ในแอริโซนาปัจจุบัน ในสภาพแวดล้อมที่แห้งแล้งนี้ วัฒนธรรม Hohokam ได้พัฒนาระบบชลประทานเพื่อหล่อเลี้ยงทุ่งนาของพวกเขา พวกเขาสร้างเขื่อนเพื่อเบี่ยงเบนน้ำให้เข้าสู่ระบบคลองอันกว้างขวาง คลองบางสายทอดยาวเหยียดกว่า 15 ไมล์จนถึงทุ่งนาของชาว Hohokams ระหว่างคริสต์ศักราช 1350 และ 1450 ชาว Hohokam ได้ละทิ้งถิ่นฐานของพวกเขาเนื่องจากภัยแล้ง
วัฒนธรรม Anasazi เกิดขึ้นประมาณคริสต์ศักราช ​​400 ในพื้นที่ที่เป็นรัฐยูทาห์ โคโลราโด นิวเม็กซิโก และแอริโซนามาบรรจบกัน วัฒนธรรม Anasazi เป็นวัฒนธรรมแบบนักล่าสัตว์หาอาหารและเกษตรกร พวกเขายังเป็นช่างทอผ้าชั้นแนวหน้าและเป็นช่างปั้นดินเผาอีกด้วย ประมาณคริสต์ศักราช 750 พวกเขาเริ่มสร้าง pueblos (PWEHB•lohs – หมู่บ้าน) หมู่บ้านเหล่านี้รวบรวมสิ่งก่อสร้างที่เป็นหินหรืออิฐ adobe (uh•DOH•bee) ซึ่งคล้ายกับอาคารอพาร์ทเม้นท์ซึ่งมีหลายห้อง (ดูรูปภาพ) โดยปกติ ห้องใหม่ ๆ แต่ละห้องจะถูกวางย้อนกลับเล็กน้อยจากห้องที่อยู่ด้านล่างในการสร้างระเบียงหรือนอกชานขนาดเล็ก
หมู่บ้านโบราณ anasazi
หมู่่บ้านโบราณ Anasazi สร้างอยู่บนหน้าผาที่อุทยานแห่งเมซาเวอร์เด (Mesa Verde) รัฐโคโลราโด
สิ่งก่อสร้างที่เป็นกองดิน  เหล่าช่างก่อสร้างกองดิน ส่วนใหญ่มาจากทางตะวันตกตอนกลางและตะวันออกเฉียงใต้ของอเมริกา ได้สร้างสิ่งก่อสร้างจากดินขนาดใหญ่เป็นสุสานและวิหาร วัฒนธรรมช่างก่อสร้างกองดิน รวมถึงวัฒนธรรม Adena และ มิซซิสซิปปี  วัฒนธรรม Adena เริ่มประมาณ 1000 ปี ก่อนคริสต์ศักราช และ วัฒนธรรมมิซซิสซิปปี ได้กระจัดกระจายกันไป ประมาณคริสต์ศักราช 1550  คุณภาพและขนาดของกองดินแสดงให้เห็นว่าสิ่งเหล่านี้เป็นสังคมที่เป็นระบบอย่างมาก
เนินงูใหญ่
เนินงูใหญ่ (Great Serpent Mound) สร้างโดยวัฒนธรรมชาวมิสซิสซิปปี อยู่ทางตอนใต้ของรัฐโอไฮโอ ยาวประมาณ 411 เมตร ไม่ทราบวัตถุประสงค์ในการสร้าง

สังคมชาวอเมริกาพื้นเมืองเจริญรุ่งเรือง

สังคมและศาสนาชาวอเมริกันพื้นเมืองทั้งหมดให้ความสนใจกับธรรมชาติ แต่ละสังคมได้ปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมของตัวเอง คือ ที่ดินในท้องถิ่น สภาพภูมิอากาศ และทรัพยากรที่หาได้ เพื่อความอยู่รอด ประชาชนในภูมิภาคต่าง ๆ ก็ได้ปรับตัวเข้ากับรูปแบบที่แตกต่างกัน

ตะวันตกเฉียงเหนือ  ในตะวันตกเฉียงเหนือด้านมหาสมุทรแปซิฟิก สังคมชาวอเมริกันพื้นเมือง ส่วนใหญ่เป็นนักล่าหาอาหารโดยเฉพาะอย่างยิ่งบนชายฝั่ง  แหล่งอาหารก็มีความอุดมสมบูรณ์ ดังนั้น การทำการเกษตรจึงไม่จำเป็น ชาวเผ่า Haida อาศัยอยู่บนเกาะที่ชาวยุโรปเรียกว่า เกาะ Queen Charlotte และ เกาะ Prince of Wales ห่างออกไปทางฝั่งตะวันตกของประเทศแคนาดา ชาวเผ่า Haida อาศัยอยู่ในสถานที่นี้ มาเป็นเวลาประมาณ 10,000 ปี ปลาอุดมสมบูรณ์ กีฬาล่าสัตว์ป่าและพืชผักที่กินได้ ได้เลี้ยงชาวเผ่า Haida ประมาณ 18,000 คน ก่อนที่ชาวยุโรปจะเข้ามา
เมื่อมีอาหารที่ได้มาโดยง่าย ชาวเผ่า Haida ก็สามารถเป็นผู้เชี่ยวชาญในพื้นที่อื่น ๆ พวกเขากลายเป็นศิลปินและเป็นช่างฝีมือที่มีชื่อเสียง ตัวอย่างเช่น พวกเขาสร้างเรือแคนูที่แข็งแรง ตกแต่งอย่างสวยงาม บางลำยาวถึง 70 ฟุตและใช้ฝีพายถึง 30 หรือขนส่งสินค้าได้หลายตัน เรือแคนูของพวกเขาทำการค้าขายขนาดใหญ่กับสังคมแผ่นดินใหญ่ให้เป็นไปได้ เรือแคนูของชาว Haida เองก็มีราคาและการซื้อขายสูง
ชาวเผ่า Haida ปฏิบัติพิธีที่รู้จักกันเป็น potlatch  พิธี Potlatch มักจะทำในโอกาสต่าง ๆ เช่นการแต่งงานหรือวันเกิด เจ้าภาพจะจัดงานเลี้ยงอย่างยิ่งใหญ่และสละสมบัติมากที่สุด การจัดพิธี potlatch ขนาดใหญ่แสดงให้เห็นว่า เจ้าภาพมีความร่ำรวยมาก นอกจากนี้ยังเพิ่มสถานะของพวกเขาโดยการให้หลักประกันว่า ประชาชนส่วนมากร่วมเป็นสักขีพยานความมั่งคั่งและความเอื้ออาทรของพวกเขา

ที่ราบเกรทเพลนส์ (The Great Plains) ภูมิภาคเกรทเพลนส์ทอดตัวไปทางเหนือจากชายแดนเท็กซัส-เม็กซิโกในปัจจุบัน จนถึงแคนาดาตอนใต้ จากตะวันออกไปตะวันตก ภุมิภาคนั้นทอดตัวจากแม่น้ำมิสซิสซิปปีจนถึงเทือกเขาร็อกกี
ชาวอเมริกันพื้นเมืองอาศัยอยู่ในภูมิภาคนี้เป็นพัน ๆ ปีก่อนติดต่อกับชาวยุโรป ส่วนใหญ่เป็นเกษตรกรที่มีหมู่บ้านเป็นปึกแผ่น คนอื่น ๆ ได้แบบอย่างและตามล่าวัวกระทิงไบซันหรือควายด้วยการเดินเท้า ม้าที่ชาวยุโรปนำมายังอเมริกากลายเป็นเรื่องธรรมดาใน Great Plains ประมาณคริสต์ศักราช 1750  การเข้ามาของม้าก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างถาวรในวัฒนธรรม Great Plains เมื่อการล่าวัวกระทิงง่ายมากกว่าการขึ้นบนหลังม้า ชนหลายเผ่าจึงได้นำวิถีชีวิตชนเผ่าเร่ร่อน ล่าสัตว์มาใช้ หลายกลุ่มที่ย้ายไปยัง Great Plains เพื่อจะหลีกเลี่ยงการขยายอาณาเขตของชาวยุโรปยังเริ่มต้นด้วยวิถีชีวิตนี้
มีหลายเผ่าอาศัยควายเป็นอาหาร ปฏิสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มก็เพิ่มขึ้น แต่ละฤดูร้อน ควายจะรวมตัวกันเป็นฝูงใหญ่ ดังนั้นชนเผ่าจำนวนมากจะมารวมตัวกันเกินไปแล้ว ปฏิสัมพันธ์นี้ทำให้วัฒนธรรมที่ราบร่วมกันเป็นรูปเป็นร่างขึ้น  การค้าขาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้วยม้าก็เจริญขึ้น เมื่อเวลาผ่านไป ภาษามือแห่ง Great Plains ได้พัฒนาขึ้นเพื่อช่วยการค้าและการสื่อสารทั่วไป
ไม่มีศาสนาโดดเดี่ยวใด ๆ แห่งที่ราบ แต่การปฏิบัติทางศาสนาบางอย่างเป็นเรื่องปกติ หลายกลุ่มเป็นส่วนใหญ่เชื่อกันว่า วัตถุธรรมชาติทั้งหมดมีวิญญาณที่ช่วยหรือทำอันตรายคน การปฏิบัติเพื่อการแสวงหาวิสัยทัศน์เผยแพร่อย่างรวดเร็วเกินไป โดยทั่วไป การแสวงหาวิสัยทัศน์รวมถึงวันถือสันโดษ อดอาหาร และสวดมนต์ ในช่วงเวลานี้ผู้ประกอบการแสวงหาหวังว่าจะสื่อสารกับโลกแห่งวิญญาณในทางที่มีความหมายบางอย่างที่อาจจะผ่านทางความฝัน สังคมที่ราบหลายสังคมก็ปฏิบัติพิธีเต้นรำเพื่อบูชาพระอาทิตย์ (Sun Dance)  ซึ่งเป็นพิธีอันศักดิ์สิทธิ์ที่จัดขึ้นในช่วงต้นฤดูร้อน โดยปกติแล้ว ผู้ปฏิบัติตามพิธีกรรม จะเต้นรำและหยุดเป็นพัก ๆ เป็นเวลาหลายวัน ขณะที่คนอื่นจะตีกลอง ร้องเพลงและสวดอธิษฐาน  การเต้นรำที่ประสบความสำเร็จจะนำความสามัคคีมาให้กับประชาชนและมั่นใจว่าปีต่อไปจะเกิดความเจริญรุ่งเรือง การเต้นรำบูชาพระอาทิตย์ยังคงถือปฏิบัติกันอยู่มากมายในสังคม Great Plains ในปัจจุบันนี้
การเต้น Powwow ของอินเดียนโบราณ
ผ่าซู (Sioux) เป็นชาวอินเดียนแดง สวมชุดเต้น Powwow ซึ่งเป็นวัฒนธรรมพื้นเมืองของอเมริกา
ตะวันออกเฉียงเหนือ สถานที่ที่เป็นมลรัฐนิวบรันสวิก(New Brunswick) ปริ๊นซ์ เอ็ดเวิร์ดไอส์แลนด์ (Prince Edward Island) และโนวา สโกเชีย (Nova Scotia) ในปัจจุบันนี้ เป็นถิ่นกำเนิดของผู้คนชาว Micmac ชาว Micmac ก็เหมือนกับชาว Haida ในภาคตะวันตกเฉียงเหนือ สามารถล่าและหาอาหารเนื่องจากสภาพแวดล้อมของพวกเขา พวกเขารับเอาสิ่งที่ธรรมชาติจัดให้ตามฤดูกาล ในฤดูใบไม้ผลิและฤดูร้อน พวกเขาจะอพยพไปยังชายฝั่งเพื่อดักและแทงปลา งมหอย จับนกที่บินอพยพมาและล่าแมวน้ำ ในฤดูใบไม้ร่วง พวกเขาจะอพยพย้ายไปยังที่ดอน เพื่อจับปลาไหลในแม่น้ำและล่ากวางมูซ ตัวบีเวอร์ หมีและสัตว์อื่น ๆ
อิโรควัวส์สมาพันธรัฐ อย่างคร่าว ๆ ในพื้นที่รัฐนิวยอร์กในปัจจุบัน เสกสรรค์ปั้นแต่งโดยเผ่าคายูกะ (Cayuga) เผ่าโมฮอก (Mohawk) เผ่าโอไนดา (The Oneida) เผ่าโอนอนดากา (Onondaga) และเผ่าเซเนกา (Seneca) บางทีน่าจะก่อตั้งในคริสต์ศตวรรษที่ 14   Grand Council (คณะผู้บริหารในตำแหน่งสูงหรือสูงสุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งรองผู้บริหารหรือผู้บริหารสูงสุด – ผู้แปล) ของสมาพันธรัฐเลือกตั้งจากผู้แทนจากเผ่าห้าเผ่า สภาตัดสินข้อพิพาทระหว่างกลุ่มสมาชิกและการเจรจาต่อรองกับกลุ่มนอก สมาชิกสภาทุกคนเป็นผู้ชาย แต่คนเหล่านี้ถูกเลือกและอาจถูกถอดถอนโดยผู้หญิงสูงอายุของแต่ละเผ่า
หลายกลุ่มในอิโรควัวส์สมาพันธรัฐส่วนใหญ่เป็นเกษตรกร ประชาชนเรียกว่าพืชพันธุ์ธัญญาหารสามชนิดหลัก คือ ข้าวโพด ถั่ว และสควอช (พืชในตระกูลน้ำเต้า) ว่า ไตรภคินี (Three Sisters) โดยทั่วไปผู้หญิงจะดูแลพืชพันธุ์ธัญญาหาร ในขณะที่ผู้ชายล่าสัตว์และตกปลา ประมาณทุก ๆ 15 ปี สัตว์ป่าที่ถูกล่าเพื่อการกีฬาและฟืนรอบนิคมอิโรควัวส์จะถูกนำมาใช้จนหมด นอกจากนี้ แร่ธาตุในดินจะเสื่อมสภาพ ดังนั้นผู้ชายจะเริ่มออกเดินทางไปค้นหาหลักแหล่งใหม่ เมื่อพวกเขาค้นพบก็ถางป่าหรือเก็บกวาดและผู้คนจะสร้างหมู่บ้านบนหลักแหล่งใหม่
แผนที่อเมริกาเหนือ
แผนที่ชนเผ่าในทวีปอเมริกาเหนือ  ค.ศ.  1500
ตะวันออกเฉียงใต้ ภูมิภาคท้องถิ่นด้านตะวันออกเฉียงใต้เป็นหลักแหล่งของสังคมเกษตรกรรมที่ประสบความสำเร็จมากมาย พวกเขาได้ปลูกอาหารที่พวกเขาต้องมากที่สุด แต่พวกเขายังล่าสัตว์หลากหลายชนิดโดยเฉพาะอย่างยิ่งกวาง
กีฬาลัครอซ
กีฬาลัครอซ (Lacrosse) คล้ายฟุตบอลแต่ใช้สวิงตี ยังนิยมเล่นกันอยู่ในปัจจุบัน
โดยเฉพาะในตะวันออกเฉียงเหนือของอเมริกา
ดินแดนแห่งหนึ่งในบรรดากลุ่มเหล่านี้ คือ เชอโรกี (Cherokee) ครอบคลุมสหรัฐฯ ในปัจจุบันถึงแปดรัฐ ทอดยาวจากรัฐอลาบามาไปถึงรัฐเวอร์จิเนีย เชอโรกีแบ่งออกเป็นเจ็ดเผ่าพันธุ์ ผู้คนจะต้องแต่งงานนอกเผ่าพันธุ์ของพวกเขา  หลังจากการแต่งงาน ผู้ชายจะไปอยู่กับตระกูลของภรรยา ลูก ๆ ของสามีภรรยาจะได้รับการพิจารณาให้เป็นส่วนหนึ่งของตระกูลของแม่   เอกลักษณ์ครอบครัว ซึ่งขึ้นอยู่กับครอบครัวของผู้เป็นแม่มากกว่าพ่อ รู้จักกัน ว่า matrilineal descent (การสืบเชื้อสายจากฝ่ายมารดา)
        ปีของเชอโรกีแต่ละปีจะบันทึกเทศกาลไว้เป็นลำดับ ที่สำคัญที่สุด คือ เทศกาลข้าวโพดสีเขียว (Green Corn) ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการเก็บเกี่ยวข้าวโพด เทศกาลนี้ยังเป็นช่วงที่จะขอและรับการให้อภัยแก่ผู้กระทำผิดที่อาจจะทำไว้ในช่วงปีที่ผ่านมา เทศกาลมักจะมาพร้อมกับการละเล่นที่พวกเราเรียก lacrosse (กีฬาชนิดหนึ่งที่ใช้สวิงตีลูกบอลเล็ก ใช้คนเล่น 10 คน)  เผ่าเชอโรกีเรียกการละเล่นชนิดนี้ ว่า "น้องชายคนเล็กของสงคราม (the little brother of war" ซึ่งเป็นคำพูดที่เป็นนัยแห่งธรรมชาติที่มักจะรุนแรงของการละเล่นชนิดนี้  lacrosse ยังได้รับการละเล่นอยู่ในหมู่สมาชิกของอิโรควัวส์สมาพันธรัฐ