ประวัติศาสตร์โลก

ประวัติศาสตร์โลก
World History

ประวัติศาสตร์โลก

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

ประวัติศาสตร์โลกหรือประวัติศาสตร์มนุษยชาติเริ่มต้นที่ยุคหินเก่า ประวัติศาสตร์โลกไม่รวมประวัติศาสตร์ธรรมชาติที่ไม่ใช่มนุษย์และประวัติศาสตร์ธรณีวิทยา ยกเว้นตราบเท่าที่โลกธรรมชาตินั้นกระทบต่อชีวิตมนุษย์เป็นอย่างมาก ประวัติศาสตร์โลกประกอบด้วยการศึกษาทางโบราณคดีและหลักฐานลายลักษณ์อักษรตั้งแต่สมัยโบราณ ประวัติศาสตร์โบราณที่มีบันทึกเริ่มต้นจากการประดิษฐ์การเขียน ทว่า รากเหง้าแห่งอารยธรรมมีมาแต่ก่อนการประดิษฐ์การเขียน สมัยก่อนประวัติศาสตร์เริ่มต้นในยุคหินเก่า ต่อด้วยยุคหินใหม่และการปฏิวัติเกษตรกรรม(ระหว่าง 8000 ถึง 5000 ปีก่อนคริสตกาล) ในวงพระจันทร์เสี้ยวไพบูลย์ (Fertile Crescent) การปฏิวัติเกษตรกรรมเป็นเครื่องหมายการเปลี่ยนแปลงในประวัติศาสตร์มนุษย์ โดยมนุษย์เริ่มต้นทำการเกษตร คือ กสิกรรมและการเลี้ยงสัตว์อย่างเป็นระบบ เมื่อเกษตรกรรมก้าวหน้าขึ้น มนุษย์ส่วนมากเปลี่ยนจากวิถีชีวิตเร่ร่อนมาเป็นตั้งถิ่นฐานเป็นเกษตรกรในนิคมถาวร การเร่ร่อนยังมีอยู่ในบางที่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่ห่างไกลซึ่งมีพืชที่เพาะปลูกได้ไม่กี่ชนิด แต่ความมั่นคงสัมพัทธ์และผลิตภาพที่เพิ่มขึ้นจากกสิกรรมทำให้ชุมชนมนุษย์ขยายเป็นหน่วยที่ใหญ่กว่า ซึ่งความก้าวหน้าในการขนส่งก็มีส่วนช่วย

เมื่อกสิกรรมพัฒนา การเพาะปลูกธัญพืชมีความซับซ้อนขึ้นและทำให้มีการแบ่งงานกันทำเพื่อเก็บอาหารระหว่างฤดูเพาะปลูก จากนั้นการแบ่งงานทำให้เกิดชนชั้นสูงที่สุขสบายและพัฒนาการนคร สังคมมนุษย์ที่ซับซ้อนมากขึ้นทำให้ระบบการเขียนและการบัญชีมีความจำเป็น หลายนครพัฒนาบนตลิ่งทะเลสาบและแม่น้ำ ตั้งแต่ 3000 ปีก่อนคริสตกาล เกิดนิคมโดดเด่นและมีการพัฒนาดียุคแรก ๆในเมโสโปเตเมีย ริมตลิ่งแม่น้ำไนล์แห่งอียิปต์ และหุบแม่น้ำสินธุ อาจมีอารยธรรมคล้ายกันพัฒนาขึ้นตามแม่น้ำสำคัญในจีน แต่หลักฐานทางโบราณคดีของการสร้างเมืองอย่างกว้างขวางในที่นั้นชัดแจ้งน้อยกว่า

ประวัติศาสตร์โลกเก่า (โดยเฉพาะอย่างยิ่งยุโรปและเมดิเตอร์เรเนียน) โดยทั่วไปแบ่งเป็นยุคโบราณ ถึง ค.ศ. 476, สมัยกลาง ตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 5 ถึง 15 ซึ่งรวมยุคทองของอิสลาม (ประมาณ ค.ศ. 750-1258) และยุคฟื้นฟูศิลปวิทยายุโรปตอนต้น (เริ่มต้นประมาณ ค.ศ. 1300), ยุคใหม่ตอนต้น ตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 15 ถึงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 18 ซึ่งรวมยุคเรืองปัญญา และยุคใหม่ตอนปลาย นับแต่การปฏิวัติอุตสาหกรรมถึงปัจจุบัน รวมทั้งประวัติศาสตร์ร่วมสมัย ตะวันออกใกล้โบราณ กรีซโบราณและโรมโบราณมีความโดดเด่นในยุคโบราณ ในประวัติศาสตร์ยุโรปตะวันตก การเสียกรุงโรมมักยึดเป็นการสิ้นสุดของยุคโบราณและการเริ่มต้นของสมัยกลาง ขณะที่ยุโรปตะวันออกมีการเปลี่ยนผ่านจากจักรวรรดิโรมันเป็นจักรวรรดิไบแซนไทน์ ซึ่งรุ่งเรืองต่อมาอีกเป็นเวลานาน กลางคริสต์ศตวรรษที่ 15 การประดิษฐ์การพิมพ์สมัยใหม่ของโยฮันน์ กูเทนแบร์ก ซึ่งใช้การสื่อสารแบบเคลื่อนที่ได้และเปลี่ยนแปลงอย่างสิ้นเชิง เป็นจุดสิ้นสุดของยุคกลางและนำไปสู่การปฏิวัติวิทยาศาสตร์ เมื่อคริสต์ศตวรรษที่ 18 การสะสมความรู้และเทคโนโลยี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุโรป ได้ถึงจำนวนวิกฤต (critical mass) อันนำมาซึ่งการปฏิวัติอุตสาหกรรม

ในส่วนอื่นของโลก เช่น ตะวันออกใกล้โบราณ จีนโบราณ และอินเดียโบราณ เส้นเวลาทางประวัติศาสตร์ได้คลี่ออกต่างกัน อย่างไรก็ดี จนถึงคริสต์ศตวรรษที่ 18 เนื่องจากการค้าโลกที่ขยายตัวและการล่าอาณานิคม ทำให้ประวัติศาสตร์ของอารยธรรมโลกส่วนมากสานเข้าด้วยกันอย่างแน่นหนา ในช่วงสองร้อยกว่าปีล่าสุด การเติบโตของความรู้ เทคโนโลยี การพาณิชย์ และศักยภาพการทำลายล้างของสงครามได้เร่งให้เกิดขึ้น ก่อให้เกิดโอกาสและอันตรายซึ่งปัจจุบันกำลังเผชิญชุมชนมนุษย์ที่อยู่อาศัยบนดาวเคราะห์ดวงนี้

แปลจากหนังสือ World History โดย...Mcdougal Littel
ผู้แปล...ทรงศักดิ์ สายหยุด

กำเนิดกรุงโรมและจักรวรรดิโรมัน

กำเนิดกรุงโรม
ลำดับเหตุการณ์ในอดีตของโรมและโลก
ลำดับเหตุการณ์ในอดีตของโรมและโลก
แผนที่จักรวรรดิโรมัน
แผนที่จักรวรรดิโรมันยุคเรืองอำนาจ ค.ศ. 117
สีชมพูแดง (ส่วนมากในประเทศอิตาลีในปัจจุบัน) คือ สาธารณรัฐโรัมัน 264 ปี ก่อน ค.ศ.
สีเหลือง  คือ  พื้นที่ปกครองของจักรวรรดิโรมันในขณะเรืองอำนาจ ค.ศ. 117
ลำดับเหตุการณ์ของโรมและโลกในอดีต
แผนที่ลำดับเหตุการณ์ของโรมและโลกในอดีต

สาธารณรัฐโรมัน

การเริ่มต้นแห่งกรุงโรม

         ประวัติศาสตร์กรุงโรมโบราณเริ่มต้นขึ้นด้วยการล้มล้างจากกษัตริย์ต่างเมือง เมื่อ 509 ก่อนคริสต์ศักราช แต่ชาวโรมันต้องการบันทึกประวัติศาสตร์เมืองของพวกเขาย้อนไปถึงช่วงระยะเวลา 753 ปี ก่อนคริสต์ศักราช นั่นคือ เมื่อวีรบุรุษในตำนาน ชื่อ รอมิวลุส (Romulus  - RAHM•yuh•luhs) ได้รับการกล่าวกันว่าเป็นผู้ก่อตั้งกรุงโรม
ตำนานเป็นเรื่องเล่าที่ได้รับความนิยมจากยุคก่อนซึ่งไม่สามารถพิสูจน์ได้  ตำนานเกี่ยวกับการสถาปนากรุงโรมเริ่มต้นด้วยอีเนียส (Aeneas - ih•NEE•uhs) วีรบุรุษของสงครามเมืองทรอยที่ตั้งถิ่นฐานอยู่ในประเทศอิตาลีหลังจากที่เมืองทรอยถูกทำลาย
สัญลักษณ์กรุงโรม
รูปปั้นเทพีโรมา (Goddess Roma) สัญลักษณ์กรุงโรม
ชาวโรมเชื่อว่า คอยปกป้องเมืองของตน
ก่อตั้งกรุงโรม ตำนานเดินเรื่องฝาแฝดรอมิวลุสและเรมุส (Remus - REE•muhs) ลูกหลานของอีเนียสผู้ก่อตั้งกรุงโรม พวกเขาถูกแม่ทิ้ง แต่ได้รับการช่วยเหลือจากหมาป่า เมื่อฝาแฝดเติบโตขึ้นพวกเขาได้แย่งชิงสถานที่ตั้งกรุงโรม รอมิวลุสได้ฆ่าน้องชายของเขาและได้ลากเส้นขอบเขตของกรุงโรมรอบเนินเขา Palatine
palatine hill
Palatine Hill ร่องรอยการตั้งถิ่นฐาน นับตั้งแต่ประมาณ 1,000 ปี ก่อน ค.ศ. 
หลังจากรอมิวลุสเสียชีวิต กษัตริย์โรมันก็ได้ปกครองเมืองมาเป็นลำดับ  อย่างไรก็ตาม ในศตวรรษที่ 6 (600 ปี) ก่อนคริสต์ศักราช  พวกอีทรัสคัน (Etruscans) จากภาคเหนือของอิตาลี ได้พิชิตกรุงโรม ชาวโรมันได้โค่นล้มกษัตริย์ชาวอีทรัสคันและก่อรูปแบบสาธารณรัฐ เมื่อ 509 ปี ก่อนคริสต์ศักราช เพื่อฟื้นฟูการปกครองตนเอง สาธารณรัฐ (Republic) คือ รัฐ ซึ่งประชาชนเลือกตัวแทนมาปกครองในนามของพวกเขา

ภูมิศาสตร์และการดำรงชีวิตช่วงแรกของโรม

          หลังจากที่ล้มล้างชาวอีทรัสคัน  กรุงโรมก็เจริญรุ่งเรืองจากเมืองเป็นประเทศและในที่สุดก็กลายเป็นจักรวรรดิ เนื่องจากมีทำเลที่ดี

หุบเขาและแม่น้ำ ผู้ที่เข้ามาตั้งถิ่นฐานพวกแรกของกรุงโรม คือ พวกละติน (ชาวโรมันโบราณ) พวกเขามาจากบริเวณรอบกรุงโรม พวกเขาเลือกตำแหน่งที่มีอากาศสบาย ที่ดินสำหรับการเพราปลูกที่ดีและที่ตั้งทางยุทธศาสตร์
ชาวละตินและผู้ที่ตั้งถิ่นฐานต่อมา ได้สร้างกรุงโรมที่เนินเขาลาดชัน 7 ลูก ในเวลากลางวัน ผู้เข้ามาตั้งถิ่นฐานจะทำไร่ไถนาพื้นที่ราบอุดมสมบูรณ์ที่เชิงเขา ในเวลากลางคืน พวกเขากลับไปยังบ้านที่อยู่บนยอดเขา เพื่อปกป้องตัวเองจากการโจมตี

แผนที่เนินเขา 7 ลูกแห่งกรุงโรม
แผนที่เน้ินเขา 7 ลูกแห่งกรุงโรม
โรมมีข้อดีอื่น ๆ อีก คือ ตั้งอยู่ไม่ไกลจากทะเลเมดิเตอร์เรเนียนบนเส้นทางการค้าสมัยโบราณ   นอกจากนี้ยังตั้งออยู่ถัดจากแม่น้ำไทเบอร์   แม่น้ำสายนี้มีความสำคัญต่อการพัฒนากรุงโรม เพราะมันเป็นแหล่งน้ำสำหรับการเกษตรและการดื่ม

คาบสมุทรอิตาลี สถานที่ตั้งของกรุงโรมบนคาบสมุทรอิตาลียังมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาคาบสมุนทรอีกด้วย  คาบสมุทรทอดเหยียดไปทางใต้จากยุโรปไปสู่ทะเลเมดิเตอร์เรเนียน
สถานที่ตั้งของอิตาลีบนทะเลเมดิเตอร์เรเนียนทำให้ค่อนข้างง่ายสำหรับการเดินเรือของชาวโรมันไปยังดินแดนอื่นที่อยู่รอบ ๆ ทะเล ตำแหน่งนี้ช่วยกรุงโรมให้ได้รับชนะและได้รับดินแดนใหม่ในที่สุดนอกจากนี้ ยังได้รับความช่วยเหลือในการพัฒนาเส้นทางการค้า
เทือกเขาหลักสองลูกของอิตาลีช่วยป้องกันโรม เทือกเขาแอลป์ (the Alps) ชายแดนอิตาลีทางตอนเหนือและเทือกเขาแอเพนไนน์ (Apenines - AP•uh•NYNZ) เป็นแนวของอิตาลี ทอดลงไปสู่คาบสมุทร ยาวกว่า 800 ไมล์ อิตาลียังมีที่ราบขนาดใหญ่ที่เหมาะสำหรับการทำการเกษตร

การดำรงชีวิตด้านการเกษตร ชาวโรมันในยุคแรกส่วนมากใช้งานที่ดินแปลงเล็ก ๆ  พวกเขาปลูกธัญพืช เช่น ข้าวสาลีและข้าวบาร์เลย์ และพวกเขาได้ปลูกถั่ว ผักและผลไม้ ต่อมาชาวโรมันได้เรียนรู้ในการปลูกมะกอก (olive) และองุ่น พวกเขาส่งเสริมการเลี้ยงสุกร แกะ แพะ และไก่ และพวกเขาใช้วัวสำหรับลากไถ  ในกรุงโรมสมัยโบราณ  เกษตรกรที่ร่ำรวยเท่านั้น จึงสามารถเก็บเกี่ยวพืชผลครั้งแรก และปลูกองุ่นได้ในระยะเวลาไม่กี่ปี
ตอนแรก เกษตรกรชาวโรมันส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในบ้านที่เรียบง่ายที่ทำจากโคลนหรือไม้ พวกเขาไม่มีเฟอร์นิเจอร์มากมาย นอกจากนี้เกษตรกรยังอาศัยอยู่ในครอบครัวแบบขยายซึ่งมีปู่ย่าตายาย ป้าและลุง หลานสาวและหลานชายและญาติ ๆ
คุณภาพของวินัย ความจงรักภักดี และการทำงานอย่างหนัก ที่เกษตรกรในยุคแรกเหล่านี้ได้รับการพัฒนา ได้ช่วยให้กรุงโรมประสบความสำเร็จ  พวกเขามีคุณภาพจนทำให้กองทัพโรมันประสบความสำเร็จเป็นอันมาก  เมื่อทหารเข้าสู่งคราม พวกเขาจะต้องทำตามคำสั่งและทำงานของพวกเขา ทัศนคติแบบนี้ได้ช่วยให้กรังโรมพิชิตอิตาลีทั้งหมด
การเกษตรของอิตาลี
ในภาพ ไร่องุ่นยังคงเป็นที่นิยมในอิตาลี

การก่อกำเนิดการปกครองแบบสาธารณรัฐ

ในขณะที่กรุงโรมพัฒนาเป็นอารยธรรมที่ซับซ้อน ก็มีชนชั้นสองจำพวกเกิดขึ้น ความไม่เท่าเทียมกันระหว่างพวกเขา นำไปสู่​​ความขัดแย้ง อย่างไรก็ตาม ในที่สุด ความขัดแย้งนี้ก็ได้กำหนดสิทธิการเป็นพลเมืองโรมันและสิทธิมนุษยชนของประชาชนภายใต้กฎหมายโรมัน เป็นเวลา 500 ปี ถัดมา ชาวโรมัน ได้ดำเนินการภายใต้ระบบการเมืองที่ทำหน้าที่เป็นแบบจำลองสำหรับหลายชาติที่เป็นประชาธิปไตยในปัจจุบันนี้

ขุนนางและสามัญชน ในกรุงโรมโบราณ เหล่าขุนนาง (patricians - puh•TRIHSH•uhnz) ซึ่งเป็นชนชั้นสูง เป็นเศรษฐีเจ้าของที่ดิน ยึดครองตำแหน่งรัฐบาลระดับสูง เหล่าสามัญชน (plebeian - plih•BEE•uhnz) เป็นไพร่ที่ได้รับอนุญาตให้ออกเสียงเลือกตั้ง แต่ไม่ได้ครองตำแหน่งในรัฐบาลในกรุงโรมโบราณ
ความไม่พอใจต่ออำนาจของเหล่าขุนนาง ก่อให้เกิดความตึงเครียด ในที่สุด เหล่าขุนนาง ได้ผ่านการเขียนรัฐธรรมนูญที่เรียกว่า กฎหมายสิบสองโต๊ะ  ประมาณ 450 ปี ก่อนคริสต์ศักราช กฎหมายสิบสองโต๊ะ ได้กำหนดสิทธิและหน้าที่ขั้นพื้นฐานสำหรับพลเมืองโรมัน

การปกครองแบบสาธารณรัฐ ผู้นำของสาธารณรัฐโรมัน ได้จัดตั้งรัฐบาลไตรภาคี (tripartite – try•PAHR•tyt) รัฐบาลประเภทนี้ มีสามฝ่าย คือ ฝ่ายนิติบัญญัติ ฝ่ายตุลาการและฝ่ายบริหาร ฝ่ายนิติบัญญัติออกกฎหมาย ฝ่ายตุลาการตีความกฎหมายในศาล และฝ่ายผู้บริหารบังคับใช้กฎหมายของประเทศ
จตุรัสโรมัน
ซากปรักหักพังของจตุรัสโรมัน ศูนย์กลางศาสนา วัฒนธรรมและการเมืองของกรุงโรม
ยังคงดำรงอยู่ในปัจจุบัน ในยุคแรกแห่งการปกครองแบบสาธารณรัฐ วุฒิสภาจะมาประชุมกัน
ในตึกเล็ก ๆ ในสภาพแห่งนี้
ไตรภาค ฝ่ายนิติบัญญัติของรัฐบาลโรมันรวมถึงวุฒิสภาและสมัชชา วุฒิสภามีกลุ่มสมาชิกผู้ทรงอำนาจ 300 คน ที่ให้คำแนะนำผู้นำโรมัน วุฒิสมาชิกส่วนใหญ่เป็นขุนนาง สมัชชา ส่วนใหญ่เกิดขึ้นจากสามัญชน ผู้แทนราษฎรของพวกเขาได้คุ้มครองสิทธิมนุษยชนของสามัญชน
ฝ่ายตุลาการประกอบด้วยผู้พิพากษาแปดคน เข้าประจำตำแหน่ง เป็นเวลาหนึ่งปี พวกเขาเป็นคนควบคุมศาลและบริหารภูมิภาค
กงสุลสองคน ได้เป็นผูนำฝ่ายบริหารของกรุงโรม พวกเขาควบคุมกองทัพและกำกับรัฐบาลเป็นเวลาหนึ่งปี กงสุลแต่ละคนมีอำนาจที่จะยับยั้งหรือลบล้างฝ่ายอื่น ๆ
ในช่วงเวลาที่เกิดวิกฤติ กงสุลสามารถเลือกผู้เผด็จการ ซึ่งเป็นผู้นำที่มีอำนาจสิทธิ์ขาดในการปกครองในสถานที่ของพวกเขาเป็นระยะเวลาที่จำกัด เมื่อ 458 ปี ก่อนคริสต์ศักราช ผู้ชายคนหนึ่งชื่อ ซินซินาตัส (Cincinnatus - SIHN•suh•NAT•uhs) ถูกสร้างขึ้นมาเป็นเผด็จการเพื่อปกป้องโรมจากการโจมตี  ตามตำนานเขาพิฆาตศัตรูและคืนอำนาจกลับไปให้กงสุลในวันเดียว

การขยายตัวของสาธารณรัฐ

เป็นเวลาหลายร้อยปีหลังจากที่ก่อตั้งระบบการปกครองสาธารณรัฐ  กรุงโรมก็ได้ขยายดินแดน  เมื่อ 300 ปี ก่อนคริสต์ศักราช  ชาวโรมัน ได้ครอบครองอิตาลีตอนกลาง ในที่สุดพวกเขาก็พิชิตพวกอีทรัสคันไปจนถึงทิศเหนือและนครรัฐกรีกไปจนถึงทิศใต้ เมื่อ 275 ก่อนคริสต์ศักราช คาบสมุทรอิตาลีทั้งหมด ก็ตกอยู่ภายใต้การควบคุมของชาวโรมัน
โดยทั่วไป กรุงโรมไม่ได้กำหนดกฎที่รุนแรงต่อประชาชนที่พิชิตได้ สาธารณรัฐ ได้มอบความเป็นพลเมืองโรมันให้กับพวกเขาเป็นส่วนมากและได้อนุญาตให้พวกเขาปกครองตนเอง ในทางกลับกัน ประชาชนใหม่จะต้องจ่ายเงินภาษีและจัดหาทหารให้กองทัพโรมัน


แผนที่สงครามพิวนิก
แผนที่สงครามพิวนิก  264 - 146 ปี ก่อน ค.ศ.
สงครามพิวนิก โรมจำเป็นต้องใช้ทหารเหล่านี้ไปรบในสงครามพิวนิก (PYOO•nihk – Punic Wars) ซึ่งเริ่มขึ้นเมื่อ 264 ก่อนคริสต์ศักราช สงครามเหล่านี้เป็นชุดหนึ่งในสงครามสามครั้งกับเมืองคาร์เธจ เมืองที่อุดมไปด้วยการค้าขายในแอฟริกาเหนือ  ครั้งหนึ่ง เมืองคาร์เธจเคยเป็นอาณานิคมของฟีนิเซีย (Phoenicia – ปัจจุบันอยู่ในประเทศซีเรีย) ซึ่งเป็นกลุ่มของนครรัฐที่ค้าขายทางทะเลบนทะเลเมดิเตอร์เรเนียน  Punic มาจากคำภาษากรีกว่า Phoenician
โรมได้รับชัยชนะสงครามพิวนิคทุกครั้ง แต่ครั้งที่เกือบทัพแตก ฮันนิบาล (Hannibal) แม่ทัพจากเมืองคาร์เธจ ได้ข้ามเทือกเขาแอลป์ด้วยฝูงช้างและเกือบเข้ายึดกรุงโรมได้ แม่ทัพชาวโรมัน ชื่อ สคิปิโอ (Scipio - SIHP•ee•oh) ได้คิดแผนการโจมตีเมืองคาร์เธจ แผนนี้ ได้บังคับให้แม่ทัพฮันนิบาลกลับไปยังแอฟริกาเพื่อปกป้องเมืองบ้านเกิดของเขา  เมื่อ 202 ปี ก่อนคริสต์ศักราช ในยุทธการซามา (Zama) ใกล้เมืองคาร์เธจ ในที่สุด โรมันมีชัยต่อแม่ทัพฮันนิบาล
เมื่อ 146 ปี ก่อนคริสต์ศักราช ในสงครามพิวนิคครั้งที่สาม  โรมได้ล้อมโจมตีเมืองคาร์เธจ ในที่สุด โรมก็ยึดและทำลายเมืองได้ เมืองคาร์เธจก็ลุกเป็นไฟและพลเมือง 50,000 คนที่ อาศัยอยู่ในเมืองก็ถูกขายไปเป็นทาส ดินแดนแห่งเมืองคาร์เธจก็ถูกสร้างขึ้นเป็นจังหวัดของโรมัน
ชัยชนะของกรุงโรมในสงครามพิวนิคทำให้มีอำนาจเหนือทะเลเมดิเตอร์เรเนียนด้านทิศตะวันตก ครั้นแล้ว ชาวโรมันก็ได้เดินทางไปพิชิตทางทิศตะวันออกได้ครึ่งหนึ่ง ในที่สุด อาณาจักรเมดิเตอร์เรเนียนแห่งกรุงโรม ก็ยาวเหยียดจากกรีซทางทิศตะวันออกไปถึงคาบสมุทรไอบีเรีย (Iberia) ในทิศตะวันตก

ผลของการขยายตัว ทหารโรมันนำความมั่งคั่งอันยิ่งใหญ่และทาสจำนวนมากกลับไป พวกเขาได้ซื้อที่ดินขนาดใหญ่และทำไร่ไถนาด้วยแรงงานทาส แต่เนื่องจากเกษตรกรตัวเล็กจำนวนมากไม่สามารถแข่งขัน พวกเขาสูญเสียไร่นา
ด้วยเหตุนั้น การว่างงานและความยากจนจึงเพิ่มขึ้น ช่องว่างระหว่างคนรวยและคนจนขยายตัวกว้างขึ้น ในทางกลับกัน ข้อนี้ ก่อให้เกิดความโกรธและความตึงเครียดระหว่างชนชั้นมากขึ้น ในหมู่คนอื่น ๆ  ปัจจัยเหล่านี้มีส่วนทำให้โค่นล้มระบบสาธารณรัฐ

กรุงโรมกลายจักรวรรดิ

ความขัดแย้งในบ้านเมือง

ในขณะที่โรมขยายอาณาเขต ชาวโรมันผู้มั่งคั่งหลายคน ได้ทอดทิ้งหน้าที่ของพลเมือง พวกเขาคิดถึงแต่อำนาจและความมั่งคั่งมากขึ้น ข้อนี้ได้เพิ่มระยะห่างระหว่างคนรวยและคนจน  ส่งผลให้ภัยคุกคามจากการลุกฮือเพิ่มขึ้นในขณะที่สามัญชนก็ไม่พอใจอำนาจและสิทธิพิเศษของเศรษฐีเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ

การปฏิรูปล้มเหลว นักปฏิรูปพยายามที่จะบรรเทาปัญหาเหล่านี้  พวกเขาต้องการเลิกยึดที่ดินขนาดใหญ่และให้ที่ดินแก่คนยากจน แต่เศรษฐีเจ้าของที่ดินในวุฒิสภารู้สึกว่าถูกคุกคาม พวกเขาไม่เห็นด้วยกับการปฏิรูปและสั่งให้ฆ่านักปฏิรูป
โคลอสเซียม
โคลอสเซียม ซึ่งยังคงมีอยู่ถึงปัจจุบัน เป็นสัญลักษณ์แห่งอำนาจของจักรวรรดิโรมัน
สงครามกลางเมือง ในเวลาเดียวกัน แม่ทัพที่พิชิตดินแดนอื่น ๆ ได้ ก็กลายเป็นผู้ที่มีความทะเยอทะยานในการใช้อำนาจแก่บ้านเมือง พวกเขาได้ว่าจ้างเกษตรกรที่ยากจนให้รับใช้พวกเขาในฐานะเป็นทหาร เพิ่มมากขึ้น ทหารเหล่านี้เปลี่ยนความจงรักภักดีของตนจากการปกครองแบบสาธารณรัฐไปให้กับแม่ทัพ ความปรารถนาในอำนาจของแม่ทัพนำไปสู่​​ความขัดแย้ง
ในที่สุด สงครามกลางเมืองก็ระอุดขึ้น  สงครามกลางเมือง (a civil war) คือความขัดแย้งระหว่างกลุ่มหลายกลุ่มภายในประเทศเดียวกัน คือ  ฝ่ายหนึ่งคือแม่ทัพผู้ให้การสนับสนุนกลุ่มสามัญชน ฝ่ายอื่น ๆ คือ แม่ทัพที่ได้รับการสนับสนุนจากขุนนางและวุฒิสมาชิก
แม่ทัพคนหนึ่ง ชื่อ มาริอุส (Marius) ต่อสู้เพื่อสามัญชน ในขณะที่แม่ทัพ ชื่อซุลลา (Sulla) ต่อสู้เพื่อขุนนาง การต่อสู้ดำเนินไปเป็นเวลาหลายปี สุดท้าย เมื่อ 82 ก่อนคริสต์ศักราช เหล่าขุนนางก็ได้รับชัยชนะ ซุลลาเข้ามากุมอำนาจและกลายเป็นเผด็จกา

จูเลียส  ซีซาร์ (Julius Caesar)

          หลังจากที่แม่ทัพซุลลาเสียชีวิต แม่ทัพคนอื่น ๆ ก็ขึ้นสู่อำนาจ หนึ่งในนั้นคือจูเลียส ซีซาร์ ผู้เป็นทั้งแม่ทัพ เป็นทั้งนักการเมืองและเผด็จการ  ซีซาร์เกิดประมาณ 100 ก่อนคริสต์ศักราช ภายในตระกูลขุนนางเก่า เขาเป็นคนที่มีความสามารถมากและความใฝ่ฝันอันยิ่งใหญ่ แต่การที่จะบรรลุถึงอำนาจอย่างแท้จริง เขารู้ว่าเขาจะต้องชนะในสนามรบ
จูเลียส  ซีซาร์
จูเลียส  ซีซาร์  หนึ่งในผู้ยิ่งใหญ่แห่งประวัติศาสตร์
ซีซาร์เป็นรัฐบุรุษผู้หลักแหลม เป็นแม่ทัพ เป็นนักพูดและเป็นนักเขียน
ภาพนี้วาดโดยปีเตอร์ พอล รูเบนส์ (ค.ศ. 1577 - 1640)   
ผู้นำทางทหาร ครั้งแรก ซีซาร์ได้เห็นการดำเนินการทางทหารในเอเชียไมเนอร์ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของตุรกีในปัจจุบัน และในสเปน แต่เขาก็พิสูจน์ตัวเองในการเป็นแม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่ในดินแดนกอล ซึ่งเป็นพื้นที่รู้จักกันในขณะนี้ คือ ฝรั่งเศส (เป็นชื่อเก่าแก่ในประวัติศาสตร์ ใช้ในยุคโรมันเพื่อเรียกขานดินแดนทางยุโรปตะวันตก ซึ่งปัจจุบันเทียบได้ประมาณบริเวณประเทศฝรั่งเศสและเบลเยี่ยม และอาจรวมไปถึงหุบเขาโพ ในสวิตเซอร์แลนด์ตะวันตก บางส่วนของเนเธอร์แลนด์และเยอรมนีทางฝั่งตะวันตกของแม่น้ำไรน์)
เผ่ากอลส์ (the Gauls) คือ นักรบที่ดุร้าย แต่ในการรณรงค์ทางทหารที่ยอดเยี่ยม ซีซาร์ ก็ตีเผ่ากอลส์จนพ่ายแพ้และยึดทั่วทั้งภูมิภาค ชัยชนะของเขา ทำให้ได้ในดินแดนใหม่และความมั่งคั่งที่ยิ่งใหญ่ให้โรม ชัยชนะยังให้ชื่อเสียงและโชคลาภแก่ซีซาร์อีกด้วย
ซีซาร์ได้เขียนถึงความสำเร็จของเขาในกอลในไดอารี่ทางทหาร ชื่อว่า Commentaries on the Gallic War  (คำวิจารณ์เกี่ยวกับสงครามฝรั่งเศส) งานนี้ได้สร้างชื่อเสียงให้แก่เขาในฐานะผู้เป็นหนึ่งในนักเขียนที่ยิ่งใหญ่ของงานประพันธ์ร้อยแก้วของละติน

นักเผด็จการเพื่อชีวิต นอกเหนือไปจากทักษะทางทหาร  ซีซาร์ยังเป็นนักการเมืองที่ดีอีกด้วย เขาได้รับชื่อเสียงในฐานะนักปฏิรูปที่สนับสนุนสามัญชน ข้อนี้บวกกับชื่อเสียงทางทหาร ทำให้เขาเป็นที่นิยมของสามัญชน
แต่ซีซาร์ยังมีศัตรู ชาวโรมันที่มีอำนาจจำนวนมากรวมทั้งวุฒิสมาชิกขุนนาง ได้ต่อต้านซีซาร์ หนึ่งในบรรดาฝ่ายตรงข้ามของเขา คือ ซิเซโร (หรือ คิเคโร ตามสำเนียงละตินคลาสสิก) (Cicero - SIHS•uh•ROH) กงสุลชาวโรมันที่สำคัญและอาจจะเป็นนักพูดที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์โรมัน ซิเซโรเป็นผู้สนับสนุนการปกครองแบบสาธารณรัฐที่เข้มแข็ง เขาไม่ไว้ใจซีซาร์และความปรารถนาอำนาจที่ยิ่งใหญ่ของผู้ปกครอง
เมื่อซีซาร์กลับมาจากกอล วุฒิสภาสั่งให้เขาทำลายกองทัพของตัวเอง แต่เขาได้นำทหารของเขาเข้าไปในอิตาลีและเริ่มต่อสู้เพื่อครอบครองกรุงโรมแทน หลังจากหลายปีผ่านไป ซีซาร์ได้รับชัยชนะ เมื่อ 46 ปี ก่อนคริสต์ศักราช เขาได้กลับไปยังกรุงโรม ที่ซึ่งเขาได้รับการสนับสนุนจากประชาชนและกองทัพ ในปีเดียวกันนั้นวุฒิสภาได้แต่งตั้งเขาให้เป็นผู้ปกครองโรมันแต่เพียงผู้เดียว เมื่อ 44 ปี ก่อนคริสต์ศักราช ซีซาร์ถูกขนานนามว่า เป็นนักเผด็จการเพื่อชีวิต เนื่องจากถูกต่อต้านตลอดถึงหกเดือน

การปฏิรูปของซีซาร์ ซีซาร์ปกครองในฐานะเป็นผู้ปกครองเผด็จการ  แต่เขาเริ่มการปฏิรูปเป็นจำนวนมาก เขาขยายวุฒิสภาโดยรวมผู้สนับสนุนจากประเทศอิตาลีและภูมิภาคอื่น ๆ เขายังบังคับใช้กฎหมายต่ออาชญากรรมและสร้างงานสำหรับคนยากจน  แม้จะมีการปฏิรูปเหล่านี้ ชาวโรมันบางพวกกลัวว่าซีซาร์จะทำให้ตัวเองเป็นกษัตริย์ ไม่เพียง แต่เขาจะปกครองเป็นเวลาตลอดชีวิตเท่านั้น แต่สมาชิกในครอบครัวของเขายังจะปกครองต่อจากเขาอีก ความเกลียดชังต่อพระมหากษัตริย์ของชาวโรมันย้อนกลับไปยังวันที่ชาวอีทรัสคันปกครอง

การลอบสังหารและมรดก ความกังวลเรื่องการขยายอำนาจของซีซาร์ได้นำไปสู่ความหายนะ วุฒิสภา ซึ่งเป็นสภาสำหรับบริหารของโรม ไม่พอใจอำนาจของเขา ในวันที่ 15 มีนาคม เมื่อ 44 ปี ก่อนคริสต์ศักราช วุฒิสมาชิกบางส่วนก็ลงมือจัดการ วุฒิสภาจัดประชุมในวันที่เป็นลางร้าย  วุฒิสมาชิกได้เข้ามาทีละคน ๆ และท้ายสุดซีซาร์เดินเข้ามาในห้อง เขาถูกล้อมและลอบสังหารโดยกลุ่มวุฒิสมาชิก ในที่สุดเหล่าผู้นำในการประทุษกรรม ก็ถูกฆ่าหรือฆ่าตัวตาย
นักประวัติศาสตร์ยังคงไม่เห็นด้วยเกี่ยวกับการปกครองของซีซาร์ เช่นเดียวกับชาวโรมันในเวลานั้น บางคนบอกว่าเขาเป็นนักปฏิรูปที่ทำงานเพื่อช่วยเหลือสามัญชน บางคนบอกว่าเขาเป็นทรราชย์กำลังหิวอำนาจ อย่างไรก็ตาม การปกครองของซีซาร์และความตายของเขา นำไปสู่การสิ้นสุดระบบการปกครองแบบสาธารณรัฐ
เหรียญเงิน
เหรียญเงินนี้นำออกมาใช้หลังจากการลอบสังหารซีซาร์
รูปด้านหน้า (ขวามือ) เป็นรูปผู้สังหารซีซาร์
รูปด้านหลัง (ซ้ายมือ) เป็นรูปหมวกแห่งเสรีภาพอยู่ระหว่างกริชสองเล่ม

จักรพรรดิปกครองโรม

          หลังจากซีซาร์เสียชีวิตลง ผู้นำโรมันหลายคนพยายามที่จะได้มาซึ่งอำนาจ หนึ่งในคนเหล่านี้ คือ เหลนและบุตรบุญธรรมของซีซาร์ ชื่อ ออกเตวีอัน หรือ ออกตาเวียน (Octavian - ahk•TAY•vee•uhn)
การต่อสู้ครั้งนี้ ได้นำไปสู่สงครามกลางเมืองอื่นอีก ซึ่งกินเวลานานหลายปี สงครามทำลายสิ่งที่เหลืออยู่ของสาธารณรัฐโรมัน ในที่สุด ออกเตวีอันก็กำจัดศัตรูของเขาได้ เมื่อ 27 ปี ก่อนคริสต์ศักราชเขาก็กลายเป็นผู้ปกครองของกรุงโรม ในเวลานั้น เขาเอาชื่อออกัสตัส (aw• GUHS•tuhs) ซึ่งหมายถึง "ผู้ที่ควรเคารพยกย่อง (exalted one)" หรือบุคคลผู้มีศักดิ์และมีอำนาจอันยิ่งใหญ่

ออกัสตัสสร้างกรุงโรมขึ้นมาใหม่ ออกัสตัสเป็นจักรพรรดิองค์แรกของกรุงโรม แต่พระองค์ไม่ได้ใช้ชื่อนั้น เขาชอบที่จะถูกเรียกว่า "พลเมืองคนแรก (first citizen)" เขาได้บูรณะบางแง่มุมของการบริหารแบบสาธารณรัฐ  วุฒิสมาชิก กงสุลและผู้พิทักษ์สิทธิของประชาชน ได้ดำรงตำแหน่งอีกครั้งหนึ่ง แต่ออกัสตัสมีอำนาจเหนือพวกเขาทั้งหมด
ออกัสตัสบริหารบ้านเมืองเป็นอย่างดี เขานำภูมิภาคภายใต้การควบคุมและเสริมสร้างความเข้มแข็งการป้องกันจักรวรรดิ เขายังได้เริ่มระบบข้าราชการพลเรือน ซึ่งเป็นกลุ่มของเจ้าหน้าที่ที่ได้รับการว่าจ้างจากรัฐ ข้าราชการพลเรือนโรมันจัดเก็บภาษี ตรวจตราระบบไปรษณีย์และการจัดการอุปทานธัญพืช
ออกัสตัสยังได้สร้างและตกแต่งกรุงโรมใหม่ เขาได้สร้างวิหารใหญ่ โรงละครและอนุเสาวรีย์ เขาถูกเปลี่ยนอาคารที่เป็นอิฐเก่า ๆ  มากมายมาเป็นอาคารที่มีโครงสร้างทำจากหินอ่อน ภายใต้การปกครองของออกัสตัส โรมกลายเป็นเมืองหลวงของจักรวรรดิอย่างงดงาม

สันติภาพแห่งโรม รัชสมัยของออกัสตัสเริ่มเป็นช่วงระยะเวลานานแห่งสันติภาพและเสถียรภาพในจักรวรรดิโรมันเรียกว่า Pax Romana หรือ"สันติภาพโรมัน"  Pax Romana กินเวลานานประมาณ 200 ปี ในช่วงเวลานี้ จักรวรรดิได้แผ่ขยายขนาดยิ่งใหญ่ที่สุด ประมาณสองล้านตารางไมล์
ภายใต้ปกครองของออกัสตัส กองทัพโรมันเป็นกองทัพที่มีกำลังพลสำหรับการต่อสู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก ผู้ชายประมาณ 300,000 คนเข้าประจำการในกองทัพ พวกเขารักษาเขตแดนของจักรวรรดิ พวกเขายังได้สร้างถนน สะพานและอุโมงค์ช่วยเชื่อมอาณาจักรเข้าด้วยกัน นอกจากนี้ ออกัสตัสได้สร้างกองทัพเรือโรมันที่แข็งแกร่ง ซึ่งลาดตระเวนทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ด้วยวิธีนี้โรมก็สามารถสร้างอำนาจและอิทธิพล ให้รู้สึกไปทั่วโลกในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน
------------------------------------------
ผู้สร้างประวัติศาสตร์

ออกัสตัส (63 ปี ก่อนคริสต์ศักราช – คริสต์ศักราชที่ 14)

รูปปั้นออกัสตัส
รูปปั้นออกัสตัส
           ในขณะที่ยังเป็นเด็ก ออกัสตัสเป็นคนอ่อนแอและขี้โรค เขายังคงได้รับทุกข์ทรมานจากความเจ็บป่วยตลอดชีวิตของเขา แต่เขาก็ยังมีชีวิตยืนนานและกลายเป็นนักปกครองที่เกรียงไกรแห่งจักรวรรดิที่ยิ่งใหญ่
แม้จะมีพลังอำนาจมหาศาล ออกัสตัสก็ชอบที่จะแสดงตัวเองว่าเป็นพลเมืองธรรมดาที่มีรสนิยมที่เรียบง่าย เขาอาศัยอยู่ในบ้านหลังเล็ก ๆ และนอนหลับอยู่ในห้องนอนขนาดไม่ใหญ่ไปกว่ากระท่อม เขาสวมเสื้อคลุมธรรมดาทอโดยภรรยาของเขา อาหารโปรดของเขาก็เป็นอาหารของคนธรรมดา คือ ขนมปัง เนยและมะกอก ออกัสตัสยังเชื่อมั่นในประมวลศีลธรรมที่เข้มงวด เขาได้ส่งลูกของตัวเองออกไปเพื่อไม่ให้อาศัยอยู่จนถึงหลักเกณฑ์นี้
ออกัสตัสเคยพูดว่าเกียรติสูงสุดของเขาคือการได้รับเรียกว่าบิดาของประเทศจากชาวโรมัน แต่หลังจากที่เขาเสียชีวิตชาวโรมันบูชาออกัสตัสเป็นพระเจ้า
-------------------------------------------
แผนทีี่การค้าขายในจักรวรรดิโรมัน
แผนทีี่การค้าขายในจักรวรรดิโรมัน  ค.ศ. 200
รัฐที่เข้มแข็ง Pax Romana (สันติภาพแห่งโรม) ดำรงอยู่ยาวนานอย่างต่อเนื่องหลังจากที่ออกัสตัสเสียชีวิตในปีคริสต์ศักราช 14 จักรพรรดิอื่น ๆ อีกมากมายปกครองภายหลังออกัสตัส บางคนเป็นผู้ปกครองที่ดี ในขณะที่คนอื่นไม่ดี แต่รัฐที่เริ่มภายใต้การปกครองของออกัสตัสก็มีประสิทธิภาพมากจนกระทั่งอาณาจักรดำรงอยู่ได้เป็นอย่างดี ชาวโรมัน ได้จัดการควบคุมอาณาจักร ซึ่งในคริสต์ศตวรรษที่ 1 (ประมาณ ค.ศ. 117) กินเนื้อที่จากสเปนไปถึงเมโสโปเตเมีย จากแอฟริกาเหนือไปถึงเกาะบริเตน (สหราชอาณาจักร) มีผู้คนจากหลายภาษาวัฒนธรรมและประเพณีรวมอยู่ในภูมิภาคของจักรวรรดิ (ดูแผนที่ สีเหลืองคือพื้นที่ปกครองของจักรวรรดิโรมัน)

เกษตรกรรม เกษตรกรรมและพาณิชยกรรมช่วยจักรวรรดิเจริญรุ่งเรือง  เกษตรกรรมเป็นกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่สำคัญที่สุดในจักรวรรดิ สิ่งอื่นใดทั้งหมดขึ้นอยู่กับเกษตรกรรม คนส่วนใหญ่ได้รับการมีส่วนร่วมในการทำเกษตรกรรม ส่วนใหญ่ชาวโรมันมีชีวิตอยู่รอดด้วยผลิตผลจากพื้นที่ในท้องถิ่นของพวกเขา  อาหารเพิ่มเติมถ้าจำเป็นที่ได้รับผ่านการค้าขาย
เกษตรกรรมยังคงเป็นพื้นฐานของเศรษฐกิจโรมัน แต่อุตสาหกรรมก็ยังขยายตัวอีกด้วย การผลิตเครื่องปั้นดินเผา สินค้าโลหะและกระจก เพิ่มขึ้น การผลิตไวน์และน้ำมันมะกอก ตลอดจนผลิตภัณฑ์อาหารอื่น ๆ ก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน

พาณิชยกรรม จักรวรรดิได้ส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจผ่านการใช้เส้นทางการค้าขาย พ่อค้าแล่นเรือข้ามทะเลเมดิเตอร์เรเนียนไปสเปน แอฟริกาและเอเชียตะวันตก พวกเขายังเดินทางโดยทางบกไปยังกอลและส่วนอื่น ๆ ของยุโรป  ด้วยวิธีการค้าขาย โรมได้รับสินค้าที่มีคุณค่าที่หาไม่ได้ที่บ้าน พ่อค้านำเมล็ดข้าว งาช้าง ผ้าไหม เครื่องเทศทองคำ และเงิน ตลอดจนกระทั่งสัตว์ป่า การค้าขายส่วนมากนี้ขึ้นอยู่กับคุณภาพของถนนแห่งโรมัน นอกจากนี้ยังขึ้นอยู่กับการรักษาความปลอดภัยจากทหารโรมันอีกด้วย

เงินตรา เศรษฐกิจของโรมันยังขึ้นอยู่กับสกุลเงินหรือเงินตราทั่วไปอีกด้วย ในยุคของออกัสตัส เหรียญเงินที่เรียกว่า Denarius (dih•NAHR •ee•uhs) ถูกนำมาใช้ทั่วจักรวรรดิ รูปแบบทั่วไปของเงินทำให้การค้าขายระหว่างส่วนต่าง ๆ ของจักรวรรดิง่ายมากขึ้น เหล่าพ่อค้าสามารถซื้อและขายโดยไม่ต้องเปลี่ยนเงินของพวกเขาเป็นเงินตราอีกสกุลหนึ่ง
เศรษฐกิจที่ขยายตัวของกรุงโรมส่วนใหญ่เป็นประโยชน์แก่ผู้ที่ร่ำรวยอยู่แล้ว เป็นผลให้การแบ่งชั้นระหว่างคนรวยและคนจนเข้มข้นมากขึ้น
คติพจน์
คติพจน์ SPQR  ย่อมาจาก Senetus Populusque Romaus (น่าจะเป็นภาษากรีกโบราณ)
แปลเป็นภาษาอังกฤษว่า "The Senate and People of Rome"
แปลเป็นไทยว่า "สภาสูงและประชาชนแห่งโรม"
คติพจน์นี้เป็นคติพจน์แห่งจักรวรรดิโรมัน

ชีวิตประจำวันของชาวโรมัน

ครอบครัวและสังคม

          หัวหน้าครอบครัวโรมัน คือ พ่อ เขาเป็นเจ้าของทรัพย์สมบัติทั้งหมดและปกครองสมาชิกคนอื่น ๆ ในครัวเรือน อย่างไรก็ตาม อำนาจของพ่อก็ถูกจำกัดความความเห็นของประชาชนและประเพณี สังคมโรมันไม่เห็นด้วยกับพ่อของเขาที่จะลงโทษครอบครัวโดยไม่มีเหตุผลที่ดี
กระเบื้องโมเสกที่ใช้ในครัวเรือน
กระเบื้องโมเสกที่ใช้ในครัวเรือนนี้วางอยู่ข้างหน้าอาคารในเมืองปอมเปอี
ซึ่งเป็นโบราณแห่งจักรวรรดิโรมัน
 ข้อความข้างล่าง (CAVEC AN EM)  มีความหมายว่า "ระวังสุนัข"
สตรี สตรีในครอบครัวชาวโรมันมีความสุขเสรีภาพเพียงบางส่วน  เหมือนสตรีในพื้นที่ส่วนใหญ่ของโลก สตรีชาวโรมันได้รับการคาดหวังให้ปฏิบัติเป็นแม่บ้านและดูแลเด็ก แต่พวกเธอยังจะได้รับมรดกทรัพย์สิน และพวกเธอได้ดำเนินการธุรกิจของครอบครัว เมื่อสามีของตนไม่อยู่  สตรีชาวโรมัน  ยังคงมีอำนาจเล็ก ๆ น้อย ๆ นอกบ้านและไม่สามารถลงคะแนนออกเสียงได้

คฤหาสน์ของจักรพรรดิ
คฤหาสน์ของจักรพรรดิ  ในขณะที่ชาวโรมันมีชีวิตอยู่อย่างยากจน จักรพรรดิกลับมีชีวิตหรูหรา
ทาสจำนวนมากมีหน้าที่ดูแลคฤหาสน์ของจักรพรรดิหลังนี้
เด็ก ๆ พ่อแม่ส่วนใหญ่ให้ลูก ๆ ของตนได้รับการศึกษาบางส่วนที่บ้าน เด็กผู้ชายที่มาจากครอบครัวที่ร่ำรวย มักจะถูกส่งไปเรียนในโรงเรียนเอกชน (private school) ในขณะที่ลูกสาวอยู่ที่บ้านและเรียนรู้ทักษะการเป็นแม่บ้าน โดยปกติ เด็กผู้หญิงจะแต่งงานเมื่ออายุ 14 ปี ในขณะที่เด็กผู้ชายแต่งงานช้ากว่า

ชนชั้นทางสังคม เมื่อเวลาผ่านไปชนชั้นทางสังคมของชาวโรมันสังคมก็เปลี่ยนแปลง การแบ่งชนชั้นแบบเก่าระหว่างขุนนางและสามัญชนไปชนชั้นสูงและชนชั้นชั้นต่ำ ขุนนางและสามัญชนที่ร่ำรวยบางส่วนกลายเป็นส่วนหนึ่งของสังคมชั้นสูง ชนชั้นกลางกลุ่มใหม่ยังได้พัฒนาอีกด้วย เหล่าผู้นำด้านธุรกิจที่เจริญรุ่งเรืองและข้าราชการเป็นอยู่ในชนชั้นกลาง เกษตรกรจัดเป็นหนึ่งในชนชั้นต่ำ
ภาพสตรีในสังคมชั้นสูง
ภาพวาดฝาผนังนี้ เป็นภาพวาดสตรีวัยรุ่นชาวโรมันสวมเสื้อผ้าและไว้ผม
ในรูปแบบของประชาชนชาวโรมันผู้มั่งคั่ง
พวกทาสเป็นชนชั้นต่ำสุดและใหญ่ที่สุดในสังคม ประชากรถึงหนึ่งในสามเป็นทาส บางคนพวกเป็นเชลยศึก พวกอื่น ๆ กลายเป็นทาสเพราะพ่อแม่ของพวกเขาเป็นทาส พวกทาสพบได้ทั่วทั้งสังคมโรมัน ทาสบางพวกทำงานในตำแหน่งเสมียนระดับต่ำ อย่างไรก็ตาม พวกทาสยังดำเนินงานทั้งหมดที่ต้องใช้แรงงานทางกายภาพ พวกเขาทำงานอยู่ในเหมืองแร่ บนที่ดินขนาดใหญ่และเป็นคนรับใช้ หลายคนได้รับความเดือดร้อนจากการปฏิบัติที่โหดร้าย  การปฏิวัติทาสเป็นเรื่องปกติ แต่ก็ไม่มีใครทำสำเร็จ ทาสหลายพันคนเสียชีวิตในการปฏิวัติ  การปฏิวัติทาสที่มีชื่อเสียงที่สุด คือ การปฏิวัติซึ่งนำโดยสปาตาคุส (Spartacus)

ความเชื่อของชาวโรมัน

          ความเชื่อทางศาสนาได้ผูกติดอยู่กับสังคมโรมัน จากยุคที่เก่าแก่ที่สุด ชาวโรมันบูชาวิญญาณหลายร้อยชนิด พวกเขาเชื่อว่า วิญญาณเหล่านี้อาศัยอยู่ในทุก ๆ สิ่งที่อยู่รอบตัวพวกเขารวมทั้งแม่น้ำ ป่าและทุ่งนา  ครอบครัวโรมันยังเชื่อว่าเทพเจ้าประจำบ้าน (ทำนองผีบ้านผีเรือนของเรา) จะปกป้องพวกเขา พวกเขาตั้งศาลเพียงตาในบ้านของพวกเขาเพื่อที่จะให้เกียรติวิญญาณเหล่านี้

อิทธิพลของศาสนา ต่อมาความเชื่อของชาวโรมันก็ได้รับอิทธิพลจากวัฒนธรรมอื่น ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ชาวอีทรัสคันและชาวกรีก มีอิทธิพลต่อศาสนาชาวโรมัน ชาวโรมันได้รับความคิดของชาวอีทรัสคันเกี่ยวกับพระเจ้าอยู่ในร่างมนุษย์ พวกเขายังได้รับพิธีกรรมของชาวอีทรัสคันที่ออกแบบมาเพื่อทำนายอนาคต  ชาวโรมันเชื่อว่าพิธีกรรมเหล่านี้อาจจะทำให้ปรากฏเป็นการกระทำพิเศษ เช่นการต่อสู้ จะมีผลดี
ชาวโรมันได้ยืมเทพเจ้าจำนวนมากมาจากชาวกรีก ยกตัวอย่างเช่น เทพเจ้าโรมัน ชื่อ จูปิเตอร์ (Jupiter) ซึ่งเป็นบิดาของเทพเจ้าทั้งหลาย มีลักษณะของเทพเจ้าซุส (ซีอุส) ของกรีกหลายประการ เทพเจ้าอพอลโล ซึ่งเป็นเทพเจ้าดนตรีและบทกวีกรีก กลายเป็นเทพเจ้าโรมันที่สำคัญในชื่อเดียวกัน

ศาสนาและการดำรงชีวิตของประชาชน ในขณะที่ในอียิปต์โบราณ ศาสนาและรัฐมีการเชื่อมโยงกันกับโรม พระสงฆ์ที่เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ และจักรพรรดิเป็นประมุขของศาสนจักร เหล่าเทพเจ้าโรมันยังเป็นสัญลักษณ์ของรัฐอีกด้วย  ชาวโรมันประสงค์จะให้เกียรติแก่เทพเจ้าเหล่านี้ในพิธีสาธารณะ เมื่อเวลาผ่านไป แม้ตัวจักรพรรดิเอง ก็กลายเป็นเทพเจ้า เดิมที ชาวโรมันบูชาจักรพรรดิหลังจากการตายแล้วเท่านั้น แต่ในที่สุดพวกเขาก็ให้เกียรติผู้ปกครองที่ยังมีชีวิตอยู่ในฐานะเป็นเทพเจ้า  ความจงรักภักดีที่มีต่อองค์จักรพรรดิกลายเป็นเช่นเดียวกันกับความจงรักภักดีที่มีต่อเทพเจ้า
เปรียบเทียบเทพเจ้ากรีกและโรมัน
รูปปั้นเทพเจ้าจูปิเตอร์กำลังขี่นกอินทรีย์ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของพระองค์และกำลังขว้างสายฟ้า

การดำเนินชีวิตในเมืองของชาวโรมัน

ตอนที่จักรวรรดิโรมันรุ่งเรืองที่สุด กรุงโรมมีประชากรเกือบหนึ่งล้านคน ผู้คนจากทั่วจักรวรรดิย้ายไปยังกรุงโรม การผสมผสานของประชาชนนี้ ได้ก่อให้เกิดการผสมผสานของความคิดและประเพณีอย่างมีชีวิตชีวา

เมืองที่คับคั่งไปด้วยประชาชน ประชาชนจำนวนยังสร้างปัญหาอีกด้วย ศูนย์กลางของกรุงโรมแออัดไปด้วยฝูงชน สกปรกและมีเสียงอึกทึก ประชากรของเมืองส่วนมาก ตกงานและยากจน คนเหล่านี้อาศัยอยู่ในอาคารอพาร์ทเม็นท์ที่ซอมซ่อ พวกเขามีห้องพักขนาดเล็กที่ไม่มีน้ำไหลหรือห้องสุขา โรงอาบน้ำสาธารณะเป็นวิธีการหนึ่งของการประยุกต์ใช้กับเมืองที่มีผู้คนแออัด ผู้คนทิ้งขยะออกทางหน้าต่าง เป็นอันตรายต่อคนอื่น ๆ ที่เดินในถนนด้านล่าง ไฟก็ยังคงอันตรายอีกด้วย

คนรวยและคนจน ชาวโรมันที่ยากจนยังมีของสำหรับรับประทานน้อยมากอีกด้วย อาหารทั่วไป คือ ขนมปัง มะกอก และผลไม้ แต่รัฐบาลได้จัดเมล็ดข้าวแบบเปล่า ๆ เพื่อจะทำให้คนมีความสุขและหลีกเลี่ยงความไม่สงบของประชาชน
ตรงกันข้าม เศรษฐีชาวโรมันมีความสุขในชีวิตแบบหรูหรา พวกเขาอาศัยอยู่ในบ้านที่มีขนาดใหญ่สะดวกสบายในชนบท พวกเขาใช้เวลาไปโรงละครและเพลิดเพลินกับตัวเอง พวกเขายังจัดงานเลี้ยงอาหารค่ำมีสีสันแพรวพราว อาหารเหล่านี้รวมถึงอาหารที่วิจิตร เช่น อินทผลัม หอยนางรม และหมูแฮม พวกเขายังรวมถึงอาหารที่ไม่ธรรมดา เช่น แมงกะพรุนเค็ม นกแก้วย่างและลิ้นนกกระเรียนต้ม

ปฏิกิริยาตอบโต้ต่อปัญหาบ้านเมือง ชาวโรมันหาทางแก้ไขปัญหาในทางปฏิบัติกับปัญหาบางอย่างที่เกิดขึ้นในเมืองของพวกเขาได้มากมาย พวกเขาได้สร้างระบบท่อระบายน้ำประปาและการปรับปรุงสุขาภิบาล พวกเขายังสร้างทางระบายน้ำ (aqueducts - AK•wih•DUHKTS) ร่องน้ำที่ประดิษฐ์ขึ้นเอง ซึ่งนำน้ำจืดจากน้ำพุ ลำธารและทะเลสาบไปยังเมืองโรมันอีกด้วย น้ำเดินทางผ่านระบบทางระบายน้ำและท่อน้ำ ท่อน้ำส่วนใหญ่เหล่านี้อยู่ใต้ดิน แต่บางท่อมีสะพานโค้งสูงรองรับ
ห้องอาบน้ำสาธารณะเป็นส่วนที่สำคัญอีกส่วนหนึ่งของชีวิตในเมือง เมืองส่วนใหญ่และแม้กระทั่งป้อมปราการโรมันส่วนมากมีโรงอาบน้ำสาธารณะ ชาวโรมันทุกชนชั้น ได้ไปเยือนห้องอาบน้ำเพื่ออาบน้ำและเข้าสังคม
เพื่อทำให้ชาวโรมันหันเหความสนใจจากปัญหาของชีวิตเมือง รัฐบาลได้จัดสิ่งบันเทิงที่สนามกีฬาสาธารณะขนาดใหญ่ หนึ่งในนั้นคือ Circus Maximus (MAK •suh•muhs – สนามกีฬากลางแจ้งที่ยิ่งใหญ่แห่งหนึ่งของจักรวรรดิโรมัน) เป็นสนามรูปไข่ขนาดใหญ่ที่ใช้สำหรับการแข่งรถม้า สนามกีฬาที่มีชื่อเสียงอีกแห่งหนึ่ง คือ โคลอสเซียม (Colosseum) Colosseum เป็นชื่อของรูปปั้นขนาดใหญ่หรือขนาดมหึมาของจักรพรรดิโรมันที่ครั้งหนึ่งเคยตั้ยตระหง่านอยู่ข้างสนามกีฬา
ในสนามกีฬานั้น ชาวโรมันสามารถดูนักต่อสู้สมัยโบราณหรือนักรบที่ผ่านการฝึกอบรม ต่อสู้ไปจนตาย เหนือศีรษะขึงผ้าใบยังแดดเพื่อปกป้องประชาชนจากดวงอาทิตย์ ฝูงชนอาจจะเห็นนักฆ่าสัตว์ที่ไม่ธรรมดา แต่การแข่งขันที่เป็นที่นิยมมากที่สุด คือ การเอานักต่อสู้สองคนสู้กับอีกคนหนึ่งหรือนักต่อสู้คนเดียวต่อสู้กับสัตว์ป่า สายตาชาวโรมันร่วมกันจ้องมองความกล้าหาญและความรุนแรง เกียรติยศและความโหดร้าย
สะพานส่งน้ำโบราณ
สะพานส่งน้ำโบราณนี้ยังคงมีอยู่บนแม่น้ำการ์ (Gard River) ในฝรั่งเศส

พัฒนาการของศาสนาคริสต์

          โลกยุคโรมันมีความหลากหลาย มีหลายศาสนา ชีวิตและการเรียนการสอนของศาสดาชาวยิวชื่อเยซูได้กลายเป็นพื้นฐานของศาสนาคริสต์
ไม้กางเขน
ไม้กางเขน เป็นสัญลักษณ์ของศาสนาคริสต์
ด้านบนนี้เป็นไม้กางเขนที่ทำจากทองและประดับด้วยเพชร 

ศาสนาคริสต์มีรากฐานมาจากยิว

          เมื่อ 63 ปี ก่อนคริสต์ศักราช โรมันพิชิตอาณาจักรของชาวยิว ชื่อ ยูดาห์ (Judah) เรียกว่าจูเดีย (Judea) อีกด้วย ในช่วงประวัติศาสตร์ของพวกเขา ชาวยิวได้รับการดูแลไม่ดีอยู่เสมอ ชาวยิวหลายคนต้องการที่จะเป็นอิสระจากผู้ปกครองต่างเมือง คัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ของชาวยิวบางคัมภีร์ ให้สัญญาว่าจะมีพระเจ้ามาโปรดและคนจำนวนมากเชื่อว่านี้คงเป็นผู้ปกครองโลกที่ส่งมาจากพระเจ้า บางพวกเชื่อว่าผู้ปกครองนี้จะสืบเชื้อสายมาจากกษัตริย์เดวิด (King David) ผู้ปกครองของอิสราเอลในศตวรรษที่ 9 (900 ปี) ก่อนคริสต์ศักราช พวกอื่น ๆ เชื่อว่าผู้มาโปรดจะปลดปล่อยพวกเขา
โบสถ์พระคริสตสมภพ
ภาพถ่ายโบสถ์พระคริสตสมภพในเมืองเบธเลเฮม
คาดกันว่า สร้างขึ้นบนสถานที่ประสูติของพระเยซู

ประวัติของพระเยซู

          ในฐานะเป็นชาวยิวที่เกิดในจังหวัดจูเดียของโรมัน พระเยซูปฏิบัติตามคำสอนของศาสนายูดายมากมาย แต่พระองค์ยังสอนความคิดและการปฏิบัติบางอย่างที่แตกต่างจากสิ่งที่คนอื่นสอน

ประสูติและประวัติในช่วงแรก

เรารู้เกี่ยวกับพระเยซูจากพระวรสาร ซึ่งเป็นเล่าเรื่องราวชีวิตของพระเยซูสี่เล่ม ที่เขียนขึ้นโดยแมทธิว มาร์ค ลุคและจอห์น หลังจากที่พระองค์สิ้นพระชนม์ พระวรสารและงานเขียนอื่น ๆ ได้ทำให้เกิดพระคัมภีร์ไบเบิลฉบับใหม่ (New Testament)

แผนที่เมืองในขณะที่พระเยซูทรงพระชนม์อยู่
แผนที่สถานที่ในขณะที่พระเยซูยังทรงพระชนม์อยู่  4 ปี ก่อน ค.ศ. - ค.ศ. 29
ตามพระวรสาร พระเยซูประสูติในเมืองเบธเลเฮ (Bethlehem) และเติบโตขึ้นมาในเมืองนาซาเร็ธ (Nazareth) ต่อมา เหล่าชาวคริสเตียนได้การเฉลิมฉลองการเกิดของพระองค์ในวันหยุดคริสต์มาส ในเรื่องราวตามพระวรสาร พระเยซูได้รับเลี้ยงดูมาโดยแมรี (Mary) มารดาของพระองค์และโจเซฟ

สาวกของพระเยซู ในขณะที่เป็นหนุ่ม พระเยซูเป็นศาสดานักจาริก  เรื่องราวในพระคัมภีร์ไบเบิลบอกว่าพระองค์หายจากพระอาการป่วยและและพระอาการอ่อนแอแล้วได้ทรงเปลี่ยนน้ำธรรมดาให้เป็นไวน์ที่งานเลี้ยงงานแต่งงานในหมู่บ้านคานา
พระเยซูได้เริ่มรวบรวมสานุศิษย์ สานุศิษย์คนสนิทของพระองค์เรียกว่าสาวก (disciples - dih•SY•puhlz) สาวกของพระเยซูมี 12 คน คือ  ปีเตอร์ แอนดรู เจมส์ จอห์น ฟิลิป บาร์โธโลมิ โทมัส แมทธิว เจมส์ (ลูกชายของอัลเฟอัส) ไซมอน ธัดเดอัส และยูดาส อิสคาริโอท

คำสอนของพระเยซู พระเยซูสั่งสอนความยุติธรรม ความเมตตาและการมาถึงอาณาจักรของพระเจ้า พระองค์มักจะส่งข้อความเหล่านี้ในรูปแบบของนิทานสุภาษิตหรือเรื่องราวที่มีศีลธรรม นิทานสุภาษิตที่รู้จักกันดีของพระเยซูสามเรื่อง คือ คนชอบช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ได้ยาก (the Good Samaritan) บุตรชายผู้ล้างผลาญ (the Prdigal Son) และแกะหาย (the Lost Sheep) นิทานสุภาษิตเรื่องคนชอบช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ได้ยากสอนความสำคัญของการให้ความช่วยเหลือคนอื่น ๆ ถึงแม้ว่าพวกเขาจะแตกต่างจากเราและไม่ได้ร่วมเชื้อชาติหรือศาสนาของเรา เรื่องลูกชายล้างผลาญ กล่าวถึงการเรียกร้องของพระเจ้าเกี่ยวกับวิญญาณที่สูญเสียความสำนึกให้สำนึกผิด เรื่องแกะหาย กล่าวถึงความห่วงใยของพระเจ้าที่มีต่อทุกคน
คำสอนที่มีชื่อเสียงที่สุดของพระเยซูที่ได้รับในพระธรรมเทศนาบนภูเขา พระธรรมเทศนาเริ่มต้นด้วยปีติสุข (Beatitudes - bee•AT• ih•TOODZ) หรือการประสาทพร ในพระธรรมเทศนานี้พระเยซูทรงสนับสนุนให้คนไม่เพียง แต่จะปฏิบัติตามกฎหมายเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการเปลี่ยนหัวใจของพวกเขาด้วย ทุกคนไม่เพียงแค่ควรจะละเว้นจากการฆ่า พวกเขาก็ควรที่จะรักและสวดมนต์ให้ศัตรูของพวกเขาอีกด้วย  พระเยซูเป็นกำลังใจให้สาวกของพระองค์มีชีวิตอยู่อย่างเรียบง่ายและเจียมตัว
แม้จะมีการสอนของพระองค์ พระเยซูก็โกรธบางคนที่ได้ยินพระองค์เทศน์ ตัวอย่างเช่นพระเยซูยกโทษให้คนที่เคยทำลายกฎเกณฑ์ทางศาสนา แต่ผู้นำยิวหลายคนคิดว่าพระเจ้าเท่านั้นที่จะให้อภัยเช่นนี้ พระเยซูยังสมาคมกับคนบาปซึ่งผู้นำศาสนาถือว่าเป็นจัณฑาล ที่น่าตกใจมากที่สุด ก็คือ คำอ้างของสาวกของพระเยซูบางคนที่ว่าพระองค์เป็นพระเจ้าผู้มาโปรดที่พวกเขารอมาเป็นเวลานาน ปัจจัยเหล่านี้ส่งผลให้เกิดความเกลียดชังจำนวนหนึ่งที่มีต่อพระเยซู

การสิ้นพระชนม์ของพระเยซู

การอ้างว่าพระเยซูเป็นพระเจ้าผู้มาโปรดหรือผู้กู้อิสรภาพของชาวยิวและผู้ปกครอง เป็นลางร้ายแก่ชาวโรมัน เพราะเป็นการสอบสวนอำนาจทางการเมืองของพวกเขา ข้ออ้างนั้นยังทำผู้นำชาวยิวเป็นอันมากตกตะลึงอีกด้วย


สถานที่ฝังพระศพพระเยซู
สถานที่ฝังพระศพของพระเยซู ที่ทหารโรมันเอาหินปิดไว้
การจับกุมและการพิจารณาคดี ตามพระวรสารสามฉบับ สาวกพระเยซูยกย่องพระองค์ในฐานะกษัตริย์เมื่อพระองค์เดินทางไปยังกรุงเยรูซาเล็มเพื่อเฉลิมฉลองวันปัสกา (Passover) อันศักดิ์สิทธิ์ของชาวยิว ในวิหารศักดิ์สิทธิ์ของเมืองนั้น พระเยซูวิพากษ์วิจารณ์วิธีการใช้งานวิหารต่อสาธารณชน พระเยซูถูกจับและถูกนำไปสู่โรมันเพื่อการลงโทษ

เรื่องของการฟื้นคืนชีพ ผู้ว่าราชการโรมัน ชื่อ ปอนติอุส ปิลาตุส สั่งให้ประหารชีวิตพระเยซูโดยการตรึงกางเขนหรือแขวนอยู่บนไม้กางเขนจนกว่าพระองค์จะหายใจไม่ออก หลังจากที่พระเยซูสิ้นพระชนม์ร่างของพระองค์ก็ถูกนำตัวลงจากกางเขนและหินขนาดใหญ่ก็ถูกนำมาวางอยู่หน้าหลุมฝังศพที่ฝังพระองค์
ในวันที่สามหลังจากประหารพระองค์ ตามพระวรสาร กล่าวว่า สาวกบางส่วนของพระองค์รายงานว่าหินได้เคลื่อนย้ายและหลุมฝังศพว่างเปล่า สาวกคนอื่น ๆ กล่าวว่าพวกเขาได้เห็นพระเยซูและเดินได้และพูดคุยกับเขา
เรื่องราวของการฟื้นคืนพระชนม์ของพระเยซูหรือกลับมีชีวิตเหล่านี้ พิสูจน์ให้เหล่าวสาวกหลายคนเห็นว่าพระองค์เป็นพระเจ้า พวกเขาถึงเชื่อว่าพระเยซูมีเจตน์จำนงที่จะสละชีวิตของพระองค์เองเพื่อมุ่งสู่อาณาจักรของพระเจ้า    พระเจ้ากำลังนำชีวิตใหม่มาสู่โลกผ่านความตายและการฟื้นคืนพระชนม์ของพระเยซู  นี่เป็นโลกที่บาปและแม้กระทั่งความตายจะพ่ายแพ้ สาวกของพระเยซูกล่าวว่าใครก็ตามที่เชื่อว่านี้จะมีส่วนร่วมในชีวิตของพระเจ้า
ตามความเชื่อของชาวคริสต์ การถูกตรึงกางเขนของพระเยซูเกิดขึ้นเมื่อวันศุกร์ และการฟื้นคืนชีพของพระองค์เกิดขึ้นเมื่อวันอาทิตย์ที่วันหยุดของชาวคริสต์ คือ วันศุกร์ประเสริฐ (Good Friday) และวันอาทิตย์ที่ประกอบพิธีอีสเตอร์ (Easter Sunday) ซึ่งรำลึกถึงเหตุการณ์ทั้งสองนี้ ได้รับการเฉลิมฉลองนับตั้งแต่นั้นมา

ชาวคริสต์ยุคแรก

          เหล่าสาวกพวกแรกของพระเยซูเป็นชาวยิว ในที่สุดพวกเขาได้พัฒนาความเชื่อและการปฏิบัติที่ก่อให้เกิดการแยกตัวออกมาจากศาสนายูดายและพวกเขากลายเป็นที่รู้จักกันว่า ชาวคริสต์ (Christians)

นิกายยุคแรก เหล่าสาวกคิดว่าพระเยซูได้ปฏิบัติตามคำทำนายของชาวยิวเกี่ยวกับพระเจ้าผู้มาโปรด เหล่าสาวกจึงพยายามหว่านล้อมชาวยิวพวกอื่น ๆ ให้ยอมรับพระเยซูว่าเป็นพระเจ้าผู้มาโปรด
นิกายยุคแรกเน้นการแบ่งสมบัติเช่นเดียวกับการฝึกหัดการกุศลช่วยนักโทษและการรับประทานอาหารธรรมดา ผู้หญิงและทาสมีความกระตือรือร้นที่จะเข้าร่วมอาจจะเป็นเพราะนิกายใหม่สอนสมาชิกทุกคนให้มีความเท่าเทียมกัน ความเชื่อเหล่านี้ช่วยในการจัดตั้งนิกายยุคแรกนอกเหนือจากศาสนาอื่น ๆ ในยุคนั้น  เหล่าสาวกหวังว่าจะเผยแพร่พระวรสารของพระเยซูและเปลี่ยนคนอื่น ๆ ให้มานับถือพวกเขา

เกิดความขัดแย้ง สมาชิกกลุ่มแรกของนิกายคริสเตียน คือ ผู้เปลี่ยนจากศาสนายิวเป็นศาสนาคริสต์ การเปลี่ยนผู้ที่ไม่ใช่ยิว (Gentiles - JEHN•tylz) หรือคนที่ไม่ใช่ยิวให้เป็นคริสต์ศาสนาได้จุดประกายให้เกิดการโต้แย้ง บางพวกคิดว่า ผู้ที่ไม่ใช่ยิวควรปฏิบัติตามคัมภีร์โตราห์ในขณะที่คนอื่น ๆ คิดว่าวิธีนี้ไม่จำเป็น
ในตอนแรก เหล่าผู้นำโรมันไม่สนใจนิกายยุคแรก เช่นเดียวกับชาวคริสเตียนเอง ชาวโรมันเห็นว่าคริสเตียนเป็นนิกายหนึ่งหรือเป็นส่วนหนึ่งของศาสนายูดาย เหล่าผู้นำชาวยิวไม่เห็นด้วยกับมุมมองนี้
เมืองเอฟฟิซุส
ซากปรักหักพังของถนนและวิหารในเืมืองเอฟฟิซุสของโรมัน
สถานที่ชาวคริสต์เผยแพร่ศาสนาครั้งแรก

นักบุญพอลเผยแพร่ศาสนาคริสต์

ชายคนหนึ่งซึ่งกลายเป็นผู้นำคนแรกของนิกายเตียนซาอูล (Saul) ซึ่งเกิดเป็นชาวยิว ในขณะที่ยังเป็นหนุ่ม เขาได้เขียนหนังสือเกี่ยวกับวิธีการที่เขาได้ทำกิจกรรมต่อต้านนิกายคริสเตียน ต่อมาความเชื่อของเขาได้เปลี่ยนแปลงไป
นักบุญพอล
นักบุญพอล เป็นสาวกของพระเยซูที่สำคัญที่สุดในการเผยแพร่ศาสนายุคแรก
เส้นทางสู่ดามัสกัส ขณะที่เดินทางไปสู่ดามัสกัส ซาอูลได้พบเห็นความเปลี่ยนแปลงทางศาสนาอย่างฉับพลัน ตามเรื่องราวของเขาเอง  ซาอูลรู้สึกว่าพระเจ้าทรงเปิดเผยพระเยซูเป็นบุตรชายของพระองค์ให้เขาและได้รับการแต่งตั้งซาอูลให้ประกาศข่าวพระเยซูในหมู่คนไม่ใช่ยิว ซาอูลเชื่อว่าพระเยซูคือพระเจ้าผู้มาโปรดชาวยิว
ภูมิหลังทางวัฒนธรรมและการเมืองของซาอูลช่วยให้เขากลับใจเหล่าคนที่ไม่เชื่อ ในฐานะที่เป็นผู้ที่ถือตัวว่าเคร่งครัด (Pharisee) ซาอูลจึงรู้กฎหมายยิว เขาเกิดในทาร์ซัส (Tarsus) เมืองในเอเชียไมเนอร์ ซึ่งได้รับอิทธิพลจากวัฒนธรรมกรีกอย่งหนัก  ซาอูลถือว่าเป็นพลเมืองโรมันซึ่งเขาได้รับอนุญาตให้เดินทางได้อย่างอิสระทั่วจักรวรรดิ
เมื่อเขาเดินทางไป ซาอูลได้ใช้ชื่อโรมันของเขาว่า พอล (Paul) หลังผ่านไปสามปี ตามพระคัมภีร์คริสเตียน พอลก็พร้อมที่จะเดินทางในฐานเป็นมิชชันนารี ซึ่งเป็นบุคคลที่ถูกส่งตัวไปทำงานทางศาสนาในสถานที่อื่น ตลอดอายุของพอล จักรวรรดิโรมันกำลังประสบ Pax Romana หรือ "สันติภาพโรมัน." ข้อนั้นทำให้ปลอดภัยบนเส้นทางประเสริฐของจักรวรรดิสำหรับการเดินทางอย่างกว้างขวางของพอล

การเดินทางเปลี่ยนศาสนาคริสต์ อย่างไรก็ตาม การเดินทางพอลก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เขาแบ่งการเดินทางของมิชชั่นนารีเป็นสี่คณะ แต่ละคณะใช้เวลาหลายปี พอลและมิชชันนารีคริสเตียนอื่น ๆ ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่เป็นไปได้สำหรับการเผยแพร่คริสต์ศาสนาไปทั่วจักรวรรดิโรมัน ปีที่ผ่านมาพอลและที่ผู้นำคริสเตียนยุคต้นอื่น ๆ ได้ต่อสู้ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่ไม่ใช่ยิวให้กลายเป็นชาวยิวก่อนที่จะกลายคริสเตียน พอลแย้งว่าการเปลี่ยนไปเป็นศาสนายูดายไม่จำเป็น ความเชื่อของพอลช่วยให้ศาสนาคริสต์แยกต่างหากจากยูดาย นอกจากนี้ยังทำศาสนาใหม่น่าสนใจมากขึ้นแก่ผู้ที่ไม่ใช่ยิว เป็นผลให้ศาสนาคริสต์เริ่มแผ่กระจายไปทั่วจักรวรรดิ

จดหมาย พอลได้เริ่มนิกายใหม่และได้ติดต่อกับนิกายเหล่านี้โดยการเขียนจดหมาย ตัวอักษรของพอลอธิบายความเชื่อคริสเตียนและกระตุ้นให้เปลี่ยนไปใช้ชีวิตตามกฎของพระเจ้า เขาได้เทศน์ว่าการรอดพ้นจากบาปเป็นไปได้กับทุกคนที่ยอมรับพระเยซู จดหมายของพอลอยู่ในหมู่จดหมายที่เป็นคำสอนสั่งอย่างเป็นทางการ ที่กลายมาเป็นส่วนหนึ่งของพระคัมภีร์ไบเบิลใหม่ (New Testament) ในจดหมายที่มีชื่อเสียงฉบับหนึ่ง พอลเขียนว่า ความเชื่อในพระเยซูทำให้ปัญหาและอุปสรรคทั้งหมดระหว่างผู้คนหมดสิ้นไป

ความตายและมรดกของพอล พอลต้องการจะเดินทางไปกรุงโรมเพื่อการเผยแพร่ศาสนาคริสต์ เขาเดินทางมาถึงกรุงโรม แต่ไม่ได้อยู่ในเส้นทางที่เขาหวังไว้ ใกล้ถึงจุดสิ้นสุดของการทำงานของเขา พอลได้กลับไปยังกรุงเยรูซาเล็ม เขาถูกนำตัวเข้าห้องขังโดยชาวโรมันเมื่อมีข่าวลือว่าเขาได้นำต่างชาติเข้ามาในวิหาร หลังจากที่อยู่ในคุกเป็นเวลาสองปี พอลต้องการจะเป็นผู้ที่ยอมรับนับถือก่อนจักรพรรดิซีซาร์ในโรม
พอลได้เดินทางครั้งสุดท้ายของเขาในปลายฤดูใบไม้ร่วง ในปีคริสต์ศักราช 59 หลังจากที่เดินทางมาถึงกรุงโรมในช่วงต้นคริสต์ศักราช 60  พอลยังคงถูกกักบริเวณในบ้านเป็นเวลาสองปี เขาได้เขียนจดหมายหลายฉบับจากการถูกจองจำ แล้วทันใดนั้นเขาก็หยุด พอลอาจจะเสียชีวิตในกรุงโรม


พอลเป็นคนที่มีอิทธิพลมากที่สุดของสาวกหรือผู้นำสารของพระเยซูยุคแรก เพราะการเดินทางและจดหมายเป็นอันมากของเขา เขาช่วยให้คริสต์ศาสนาเผยแพร่จากบ้านเกิดของพระเยซูออกไปยังประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก