ประวัติศาสตร์โลก

ประวัติศาสตร์โลก
World History

ประวัติศาสตร์โลก

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

ประวัติศาสตร์โลกหรือประวัติศาสตร์มนุษยชาติเริ่มต้นที่ยุคหินเก่า ประวัติศาสตร์โลกไม่รวมประวัติศาสตร์ธรรมชาติที่ไม่ใช่มนุษย์และประวัติศาสตร์ธรณีวิทยา ยกเว้นตราบเท่าที่โลกธรรมชาตินั้นกระทบต่อชีวิตมนุษย์เป็นอย่างมาก ประวัติศาสตร์โลกประกอบด้วยการศึกษาทางโบราณคดีและหลักฐานลายลักษณ์อักษรตั้งแต่สมัยโบราณ ประวัติศาสตร์โบราณที่มีบันทึกเริ่มต้นจากการประดิษฐ์การเขียน ทว่า รากเหง้าแห่งอารยธรรมมีมาแต่ก่อนการประดิษฐ์การเขียน สมัยก่อนประวัติศาสตร์เริ่มต้นในยุคหินเก่า ต่อด้วยยุคหินใหม่และการปฏิวัติเกษตรกรรม(ระหว่าง 8000 ถึง 5000 ปีก่อนคริสตกาล) ในวงพระจันทร์เสี้ยวไพบูลย์ (Fertile Crescent) การปฏิวัติเกษตรกรรมเป็นเครื่องหมายการเปลี่ยนแปลงในประวัติศาสตร์มนุษย์ โดยมนุษย์เริ่มต้นทำการเกษตร คือ กสิกรรมและการเลี้ยงสัตว์อย่างเป็นระบบ เมื่อเกษตรกรรมก้าวหน้าขึ้น มนุษย์ส่วนมากเปลี่ยนจากวิถีชีวิตเร่ร่อนมาเป็นตั้งถิ่นฐานเป็นเกษตรกรในนิคมถาวร การเร่ร่อนยังมีอยู่ในบางที่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่ห่างไกลซึ่งมีพืชที่เพาะปลูกได้ไม่กี่ชนิด แต่ความมั่นคงสัมพัทธ์และผลิตภาพที่เพิ่มขึ้นจากกสิกรรมทำให้ชุมชนมนุษย์ขยายเป็นหน่วยที่ใหญ่กว่า ซึ่งความก้าวหน้าในการขนส่งก็มีส่วนช่วย

เมื่อกสิกรรมพัฒนา การเพาะปลูกธัญพืชมีความซับซ้อนขึ้นและทำให้มีการแบ่งงานกันทำเพื่อเก็บอาหารระหว่างฤดูเพาะปลูก จากนั้นการแบ่งงานทำให้เกิดชนชั้นสูงที่สุขสบายและพัฒนาการนคร สังคมมนุษย์ที่ซับซ้อนมากขึ้นทำให้ระบบการเขียนและการบัญชีมีความจำเป็น หลายนครพัฒนาบนตลิ่งทะเลสาบและแม่น้ำ ตั้งแต่ 3000 ปีก่อนคริสตกาล เกิดนิคมโดดเด่นและมีการพัฒนาดียุคแรก ๆในเมโสโปเตเมีย ริมตลิ่งแม่น้ำไนล์แห่งอียิปต์ และหุบแม่น้ำสินธุ อาจมีอารยธรรมคล้ายกันพัฒนาขึ้นตามแม่น้ำสำคัญในจีน แต่หลักฐานทางโบราณคดีของการสร้างเมืองอย่างกว้างขวางในที่นั้นชัดแจ้งน้อยกว่า

ประวัติศาสตร์โลกเก่า (โดยเฉพาะอย่างยิ่งยุโรปและเมดิเตอร์เรเนียน) โดยทั่วไปแบ่งเป็นยุคโบราณ ถึง ค.ศ. 476, สมัยกลาง ตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 5 ถึง 15 ซึ่งรวมยุคทองของอิสลาม (ประมาณ ค.ศ. 750-1258) และยุคฟื้นฟูศิลปวิทยายุโรปตอนต้น (เริ่มต้นประมาณ ค.ศ. 1300), ยุคใหม่ตอนต้น ตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 15 ถึงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 18 ซึ่งรวมยุคเรืองปัญญา และยุคใหม่ตอนปลาย นับแต่การปฏิวัติอุตสาหกรรมถึงปัจจุบัน รวมทั้งประวัติศาสตร์ร่วมสมัย ตะวันออกใกล้โบราณ กรีซโบราณและโรมโบราณมีความโดดเด่นในยุคโบราณ ในประวัติศาสตร์ยุโรปตะวันตก การเสียกรุงโรมมักยึดเป็นการสิ้นสุดของยุคโบราณและการเริ่มต้นของสมัยกลาง ขณะที่ยุโรปตะวันออกมีการเปลี่ยนผ่านจากจักรวรรดิโรมันเป็นจักรวรรดิไบแซนไทน์ ซึ่งรุ่งเรืองต่อมาอีกเป็นเวลานาน กลางคริสต์ศตวรรษที่ 15 การประดิษฐ์การพิมพ์สมัยใหม่ของโยฮันน์ กูเทนแบร์ก ซึ่งใช้การสื่อสารแบบเคลื่อนที่ได้และเปลี่ยนแปลงอย่างสิ้นเชิง เป็นจุดสิ้นสุดของยุคกลางและนำไปสู่การปฏิวัติวิทยาศาสตร์ เมื่อคริสต์ศตวรรษที่ 18 การสะสมความรู้และเทคโนโลยี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุโรป ได้ถึงจำนวนวิกฤต (critical mass) อันนำมาซึ่งการปฏิวัติอุตสาหกรรม

ในส่วนอื่นของโลก เช่น ตะวันออกใกล้โบราณ จีนโบราณ และอินเดียโบราณ เส้นเวลาทางประวัติศาสตร์ได้คลี่ออกต่างกัน อย่างไรก็ดี จนถึงคริสต์ศตวรรษที่ 18 เนื่องจากการค้าโลกที่ขยายตัวและการล่าอาณานิคม ทำให้ประวัติศาสตร์ของอารยธรรมโลกส่วนมากสานเข้าด้วยกันอย่างแน่นหนา ในช่วงสองร้อยกว่าปีล่าสุด การเติบโตของความรู้ เทคโนโลยี การพาณิชย์ และศักยภาพการทำลายล้างของสงครามได้เร่งให้เกิดขึ้น ก่อให้เกิดโอกาสและอันตรายซึ่งปัจจุบันกำลังเผชิญชุมชนมนุษย์ที่อยู่อาศัยบนดาวเคราะห์ดวงนี้

แปลจากหนังสือ World History โดย...Mcdougal Littel
ผู้แปล...ทรงศักดิ์ สายหยุด

กรีซยุคคลาสสิก (Classic)

กรีซยุคคลาสสิก (Classic)
ประชาธิปไตยและสงครามแห่งเอเธนส์
เพริคลีส (Pericles) เป็นผู้นำเอเธนส์

ลำดับเหตุการณ์กรีซและโลกสมัยโบราณ
ลำดับเหตุการณ์กรีซและโลกสมัยโบราณ
แผนที่นครรัฐกรีก
แผนที่นครรัฐกรีก 500 ปี ก่อน ค.ศ.
ลำดับเหตุการณ์กรีซและโลกสมัยโบราณ
ลำดับเหตุการณ์กรีซและโลกสมัยโบราณ
          หลังจากที่สงครามเปอร์เซียสิ้นสุดลง  เพริคลีสซึ่งเป็นหนึ่งในผู้นำเอเธนส์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ได้ขึ้นครองอำนาจ เพริคลีส ถือว่าเป็นนักพูดในที่สาธารณะยอดเยี่ยมที่สุดแห่งยุค นอกจากนี้เขายังได้รับชื่อเสียงในด้านความซื่อสัตย์และมาตรฐานด้านจริยธรรมสูง
   ประมาณ 460 ปี ก่อนคริสต์ศักราช เพริคลีส ได้เป็นผู้นำที่เข้มแข็งที่สุดในเอเธนส์ เขายังคงเป็นผู้นำแห่งนครรัฐจนกระทั่งเสียชีวิตเมื่อ 31 ปีต่อมา สิ่งที่เขาประสบความสำเร็จในฐานะเป็นผู้ปกครองคือเป็นคนสำคัญมากจนกระทั่งยุคนี้ในเอเธนส์มักจะเรียกกันว่า ยุคของเพริคลีส
   เพริคลีส มีเป้าหมายสามประการเพื่อกรุงเอเธนส์ ประการแรกคือการสร้างประชาธิปไตยให้เข้มแข็ง ประการที่สองคือการขยายอำนาจของเอเธนส์ไปยังต่างประเทศ ประการที่สามคือการตกแต่งเมืองให้สวยงาม ความสามารถในการพูดเป็นพิเศษของเพริคลีส ช่วยให้เขาเกลี้ยกล่อมชาวเอเธนส์ให้สนับสนุนการปฏิรูปของเขา
รูปปั้นเพริคลีส
เพริคลีสผู้นำกรีซโบราณไปสู่ยุคทอง
เพริคลีสสร้างประชาธิปไตยให้เข้มแข็ง โปรดจำไว้ว่า ก่อนยุคเพริคลีส  ผู้นำในเอเธนส์ได้เริ่มขยายการปกครองระบอบประชาธิปไตยแล้ว เพริคลีส ได้สนับสนุนการปฏิรูปเหล่านั้น แต่เขาต้องการจะเปลี่ยนแปลงความสมดุลของอำนาจระหว่างคนรวยและคนยากจน แม้ว่า เพริคลีส มาจากครอบครัวที่ร่ำรวย เขาก็คิดว่า คนรวยยึดถืออำนาจมากเกินไป
ประมาณ 430 ปี ก่อนคริสต์ศักราช เพริคลีส ได้ให้มุมมองของการปกครองระบอบประชาธิปไตยในการพูดประกาศเชิดชูเกียรติทหารชาวเอเธนส์ซึ่งถูกฆ่าตายในสงคราม เขาได้กล่าวไว้ว่า "ทุกคนมีค่าเท่ากันในทางกฎหมาย"  สิ่งที่น่านับถือในการให้บริการประชาชน "ไม่ใช่ความเป็นสมาชิกของชนชั้นเป็นพิเศษ แต่คือความสามารถที่แท้จริงที่มนุษย์มีอยู่"
ในการเป็นพลเมือง บุคคลจะต้องเป็นเพศชายที่มีอิสระ อายุมากกว่า 18 ปี และเป็นบุตรชายของบิดาที่เป็นชาวกรุงเอเธนส์  เพริคลีสได้เปลี่ยนแปลงกฎหมายที่ต้องการให้ทั้งบิดาและมารดาเป็นชาวเอเธนส์โดยกำเนิด ที่เป็นเหตุกีดกันชาวเอเธนส์ที่ร่ำรวยไม่ให้สร้างพันธะกับครอบครัวที่ร่ำรวยในนครรัฐอื่น ๆ ผ่านการแต่งงาน

การจ่ายเงินให้กับเจ้าหน้าที่ของรัฐ (ข้าราชการ – public officials) เพื่อการกระจายอำนาจอย่างเท่าเทียมกันให้มากขึ้น เพริคลีสได้เปลี่ยนแปลงกฎสำหรับการดำรงตำแหน่งสาธารณะ ก่อนยุคเพริคลีส  เจ้าหน้าที่ของรัฐส่วนใหญ่ไม่ได้รับค่าใช้จ่ายในการทำงานของพวกเขา ดังนั้น คนที่ร่ำรวยเท่านั้น จึงสามารถซื้อบริการในรัฐบาลเอเธนส์ได้ เพริคลีสได้เพิ่มจำนวนเจ้าหน้าที่ของรัฐผู้ที่ได้รับค่าใช้จ่ายในการทำงาน เมื่อเจ้าหน้าที่ของรัฐได้รับค่าใช้จ่าย แม้แต่ประชาชนที่ยากจนก็สามารถมีส่วนร่วม ถ้าได้รับการเลือกตั้งเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐหรือได้รับเลือกให้ทำหน้าที่ในคณะลูกขุน

ประชาธิปไตยทางตรง รูปแบบของการปกครองระบอบประชาธิปไตยที่ใช้ในเอเธนส์ไม่ใช่ชนิดที่ใช้ในประเทศสหรัฐอเมริกาในปัจจุบันนี้  รูปแบบที่ใช้ในเอเธนส์ คือ ประชาธิปไตยทางตรง (direct democracy) ซึ่งหมายความว่าประชาชนทุกคนมีส่วนร่วมในการบริหารรัฐ  ตัวอย่างเช่น พลเมืองชาวเอเธนส์คนใด ก็สามารถเสนอกฎหมายใหม่หรือออกเสียงลงคะแนนในกฎหมายโดยตรงก็ได้
เมื่อเปรียบเทียบกัน ประเทศสหรัฐอเมริกามีประชาธิปไตยแบบผู้แทนราษฎรหรือสาธารณรัฐ พลเมืองของสหรัฐ ทั้งชายและหญิง เลือกผู้แทนไปดูแลธุรกิจของรัฐ ผู้แทนเหล่านี้นำเสนอและออกเสียงลงคะแนนในกฎหมาย  

การขยายจักรวรรดิ

          ความมั่งคั่งของกรีกขึ้นอยู่กับการค้าขายกับต่างประเทศ เอเธนส์ก็ตัดสินใจที่จะปกป้องการค้าในต่างประเทศและบ้านเกิดของตน เมื่อสงครามเปอร์เซียสิ้นสุดลง นครรัฐกรีกได้จัดตั้งสันนิบาตสำหรับการป้องกันร่วมกัน เรียกว่า สันนิบาตเดเลียน (Delian League)

สันนิบาตเดเลียน เอเธนส์ได้ช่วยจัดระเบียบสันนิบาตนี้ ที่เรียกว่า สันนิบาตเดเลียน เพราะเป็นครั้งแรกที่สำนักงานใหญ่และคลังของสันนิบาตตั้งอยู่บนเกาะเดลอส (Delos)
บางนครรัฐจัดกองกำลังและเรือให้กับกองทัพเรือของสันนิบาต นครรัฐที่เป็นสมาชิกอื่น ๆ ได้จ่ายค่าธรรมเนียมแทน เพริคลีส ได้ใช้เงิน ทหาร และเรือเพื่อสร้างกองทัพเรือให้แข็งแกร่ง เรือเดินสมุทรถูกสร้างขึ้นเป็นเรือรบอย่างน้อย 300 ลำ

เอเธนส์ครอบครองสันนิบาตเดเลียน  กองทัพเรือของเอเธนส์แข็งแกร่งที่สุดในภูมิภาคเมดิเตอร์เรเนียน เพราะเอเธนส์ในขณะนี้ได้ควบคุมกองทัพเรือที่ยอดเยี่ยม และควบคุมการเป็นผู้นำของสันนิบาตเดเลียน  บางคนกังวลว่าทรัพย์สินที่เก็บไว้ในคลังของสันนิบาตอาจจะไม่ปลอดภัยจากการถูกโจมตีโดยพวกเปอร์เซียหรือศัตรูอื่น ๆ ในระหว่าง 454 ปี ก่อนคริสต์ศักราช คลังของสันนิบาตเดเลียนจึงถูกย้ายไปอยู่ที่เอเธนส์
กองทัพเรือเอเธนส์
กองทัพเรือเอเธนส์ เป็นเรือรบโบราณมีฝีพายสามแถว
 เป็นกองทัพเรือที่ใหญ่ที่สุดและดีที่สุดในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน
การขนย้ายคลังของสันนิบาตเดเลียนได้ช่วยเสริมสร้างอำนาจของเอเธนส์ให้แข็งแกร่ง  เอเธนส์เริ่มดูแลสมาชิกอื่น ๆ ของสันนิบาตราวกับว่าพวกเขาเป็นบุคคลที่ถูกพิชิต ไม่ใช่พันธมิตร  ในที่สุดเอเธนส์ได้ปกครองนครรัฐทั้งหมดจนสุดขอบเขตจนกระทั่งกลายเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิเอเธนส์

การประดับตกแต่งกรุงเอเธนส์ให้สวยงาม

          เอเธนส์ถูกทิ้งไว้เป็นซากปรักหักพังเมื่อสงครามกับเปอร์เซียสิ้นสุดลงเมื่อ 479 ปี ก่อนคริสต์ศักราช กองทัพบุกเข้ามาเผาส่วนต่าง ๆ ของเมืองและทำลายอาคารมากที่สุด เพริคลีสเห็นการทำลายนี้เป็นโอกาสที่จะสร้างขึ้นใหม่ ตกแต่งให้สวยงามและเชิดชูเกียรติกรุงเอเธนส์

สร้างกรุงเอเธนส์ขึ้นใหม่ นครรัฐกรีกจ่ายส่วยให้องค์กรสันนิบาตเดเลียน  เงินกองทุนก็ได้รับการอุปโลกน์ขึ้นเพื่อช่วยสร้างอำนาจทางทหารของสันนิบาต แต่ เพริคลีส ใช้บางส่วนของเงินกองทุนเหล่านี้เพื่อประดับตกแต่งกรุงเอเธนส์ เขาไม่ได้ขอความเห็นชอบจากสมาชิกของสันนิบาตในการใช้เงินซึ่งทำให้นครรัฐอื่น ๆ โกรธ
เพริคลีส  ใช้จ่ายเงินซื้อทอง งาช้างและหินอ่อนไปสร้างประติมากรรมและสร้างสิ่งปลูกสร้างที่สวยงาม เพริคลีสยังใช้เงินเป็นค่าจ้างแก่ช่างฝีมือ สถาปนิกและประติมากรสำหรับการทำงานของพวกเขาในโครงการเหล่านี้อีกด้วย

เมืองโบราณ พื้นที่ที่สร้างขึ้นมาใหม่แห่งหนึ่ง คือ อะโครโพลิส (uh•KRAHP•uh•lihs) หรือ ส่วนที่เป็น "เมืองสูง" (เป็นป้อมปราการ) ของเอเธนส์ อะโครโปลิสเป็นพื้นที่ที่อยู่ในเมืองกรีกซึ่งมีวิหาร  อนุสาวรีย์ และอาคารที่สำคัญตั้งอยู่ พวกเปอร์เซียได้ทำลายวิหารและทุบรูปปั้นในเอเธนส์ในช่วงสงคราม
อโครโปลิส
อโครโปลิส  คือ ส่วนที่สูงที่สุดของกรุงเอเธนส์
หนึ่งในอาคารใหม่ที่สร้างขึ้น คือ วิหารพาร์เธนอน (PAHR•thuh•NAHN) ใช้เป็นวิหารสำหรับรับใช้เทพีอธีนา (Athena) เทพธิดานักรบ กรุงเอเธนส์ตั้งชื่อตามชื่อเทพีนี้ เทพีอธีนายังเป็นเทพธิดาแห่งภูมิปัญญาศิลปะและหัตถกรรม วิหารพาร์เธนอนได้รับการยอมรับว่า เป็นอาคารที่งดงามโอ่อ่าที่สุดบนอะโครโพลิส เป็นผลงานชิ้นเอกของการออกแบบทางด้านสถาปัตยกรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งสัดส่วนที่สง่างามและความรู้สึกถึงความสามัคคีและความสงบเรียบร้อย

สงคราเพโลพอนเนเซียน

         ข้อแตกต่างที่สำคัญมีอยู่ระหว่างนครรัฐเอเธนส์และสปาร์ตา ตัวอย่างเช่น เอเธนส์มีรัฐบาลที่เป็นประชาธิปไตย ในขณะที่สปาร์ตามีวัฒนธรรมที่เชิดชูกำลังทางทหาร ทั้งสองต้องการที่จะเป็นนครรัฐที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดในภูมิภาค การแข่งขันนี้ได้นำไปสู่การปะทะกันระหว่างนครรัฐทั้งสองและพันธมิตรของพวกเขา
แผนที่สงครามคาบสมุทรเพโลพอนเนเซีย
แผนที่สงครามคาบสมุทรเพโลพอนเนเซีย 431 - 404 ปี ก่อน ค.ศ.
สงครามปะทุขึ้น ปัจจัยหลายประการได้นำไปสู่​​สงคราม บางนครรัฐเกรงกลัวเอเธนส์เพราะการกุมอำนาจและเกียรติภูมิของเอเธนส์ ภายใต้ความเป็นผู้นำของเพริคลีส เอเธนส์ได้เติบโตขึ้นจากนครรัฐไปสู่จักรวรรดิแห่งกองทัพเรือ
นครรัฐอื่น ๆ ยังไม่พอใจที่เอเธนส์ใช้เงินจากสันนิบาตเดเลียนเพื่อตกแต่งเมืองของตนอีกด้วย เงินมีไว้สำหรับการป้องกันนครรัฐทุกนครรัฐในสันนิบาต ไม่ได้มีไว้สำหรับการสร้างเอเธนส์ขึ้นมาใหม่ ความขัดแย้งนี้ได้นำนครรัฐต่าง ๆ ไปสู่ความพยายามที่จะทำลายอิสรภาพของอำนาจแห่งกรุงเอเธนส์ แต่เพริคลีส ได้ลงโทษนครรัฐที่ต่อต้านอำนาจของเอเธนส์
สปาร์ตามุ่งหน้าไปยังสันนิบาตแห่งนครรัฐเพื่อประท้วงอำนาจของจักรวรรดิเอเธนส์ สันนิบาตนี้เรียกว่าสันนิบาตเพโลพอนเนเซียน (Peloponnesian League) เพราะหลายเมืองของรัฐตั้งอยู่บนคาบสมุทรเพโลพอนเนซัส (Peloponnesus – หรือ คาบสมุทรเพโลพอนนีส) ในที่สุด เมื่อ 431 ปี ก่อนคริสต์ศักราช สปาร์ตาก็ประกาศสงครามกับเอเธนส์ ความขัดแย้งนี้เป็นที่รู้จักกันว่า สงครามแห่งคาบสมุทรเพโลพอนนีส (Peloponnesian War)

สงครามแพร่กระจายอย่างรวดเร็ว ในการทำสงครามแต่ละฝ่ายมีข้อดีแตกต่างกัน สปาร์ตามีกำลังทหารที่มีฐานที่ตั้งดีกว่า เนื่องจากสปาร์ตาตั้งอยู่ลึกเข้าไปในแผ่นดินก็อาจไม่ถูกโจมตีทางทะเล เอเธนส์มีกองทัพเรือที่ดีกว่าและสามารถโจมตีพันธมิตรของสปาร์ตาทางทะเล เมืองเอเธนส์มีท่าเรือที่แข็งแกร่งและเงินจากจักรวรรดิช่วยจ่ายในการทำสงคราม ความแตกต่างเหล่านี้ได้กำหนดกลยุทธ์สงครามของแต่ละฝ่าย
กลยุทธ์ของเอเธนส์ก็คือการหลีกเลี่ยงการสู้รบบนบกและพึ่งพาพลังงานน้ำทะเล ผืนแผ่นดินอันคับแคบใกล้เมืองโครินธ์เชื่อมต่อคาบสมุทรเพโลพอนเนซุส (เพโลพอนนิซ) เข้ากับส่วนที่เหลือของกรีซ เอเธนส์เน้นการโจมตีในแถบนี้ ด้วยหวังที่จะปิดกั้นเส้นทางบกของสปาร์ตาที่มุ่งสู่เอเธนส์
กลยุทธ์ของสปาร์ตาก็คือการบังคับเอเธนส์ให้ต่อสู้บนบก ชาวสปาร์ตาได้ควบคุมชนบทรอบ ๆ เอเธนส์และพยายามที่จะตัดแหล่งอาหารของกรุงเอเธนส์โดยการทำลายพืชผล
เพริคลีสได้เกลี้ยกล่อมชาวเอเธนส์เพื่อให้ชาวสปาร์ตาทำลายชนบท เขาเอาคนที่มาจากพื้นที่รอบ ๆ เอเธนส์เข้ามาภายในกำแพงเมืองเพื่อความปลอดภัย เอเธนส์ได้รับการสนับสนุนอาหารทางทะเล แต่เมืองแออัดเกินไปจนทำให้แย่ลง
เมื่อ 430 ปี ก่อนคริสต์ศักราช ซึ่งเป็นปีที่สองของสงคราม โรคระบาดได้แพร่กระจายอย่างรวดเร็วในเอเธนส์ โรคระบาดเป็นโรคที่แพร่กระจายได้อย่างง่ายดายและมักจะทำให้เกิดการเสียชีวิต
ประชาชนในกรุงเอเธนส์และกองกำลังติดอาวุธล้มตายมากมายถึงหนึ่งในสามเพราะโรคระบาด  ผู้ประสบภัยที่มีชื่อเสียงมากที่สุด คือ เพริคลีส  
หลังสงครามสิบปี ทั้งสองฝ่ายไม่มีความคืบหน้ามากนักในการเอาชนะกันและกัน  เมื่อ 421 ปี ก่อนคริสต์ศักราช เอเธนส์และสปาร์ตาได้ลงนามในสัญญาสงบศึกหรือข้อตกลงที่จะหยุดการต่อสู้ อย่างไรก็ตาม ทั้งสองฝ่ายไม่ยอมปฏิบัติตามข้อตกลงเป็นเวลานานมากและในไม่ช้าการต่อสู้ก็ระอุขึ้นมาอีกครั้ง
เมื่อ 415 ปี ก่อนคริสต์ศักราช เอเธนส์ก็ได้เปิดตัวโจมตีในเกาะซิซิลีเพื่อตัดการสนับสนุนออกไปจากสปาร์ตา ในขั้นต้นแผนการก็ประสบผลสำเร็จ แต่เมื่อ 413 ก่อนคริสต์ศักราช การโต้ตอบของชาวสปาร์ตาได้ฆ่าหรือจับกองกำลังกรุงเอเธนส์ทั้งหมดในเกาะซิซิลีและทำลายกองทัพเรือเอเธนส์ไปมากมาย
สปาร์ตาได้โจมตีเอเธนส์อีกครั้ง เมื่อ 411 ปี ก่อนคริสต์ศักราช เปอร์เซียได้เข้าร่วมสงครามต่อสู้กับเอเธนส์และช่วยเหลือสปาร์ตาปรับปรุงกองทัพเรือ เอเธนส์ได้ขับไล่ผู้โจมตีชั่วครู่เดียว แต่เมื่อ 405 ปี ก่อนคริสต์ศักราช กองทัพเรือของสปาร์ตาได้ยึดกองทัพเรือของเอเธนส์ เอเธนส์ยอมจำนนสปาร์ตาในที่สุด เมื่อ 404 ปี ก่อนคริสต์ศักราช

ผลพวงที่ตามมาของสงคราม สงครามคาบสมุทรเพโลพอนนีเซียนกินเวลานานมากกว่า 27 ปี เมืองและพืชพันธุ์ถูกทำลายและชาวกรีกหลายพันคนเสียชีวิต นครรัฐกรีกทั้งหมด ประสบความสูญเสียทางเศรษฐกิจและอำนาจทางทหาร
ขึ้นไปทางตอนเหนือของกรีก นครรัฐในมาซิโดเนีย กษัตริย์ฟิลิปที่ 2 (King Philip II) ขึ้นครองอำนาจเมื่อ 359 ปี ก่อนคริสต์ศักราช พระองค์มองไปทางทิศใต้มุ่งสู่นครรัฐกรีกอันอ่อนแอในขณะที่พระองค์วางแผนสร้างอาณาจักร

พระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราช

อาณาจักรมาซิโดเนีย

ในขณะที่นครรัฐกรีกวุ่นวายอยู่กับการต่อสู้กันเอง อำนาจใหม่ก็อุบัติขึ้นในทางตอนเหนือ ณ ที่นั่นมีกษัตริย์ผู้แข็งแกร่ง
อำนาจใหม่ทางตอนเหนือของกรีซ คือ ประเทศมาซิโดเนีย (MAS•ih•DOH•nee•uh) กษัตริย์ฟิลิปที่ 2 แห่งมาซิโดเนีย มีพระชนมายุ 23 พรรษา เป็นผู้แข็งแกร่งและกล้าหาญ พระองค์มีแผนการที่จะสร้างอาณาจักรซึ่งรวมถึงดินแดนกรีซและเปอร์เซียด้วย
รูปปั้นพรเจ้าฟิลิปที่ 2 แห่งมาซิโดเนีย
รูปปั้นพระเจ้าฟิลิปที่ 2 แห่งมาซิโดเนีย บิดาของพรเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราช
อัจฉริยภาพทางด้านทหาร ในขณะยังทรงพระเยาว์ พระเจ้าฟิลิปได้เป็นเชลยในเมืองธีบส์ของกรีก ณ ที่นั่นพระองค์ได้สังเกตกองทัพและกลยุทธ์ทางการทหารของกรีก พระเจ้าฟิลิปได้เรียนรู้ข้อดีของกองทัพมืออาชีพหรือกองทัพของทหารที่ทำงานเต็มเวลามากกว่าผู้ที่เป็นกึ่งประชากรกึ่งทหาร
พระเจ้าฟิลิปจัดให้มีการฝึกอบรมกองทัพมืออาชีพ พระองค์ได้คิดค้นรูปแบบการสู้รบและกลยุทธ์ใหม่ และได้ทดลองใช้งานทหารม้าและทหารราบร่วมกัน พระองค์ได้สนับสนุนอาวุธใหม่ ๆ แก่ทหารของพระองค์ เช่นหนังสติ๊ก (หนังสติ๊ก เป็นเครื่องมือทางทหารที่ใช้ในการขว้างก้อนหินหรือหอกไปยังกองกำลังและกำแพงเมืองของศัตรู)  ทหารของพระเจ้าฟิลิปยังใช้เสากระทุ้งทุบประตูที่ปิดอีกด้วย

พระเจ้าฟิลิปพิชิตกรีซ หลังจากพิชิตดินแดนรอบมาซิโดเนีย พระเจ้าฟิลิปมุ่งหน้าไปที่นครรัฐกรีก หลังจากสงครามคาบสมุทรเพโลพอนนีเซียน กรีกอ่อนแอเกินไปและไม่เป็นระเบียบที่จะรวมตัวกันต่อสู้กับพระเจ้าฟิลิป เมื่อ 338 ปี ก่อนคริสต์ศักราช พระเจ้าฟิลิปได้พิชิตกรีกอย่างสมบูรณ์และกลายเป็นผู้ปกครองนครรัฐกรีก การปกครองแบบเผด็จการของพระองค์ ได้ทำลายประเพณีประชาธิปไตยของกรีก พระองค์ได้นำกองกำลังกรีกเข้าไปเป็นกองทัพของพระองค์และเตรียมที่จะโจมตีเปอร์เซีย
อย่างไรก็ตาม เมื่อ 336 ปี ก่อนคริสต์ศักราช พระเจ้าฟิลิปถูกลอบสังหารที่งานอภิเษกสมรสของพระธิดาของพระองค์ โอรสของพระองค์ ที่มีพระชนมายุ 20 พรรษา พระนามว่า อเล็กซานเดอร์ได้ขึ้นครองบัลลังก์ แม้ว่า พระองค์จะอายุน้อยกว่าพระเจ้าฟิลิปในขณะที่ขึ้นครองอำนาจ พระเจ้าอเล็กซานเดอร์ก็ได้พิสูจน์แล้วว่าพร้อมที่จะครอบครองอาณาจักรของบิดาของพระองค์

พระเจ้าอเล็กซานเดอร์มุ่งหน้าพิชิตโลก

พระเจ้าอเล็กซานเดอร์ได้จัดเตรียมพระราชภารกิจไว้เป็นอย่างดีเขาได้รับการฝึกสอนเป็นพิเศษโดยนักปราชญ์กรีกที่ดีที่สุดและได้รับการฝึกอบรมในกองทัพมาซิโดเนีย พระองค์ยังคงดำเนินแผนการในการสร้างอาณาจักรของบิดาของพระองค์ต่อไป
พระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราช
ภาพโมเสก แสดงถึงการทำสงครามของพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราช
พระเจ้าอเล็กซานเดอร์พิชิตเปอร์เซีย ก่อนที่พระเจ้าอเล็กซานเดอร์จะสามารถโจมตีเปอร์เซียได้ นครรัฐกรีก ชื่อ ธีบส์ ได้ก่อกบฏ  พระเจ้าอเล็กซานเดอร์ได้ทำลายเมือง ความโหดเหี้ยมของพระองค์ทำให้นครรัฐกรีกอื่น ๆ เกิดการขวัญเสียมากในการก่อกบฏ

พระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราชทรงม้าตัวโปรด บูซิฟาลัส
รูปปั้นพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราชทรงม้าตัวโปรด บูซิฟาลัส
ต่อมา พระเจ้าอเล็กซานเดอร์ได้เคลื่อนกองทัพของไปยังอนาโตเลีย พร้อมทั้งโจมตีและพิชิตกองกำลังของเปอร์เซียได้ พระองค์ใช้กลยุทธ์ที่เหี้ยมหาญ เช่นการโจมตีโดยตรงไปที่ศัตรูด้วยกองกำลังทหารหลายพันคน ครั้งแรก พระเจ้าอเล็กซานเดอร์ ได้พบกับการต่อต้านอย่างรุนแรงจากเปอร์เซีย แต่ในที่สุดพระองค์ก็ประสบความสำเร็จแทนที่จะตรงไปยังเปอร์เซีย พระองค์กลับหันหน้าลงไปทางใต้และเข้าไปในอียิปต์ ซึ่งเปอร์เซียปกครองอยู่ในขณะนั้น ชาวอียิปต์ได้ต้อนรับพระเจ้าอเล็กซานเดอร์ เพราะพวกเขาเกลียดพวกเปอร์เซีย และยังได้เลือกให้พระเจ้าอเล็กซานเดอร์เป็นกษัตริย์ (ฟาโรห์) ของพวกเขา จากนั้น พระเจ้าอเล็กซานเดอร์ก็ได้เคลื่อนกองกำลังจากอียิปต์ข้ามเมโสโปเตเมียไปยังเปอร์เซีย ในที่สุด พระองค์ก็ได้โจมตีเมืองเพอร์เซโปลิส (Persepolis) ซึ่งเป็นเมืองหลวงของเปอร์เซีย (Persepolis เป็นภาษากรีก หมายถึง City of Parsa ซึ่งเป็นชื่อเรียกของชาวอิหร่านในยุคนั้น ภาษาเปอร์เซียเรียกที่นี่ว่า Takht-e Jamshid เป็น 1 ใน มรดกโลกของอิหร่าน สันนิษฐานว่า Cambyses II โอรสของพระเจ้าไซรัสมหาราช เป็นผู้เลือกทำเล แต่เริ่มสร้างในสมัย พระเจ้า Darius ที่1 เมื่อประมาณ 518 ปีก่อนคริสต์ศักราช  Persepolis สร้างขึ้นที่เชิงเขา Rahmat ( Mount of Mercy ) มีพื้นที่ประมาณ 125,000 ตารางเมตร ฐานพระราชวังก่อขึ้นจากหินสูงประมาณ 5 เมตร Persepolis มีการก่อสร้างเพิ่มเติมตลอดเวลา โดย Xerxes I , II , Artaxerxes I, II , III จนถึงปี 330 ก่อนค.ศ. ในสมัยพระเจ้าดาริอุส ที่ 3 ก็ถูกทำลายโดยพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราช)  ประมาณ 331 ปี ก่อนคริสต์ศักราช พระเจ้าอเล็กซานเดอร์ก็ได้ครอบครองจักรวรรดิเปอร์เซีย
ชัยชนะอื่น ๆ ของพระเจ้าอเล็กซานเดอร์ ไม่กี่ปีต่อมา พระเจ้าอเล็กซานเดอร์ ได้ผลักดันให้กองทัพของพระองค์ไปทางทิศตะวันออกเพื่อพิชิตบางส่วนของเอเชียกลาง เมื่อ 326 ปี ก่อนคริสต์ศักราช กองทัพของพระเจ้าอเล็กซานเดอร์ ได้มาถึงลุ่มแม่น้ำสินธุและอินเดีย พระเจ้าอเล็กซานเดอร์ได้กระตุ้นให้กองทัพของพระองค์เดินทางต่อไปทางทิศตะวันออก แต่พวกเขาไม่ยอมเดินทางต่อไป เพราะได้ต่อสู้เป็นเวลาถึง 11 ปีและเดินทางมาจากบ้านเกิดเมืองนอนหลายพันไมล์ พระเจ้าอเล็กซานเดอร์จึงจำใจหันหลังกลับ

เมื่อ 323 ปี ก่อนคริสต์ศักราช พรเจ้าเล็กซานเดอ์และกองทัพ ได้กลับไปยังบาบิโลน ในขณะที่พวกเขาหยุดชั่วคราว ณ ที่นั่น พรเจ้าอเล็กซานเดอร์ ก็ล้มป่วยมีไข้และเสียชีวิตภายในไม่กี่วัน พระองค์มีพระชนมายุ 32 พรรษา แม้ว่าพระองค์จะไม่ได้ดำรงพระชนม์อยู่จนถึงชราภาพ  พระองค์ก็ได้จัดการสร้างอาณาจักรขนาดใหญ่ เพราะความสำเร็จของพระองค์ โลกจึงจดจำพระองค์ว่า พระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราช (Alexander the Great)
พระเจ้าอเล็กซานเดอร์ไม่มีเวลาที่จะรวมอาณาจักรของพระองค์ หลังจากสิ้นพระชนม์ ผู้นำทหารได้ต่อสู้กันเองเพื่อจะครอบครองอาณาจักร แม่ทัพของพระเจ้าอเล็กซานเดอร์ไม่มีความเข้มแข็งพอที่จะครอบครองทั้งอาณาจักรโดยตัวเอง ในที่สุด แม่ทัพคนสำคัญทั้งสามคน ก็ได้แบ่งอาณาจักรกัน

แผนที่อาณาจักรและการเดินทัพของพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราช
แผนที่อาณาจักรและการเดินทัพของพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราช  323 ปี ก่อน ค.ศ.

มรดกของพระเจ้าอเล็กซานเดอร์

          พระเจ้าอเล็กซานเดอร์และกองทัพ ได้นำวัฒนธรรมและประเพณีของพวกเขาไปทุกที่ที่พวกเขาไป ในฐานะที่เป็นอเล็กซานเดอร์ผู้พิชิตผืนแผ่นดินเดียวตามหลังคนอื่น ๆ พระองค์ได้ตั้งอาณานิคมเป็นอันมาก พระองค์ยังได้สร้างเมืองบนพื้นฐานของวัฒนธรรมกรีกอีกด้วย พระองค์ได้ตั้งชื่ออาณานิคมหลาย ๆ แห่ง ว่า อเล็กซานเดรีย ตามพระนามของพระองค์เอง  พลูทาร์คนักประวัติศาสตร์ที่มีชีวิตอยู่ไม่กี่ศตวรรษต่อมา ได้เขียนไว้ว่า พระเจ้าอเล็กซานเดอร์ ได้ตั้งชื่ออเล็กซานเดรีย ให้กับเมืองถึง 70 เมือง

การผสมผสานของวัฒนธรรม พระเจ้าอเล็กซานเดอร์ ได้ให้ชาวกรีกที่อยู่เบื้องหลังปกครองดินแดนของเขาเอง กรีกจึงกลายเป็นภาษากลางในดินแดนที่ชาวกรีกครอบครอง ในเวลาเดียวกัน พระเจ้าอเล็กซานเดอร์ ก็ได้นำเสื้อผ้าสไตล์เปอร์เซียและขนบธรรมเนียมเปอร์เซียมาใช้ พระองค์เรียกร้องให้กองทัพของพระองค์ทำเช่นเดียวกัน ผู้ตั้งถิ่นฐานชาวกรีกบางส่วนได้แต่งงานกับหญิงชาวเปอร์เซียและได้นำวิถีชีวิตเปอร์เซียมาใช้ ในอียิปต์ นักปกครองกรีกได้ยอมรับวัฒนธรรมอียิปต์และผสมกลมกลืนกับรูปแบบกรีก ในอินเดีย ก็มีการผสมผสานเกิดขึ้นคล้ายกัน
การผสมผสานรูปแบบและขนบธรรมเนียมประเพณีของกรีก เปอร์เซีย อียิปต์ และอินเดีย กลายเป็นที่รู้จักกันว่า วัฒนธรรมกรีกโบราณ (Hellenistic culture) เฮลลาส (Hellas) เป็นชื่อภาษากรีกของประเทศกรีซ วัฒนธรรมนี้ยังคงมีอิทธิพลมานานหลายศตวรรษ
อริสโตเติลกำลังสอนดาราศาสตร์
ศิลปะเฮลเลนิสติกต้นฉบับภาษาอิหร่าน  ในภาพ อริโตเติล ปรัชญาเมธีกรีก
กำลังสอนวิชาดาราศาสตร์ให้แก่ชาวเปอร์เซีย โดยแต่งตัวแบบเปอร์เซีย
อเล็กซานเดรีย เมืองที่มีชื่อเสียงที่สุดในบรรดาเมืองทางวัฒนธรรมกรีกโบราณ คือ อเล็กซานเดรีย ประเทศอียิปต์ ซึ่งพระเจ้าอเล็กซานเดอร์ได้ก่อตั้งขึ้นเมื่อ 332 ปี ก่อนคริสต์ศักราช เมืองนั้นเป็นศูนย์กลางการศึกษาที่สำคัญมาเป็นเวลามากกว่า 400 ปี
วิหารของเหล่าเทพธิดามิวส์ (Muses) ในอเล็กซานเดรียทำหน้าที่เป็นศูนย์การวิจัยทางศิลปะและวิทยาศาสตร์ วิหารนี้ตั้งชื่อตามเหล่าเทพธิดามิวส์ ซึ่งเป็นเทพธิดาเก้าองค์ผู้มีอิทธิพลด้านศิลปะและวิทยาศาสตร์สาขาต่าง ๆ วิหารแห่งเหล่าเทพธิดามิวส์มีชื่อเสียงทางห้องสมุดของเมืองอเล็กซานเดรีย บางครั้งก็เรียกว่าห้องสมุดแห่งอเล็กซานเดรีย ห้องสมุดนี้ บรรจุของสะสมที่สำคัญมากมายของกรีก เปอร์เซีย อียิปต์ ฮิบรู และตำราอื่น ๆ มีนักวิชาการจากทั่วภูมิภาคทะเลเมดิเตอร์เรเนียนและจากเอเชียเดินทางมาอเล็กซานเดรียเพื่อการศึกษา
ประภาคารมหึมาในท่าเรืออเล็กซานเดรีย สามารถมองเห็นได้ไกลถึง 35 ไมล์ (ประมาณ 56 กิโลเมตร)  ได้รับการยอมรับว่าเป็นหนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของในโลกยุคโบราณ

ยุคทองของกรีซ

          หลังจากที่สงครามเปอร์เซียสิ้นสุดลงเมื่อ 479 ปี ก่อนคริสต์ศักราช  นักเขียน ศิลปินและสถาปนิกชาวกรีก ได้สร้างบางส่วนของผลงานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งช่วงเวลาทั้งหมด ผลงานเหล่านี้กลายเป็นรากฐานของวัฒนธรรมตะวันตก มรดกทางวัฒนธรรมที่พบเห็นทั่วไปของทวีปยุโรปและสหรัฐอเมริกา

ศิลปะและสถาปัตยกรรม

ชาวกรีกได้คิดค้นบทละครเป็นรูปแบบศิลปะ  บทละคร (Drama) คือ ผลงานที่เป็นลายลักษณ์อักษรที่ออกแบบมาให้นักแสดงนำมาแสดง ชาวกรีกได้สร้างโรงละครขึ้นเป็นครั้งแรกในโลกตะวันตก


ศิลปะยุคเฮลเลนิสติก
ประติมากรรมสมัยเฮลเลนิสติก รูปปั้นอนุสรณ์ชัยชนะที่ซาโมเทรซ
เป็นรูปเหมือนของเทพปกรณัมไนกี้ (Nike) เทพีแห่งชัยชนะ
บทละคร บทละครกรีกเป็นส่วนหนึ่งของเทศกาลทางศาสนาของเมืองทุกเมือง ประชาชนที่ร่ำรวยได้ใช้จ่ายเงินเพื่อสนับสนุนการผลิตบทละคร  นักเขียนได้ส่งบทละครไปยังผู้นำเมืองให้เลือกบทละครที่เขาคิดว่าดีที่สุด  ครั้นแล้ว บทละครแต่ละบทก็ได้รับมอบหมายให้คณะนักแสดงนำไปผลิต เมื่อบทละครได้ออกแสดง ก็มีการจัดการแข่งขันเพื่อให้รางวัลแก่นักเขียนที่ดีที่สุด
โรงละครแห่งอีพิดาอุรุส
โรงละครโบราณ โรงละครแห่งอีพิดาอุรุสสร้างเข้าไปในเนินเขา
นักแสดงในบทละครเป็นผู้ชายทั้งหมด แสดงบทบาทเป็นผู้หญิงด้วย นักแสดงจะสวมเครื่องแต่งกายและหน้ากากที่มีสีสัน เพื่อให้เห็นภาพของตัวละคร ชุดเวทีก็มีสีสันเช่นกัน (ทำนองเดียวกับโขนของบ้านเรา)
การเต้นรำเป็นสิ่งสำคัญในเทศกาลและบทละครกรีก  ปกติบทละครจะประกอบด้วยหมู่นักร้องขนาดใหญ่ ซึ่งเต้น ร้องเพลงและท่องโน้ตเพลงที่กำกับการแสดงบทละคร บทละครมีสองรูปแบบ คือ  โศกนาฏกรรมและสุขนาฏกรรม (Tragedy and comedy)

โศกนาฏกรรมและสุขนาฏกรรม รูปแบบแรก โศกนาฏกรรม เป็นบทละครที่เคร่งเครียด นำเสนอการสิ้นเนื้อประดาตัวของตัวละครสำคัญ เช่น กษัตริย์ รูปแบบทั่วไปสำหรับโศกนาฏกรรม ประกอบด้วยความรักสงครามและความเกลียดชัง
บทละครชื่อ เจ็ดนักรบถล่มธีบส์ (Seven Against Thebes) เป็นตัวอย่างหนึ่ง ในของบทละครเรื่องนี้ กษัตริย์แห่งธีบส์ได้ปกป้องเมืองไม่ให้พี่น้องของตัวเองโจมตี พี่น้องทั้งสองคนเป็นหลานชายของกษัตริย์แห่งเมืองธีบส์คนก่อน ผู้ที่นำคำสาปแช่งมาสู่เมืองโดยไม่เชื่อฟังคำสั่งของเหล่าทวยเทพ  ในตอนท้ายของบทละครพี่น้องก็ฆ่ากันเอง ซึ่งนำไปสู่การสิ้นสุดของคำสาป  บทละครชื่อ เจ็ดนักรบถล่มธีบส์ เขียนขึ้นโดยเอสคิลลัส (Aeschylus  - EHS•Kuh•luhs) ผูที่มีชีวิตอยู่ในช่วงเวลา 525-456 ปี ก่อนคริสต์ศักราช
หน้ากากละคร
หน้ากากละคร  ด้านซ้ายเป็นหน้ากากแบบโศกนาฏกรรม
ด้านขวาเป็นหน้ากากแบบสุขนาฏกรรม
รูปแบบที่สองของบทละคร คือ สุขนาฏกรรม คือ งานทางบทละครที่เกี่ยวกับอารมณ์ขัน  เหมือนละครตลกในปัจจุบันนี้ ละครตลกในสมัยกรีกโบราณมักจะสร้างความสนุกขบขันให้กับการเมือง ซึ่งเป็นบุคคลสำคัญ และสร้างความคิดแห่งยุค ละครตลกมักจะจบลงอย่างมีความสุข
อริสโตฟานเนส (Aristophanes - AR•ih•STAHF•uh•neez) ซึ่งมีชีวิตอยู่ประมาณ 450-388 ปี ก่อนคริสต์ศักราช เป็นนักเขียนบทละครตลกที่ยิ่งใหญ่ หนึ่งในบทละครของเขา คือ Birds ทำให้เกิดความสนุกสนานแก่บรรดาผู้ที่มุ่งมั่นจะได้มาซึ่งอำนาจ   ในบทละคร กษัตริย์กลายเป็นนกและก่อตั้งเมืองในท้องฟ้า เมืองนี้เรียกว่า Cloudcuckooland (ดินแดนแห่งนกบนท้องฟ้า) พระเอกกีดกันพระเจ้าไม่ให้แทรกแซงการปกครองของเขาและประกาศตัวเองเป็นกษัตริย์ของจักรวาล

ประติมากรรม ศิลปินชาวกรีกมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างภาพในอุดมคติในผลงานของพวกเขา กล่าวอีกนัยหนึ่ง พวกเขาพยายามจะวาดภาพวัตถุรวมทั้งมนุษย์ให้สมบูรณ์แบบที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ศิลปินพยายามที่จะสร้างความรู้สึกแห่งความเป็นระเบียบ ความงามและความสามัคคีในผลงานทุก ๆ  ผลงาน
เนื่องจากชาวกรีกใช้เวลาส่วนใหญ่ของพวกเขาอยู่กลางแจ้ง ผลงานทางด้านศิลปะเป็นอันมากจะวางตั้งอยู่ด้านนอก ศิลปะที่สร้างขึ้นสำหรับพื้นที่กลางแจ้งได้รับการออกแบบในมาตราส่วนขนาดใหญ่อยู่บ่อย ๆ ประติมากรรมกรีกเป็นอันมาก เขียนภาพเหล่าทวยเทพ ประติมากรรมดังกล่าวมักจะถูกวางไว้ในวิหารที่สร้างขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่พระเจ้า
หนึ่งในรูปปั้นที่มีชื่อเสียงที่สุด ถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่เทพีอธีนา เทพธิดาผู้ปกป้องกรุงเอเธนส์ ประติมากร ชื่อ Phidias (ฟิดิแอส - FIHD•ee•uhs) ได้ใช้ทองและงาช้างสร้างรูปปั้นของเทพีอธีนา มันยืนตระหง่านสูงกว่า 30 ฟุต รูปปั้นตั้งอยู่ภายในวิหารที่เรียกว่าพาร์เธนอน

สถาปัตยกรรม สถาปนิกในกรีซสมัยโบราณได้ออกแบบวิหาร โรงละคร สถานที่ประชุม และ สถานที่ประชุมและที่อยู่อาศัยของประชาชนที่ร่ำรวย สถาปนิกปฏิบัติตามหลักการคล้ายกับที่ใช้โดยประติมากรกรีก พวกเขาทำงานเพื่อสร้างสิ่งปลูกสร้างที่สวยงามด้วยสัดส่วนที่สง่างาม

เสาสถาปัตยกรรมแบบกรีก
เสาสถาปัตยกรรมแบบกรีก 

สถาปนิกชาวกรีกใช้องค์ประกอบทางสถาปัตยกรรมหรือชิ้นส่วนของอาคารที่โดดเด่นหลายประการ องค์ประกอบที่สำคัญที่สุดของอาคารกรีกเป็นอันมาก คือ เสาหิน บ่อยครั้งที่ชุดของเสาหินที่เรียกว่า เสาระเบียงใหญ่ ถูกวางอยู่รอบนอกของอาคาร ช่องว่างรูปสามเหลี่ยมระหว่างด้านบนของเสาหินและหลังคา เรียกว่า จั่ว  ประติมากรรมหรือภาพวาดถูกวางไว้ในจั่วของอาคารหลายหลัง
เมื่อ 447 ปี ก่อนคริสต์ศักราช เพริคลีส ได้แต่งตั้งสถาปนิกสร้างวิหารพาร์เธนอนซึ่งเป็นวิหารสำหรับเทพีอธีนา (Athena) พวกเขาสร้างวิหารพาร์เธนอนด้วยเสาทั้งสี่ด้าน  รูปแบบส่วนใหญ่มักใช้สำหรับวิหาร ฟิดิแอสได้ทำงานร่วมกับสถาปนิก เขาตกแต่งหน้าจั่วของวิหารพาร์เธนอนด้วยการออกแบบรูปปั้นของฉากจากชีวิตของเทพีอธีนา รูปปั้นเทพอธีนาของเขาตั้งอยู่อยู่ภายในวิหารพาร์เธนอน

ประชาธิปไตยประวัติศาสตร์และปรัชญา

นักเขียนและนักคิดจากยุคทองของกรีซสร้างบางส่วนของผลงานชิ้นแรกและที่สำคัญมากที่สุดของประวัติศาสตร์และปรัชญา หนึ่งในมรดกที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของชาวกรีกที่ยังคงเหลืออยู่ คือ ความคิดเกี่ยวกับประชาธิปไตย ที่ว่าประชาชนของสถานที่ควรควบคุมรัฐบาล

ประชาธิปไตยกลายเป็นความจริง หลังจากที่เอเธนส์ได้พัฒนาประชาธิปไตย นครรัฐอื่น ๆ ยังได้นำรูปแบบการปกครองนั้นไปใช้ แม้ว่าความเป็นพลเมือง โดยทั่วไปถูกจำกัดให้แก่เจ้าของที่ดินเพศชาย คณะปกครองเหล่านี้ก็เปิดกว้างมากขึ้นและเป็นธรรมมากขึ้นกว่าคณะปกครองใด ๆ  ความคิดของชาวกรีกที่มีต่อการปกครองได้นำไปใช้ในหลายประเทศรวมทั้งสหรัฐอเมริกา

เฮอรอโดทัสและธิวซิดิดีส ชาวกรีกเป็นหนึ่งในกลุ่มอารยธรรมแรกที่เขียนบันทึกประวัติศาสตร์ของพวกเขา พวกเขาไม่ได้เพียงแค่บอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับประวัติของพวกเขา พวกเขาได้ตรวจสอบประวัติและพยายามที่จะตรวจสอบข้อเท็จจริงและความสำคัญของเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์
นักประวัติศาสตร์กรีซ
นักประวัติศาสตร์ชั้นนำแห่งยุคคลาสสิกของกรีซ 2 คน
คือ เฮอรอดอทัสและธิวซิดิดีส
เฮอรอโดทัส (Herodotus - hih•RAHD•uh•tuhs) ซึ่งมีชีวิตอยู่ระหว่าง 484 - 425 ปี ก่อนคริสต์ศักราช ได้รับขนานนามว่า บิดาแห่งประวัติศาสตร์ (Father of History) เขามีความสนใจในการเรียนรู้และบันทึกเรื่องราวเกี่ยวกับเหตุการณ์สำคัญ เฮอรอโดทัสได้เดินทางไปยังที่ต่าง ๆ  มากมาย ในขณะที่ยังเป็นชายหนุ่ม เขาเขียนเรื่องราวของสงครามเปอร์เซียที่เรียกว่า history (ประวัติความเป็นมา)
นักประวัติศาสตร์กรีกอีกคนหนึ่ง คือ ธูซิดดิดีส (Thucydides - thoo•SIHD•ih•DEEZ) มีชีวิตอยู่ประมาณ 460-400 ก่อนคริสต์ศักราช เขาได้เขียนประวัติศาสตร์ของสงครามแห่งคาบสมุทรเพโลพอนนีเซียนในขณะที่สงครามยังคงดำเนินอยู่ เพื่อให้แน่ใจว่าการทำงานของเขาเป็นที่ถูกต้อง เขาได้ค้นคว้าเอกสารและรวบรวมพยานหลักฐาน วิธีการนี้ได้จัดตั้งเป็นมาตรฐานสำหรับการเขียนประวัติศาสตร์ซึ่งยังยังคงปฏิบัติกันอยู่ในทุกวันนี้
การแสวงหาความจริง ในยุคต้น ๆ  ประมาณ 600 ปี ก่อนคริสต์ศักราช  นักคิดกรีกได้เริ่มพยายามที่จะอธิบายโลกโดยใช้เหตุผลแทนตำนาน ในช่วงยุคทอง การค้นหาคำอธิบายเช่นนี้ กลายเป็นเรื่องที่เอาจริงเอาจังและเข้มข้นมากขึ้น ในการค้นหาของพวกเขา ชาวกรีกได้พัฒนาปรัชญา (philosophy) หรือการศึกษาเชิงตรรกะถึงความจริงขั้นพื้นฐานเกี่ยวกับความรู้ คุณค่าและโลก
นักปรัชญากรีกได้สอบสวนขอบข่ายของเรื่องราวอย่างกว้างขวาง พวกเขาตั้งคำถาม เช่น บุคคลสามารถบรรลุความสุขได้อย่างไร? อะไรคือรูปแบบที่ดีที่สุดของการปกครอง? ความรู้คืออะไร? เป็นต้น นักศึกษาปรัชญายังคงศึกษาความคิดของพวกเขาในหัวข้อเหล่านี้
นักปรัชญากรีกยังคงตั้งคำถาม ที่วิทยาศาสตร์ศึกษาอยู่ในปัจจุบันนี้ เช่น มีองค์ประกอบพื้นฐานที่สร้างทุกสิ่งทุกอย่างหรือไม่? อะไรทำให้สิ่งมีชีวิตดำรงอยู่ได้?

โสกราตีส หนึ่งในนักปรัชญากรีกที่มีชื่อเสียงมากที่สุดคือโสกราตีส (SAHK•ruh•TEEZ) เขาสนับสนุนให้ประชาชนตรวจสอบความคิดของตัวเองโดยการขอให้พวกเขาตั้งคำถามหลังจากถามตอบ รูปแบบการการเรียนการสอนแบบถามและตอบนี้กลายเป็นที่รู้จักในฐานะที่เป็นวิธีการของโสกราตีส (Socratic Method)
หลายคนชอบการเรียนการสอนของโสกราตีส แต่ศัตรูของเขาได้นำเขามาสู่การพิจารณาคดีในข้อหาก่อให้คนหนุ่มสาวก่อกบฏ โสกราตีสได้บอกศาลว่าเขากำลังช่วยเอเธนส์โดยการทำให้คนคิดเกี่ยวกับค่านิยมและการกระทำของพวกเขา คณะลูกขุนไม่เห็นด้วยและตัดสินให้เขาไปสู่ความตาย โสกราตีสตายด้วยการดื่มยาพิษที่เรียกว่าเฮมล็อค (hemlock = พืชมีพิษชนิดหนึ่ง)

เพลโตและอาริสโตเติล (Plato and Aristotle) หนึ่งในลูกศิษย์ของโสกราตีส คือ เพลโต เขามีชีวิตอยู่ตั้งแต่ประมาณ 427-347 ปี ก่อนคริสต์ศักราช  งานเขียนส่วนใหญ่ของเพลโต คือ การหารือ-การสนทนาระหว่างโสกราตีสและคนอื่น ๆ  การหารือได้สำรวจคำถามปรัชญาหลายคำถาม เพลโตได้จัดตั้งสำนักที่สำคัญในการศึกษาระดับสูง เรียกว่า สำนัก (Academy) มันยืนหยัดต่อสาธารณะอยู่ประมาณ 900 ปี
อาริสโตเติล (AR•ih•STAHT•uhl) ลูกศิษย์ที่มีความฉลาดที่สุดของเพลโต มีชีวิตอยู่ ตั้งแต่ 384-322 ปี ก่อนคริสต์ศักราช เขาได้เปิดสำนักของตัวเองในเอเธนส์ เรียกว่า ลิเซียม (Lyceum = สำนักศึกษา) งานเขียนของอาริสโตเติลซึ่งยังสำรวจขอบเขตคำถามอย่างกว้างขวาง อยู่บนพื้นฐานของการเรียนที่เขาสอน นอกเหนือไปจากผลงานด้านปรัชญาที่ยิ่งใหญ่ของเขาแล้ว อาริสโตเติลยังใช้เวลาสามปีในการสอนพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราช
-------------------------------------------------------------------------------------------------------

ผู้สร้างประวัติศาสตร์

โสกราตีส (470 – 399 ปี ก่อนคริสต์ศักราช)
โสกราตีสได้สร้างชื่อเสียงอย่างไม่น่าเป็นไปได้ เขาเป็นคนยากจนและสนใจที่จะปรากฏตัวเพียงเล็กน้อย แต่สติปัญญาและความสามารถพิเศษของเขา ได้ทำให้ศิษยานุศิษย์ติดตามเขาเป็นจำนวนมาก และเขามักจะมีการสังสรรค์กับชาวเอเธนส์ระดับชั้นนำ เขาเป็นที่รู้จักกันดีเมื่ออาริสโตฟานนีสได้เขียนบทละครที่สร้างความสนุกสนานที่เรียกว่า Clouds (ก้อนเมฆ)
โสกราตีส
รูปปั้นโสกราตีส
โสกราตีสอ้างว่าภูมิปัญญาของเขาเท่านั้นก่อให้เกิดความตระหนักถึงวิธีที่ทำให้เขาค่อย ๆ รู้อย่างแท้จริง แต่เขามักจะแสดงให้เห็นว่าคนที่เขาพูดด้วยรู้น้อยกว่าเขา สำหรับบางคน ข้อนี้คือจุดเริ่มต้นแห่งความเข้าใจหัวข้อได้ดีกว่า คนอื่น ๆ โกรธที่โสกราตีสที่เปิดเผยความไม่รู้ของพวกเขา
------------------------------------------------------------------------------------------------------

วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

การผสมผสานของวัฒนธรรมกรีกกับวัฒนธรรมอื่น ๆ ก่อให้เกิดวัฒนธรรมกรีกโบราณ  นักวิชาการทางด้านวัฒนธรรมกรีกโบราณได้อนุรักษ์และเผยแพร่ความรู้ทางวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์จากกรีซ อียิปต์ และอินเดีย   ประมาณศตวรรษที่ 2 (200 ปี) ก่อนคริสต์ศักราช  เมืองอเล็กซานเดรีย ประเทศอียิปต์เข้ามาแทนที่เอเธนส์ในฐานะเป็นผู้นำศูนย์กลางทางวัฒนธรรม
เปรียบเทียบดาราศาสตร์ของกรีกกับปัจจุบัน
เปรียบเทียบดาราศาสตร์ของกรีกกับปัจจุบัน

ดาราศาสตร์ นักวิทยาศาสตร์หลายคนในเมืองอเล็กซานเดรีย ได้ศึกษาดาราศาสตร์ ซึ่งเป็นวิทยาศาสตร์ที่สำรวจดาวเคราะห์และดาวฤกษ์ นักดาราศาสตร์และนักคณิตศาสตร์ ชื่อ เอราทอสเทนีส(Eratosthenes - EHR•uh•TAHS•thuh•NEEZ) ได้ค้นพบวิธีการคำนวณเส้นรอบวงหรือระยะทางรอบโลก การคำนวณของเขาได้พิสูจน์แล้วว่าค่อนข้างใกล้กับการวัดจริง ๆ          นักดาราศาสตร์อีกคนหนึ่งในเมืออเล็กซานเดรีย ชื่อ อาริสทาร์คัส (Aristarchus - AR•ih• STAHR•kus) พยายามที่จะพิสูจน์ว่าโลกหมุนรอบดวงอาทิตย์ ในเวลานั้น คนส่วนใหญ่เชื่อว่าทุกอย่างในจักรวาลโคจรรอบโลก  Aristarchus ยังพยายามที่จะคำนวณขนาดของดวงอาทิตย์อีกด้วย แม้ว่าผลลัพภ์ของเขาพิสูจน์ให้เห็นว่าไกลเกินกว่าที่จะสังเกตนักดาราศาสตร์ ชื่อ ปโตเลมี (TAHL•uh• mee) ได้สนับสนุนความคิดที่ว่าโลกเป็นศูนย์กลางของจักรวาล เขาได้สร้างระบบทางคณิตศาสตร์ที่อธิบายการเคลื่อนไหวของดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และดาวเคราะห์ทั้งหมดที่รู้จักกัน ระบบของเขาถูกนำมาใช้โดยนักดาราศาสตร์เป็นเวลา 1,400 ปีถัดมา  ในคริสต์ศตวรรษที่ 15 หลักฐานใหม่และคณิตศาสตร์ใหม่ก็ได้ช่วยกันพิสูจน์ให้เห็นว่าโลกและดาวเคราะห์ดวงอื่น ๆ โคจรรอบดวงอาทิตย์

คณิตศาสตร์และฟิสิกส์ นักดาราศาสตร์จำเป็นต้องรู้คณิตศาสตร์ที่ซับซ้อนเพื่อการทำงานของพวกเขา  นักวิทยาศาสตร์ในสมัยกรีกโบราณได้ใช้คณิตศาสตร์ที่ได้รับการพัฒนาโดยนักคณิตศาสตร์กรีกและสมัยเฮเลนนิสติค
นักคณิตศาสตร์กรีกและสมัยเฮเลนนิสติคหลายคนเชี่ยวชาญในเรขาคณิต ซึ่งเป็นการศึกษาเส้นตรง มุม วงกลมและรูปแบบอื่น ๆ  นักคณิตศาสตร์ ชื่อ ยุคลิด (Euclid - YOO•klihd) ได้จัดระบบสิ่งที่เป็นที่รู้จักกันเกี่ยวกับรูปทรงเรขาคณิตและประเภทอื่น ๆ ของคณิตศาสตร์จำนวนมากมายเป็นชุดของหนังสือที่เรียกว่า Elements (ธาตุ องค์ประกอบขั้นพื้นฐาน) มันมีข้อพิสูจน์ที่มีเหตุผลของความคิดทางเรขาคณิต  Elements ของยุคลิดทำหน้าที่เป็นพื้นฐานของวิชาเรขาคณิตมากที่สุดนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
อาร์คิมิดีส (Archimedes - AHR•kuh•MEE• deez) ได้อธิบายกฎของคาน (lever)  ในฐานะที่เป็นนักประดิษฐ์ เขาได้พัฒนาลูกรอกคละกัน (compound pulley) เขายังได้รับการเชื่อกันว่า เป็นผู้สร้างอุปกรณ์ยกน้ำเพื่อการชลประทานในการเกษตรกรรม ความคิดของอาร์คิมิดีสถูกนำมาใช้ในการสร้างปั๊มและในที่สุดก็สร้างรถจักรไอน้ำ
นักคณิตศาสตร์หญิงที่ได้รับการบันทึกไว้เป็นครั้งแรก ชื่อ ไฮพาเทีย (Hypatia - hy•PAY•shuh) สอนอยู่ที่เมืองอเล็กซานเดรีย ไฮพาเทียยังเป็นนักดาราศาสตร์อีกด้วย เธอได้เขียนเกี่ยวกับผลงานของปโตเลมีและเกี่ยวกับยูคลิดและเรขาคณิตเช่นกัน ไฮพาเทียยังได้เป็นผู้นำการเคลื่อนไหวทางปรัชญาบนพื้นฐานของผลงานของเพลโตอีกด้วย
อุปกรณ์ยกน้ำของอาร์คิมิดีส
อุปกรณ์ยกน้ำของอาร์คิมิดีส  มีขนดขนาดใหญ่ปลายเปิดทั้งสองด้าน
ด้านหนึ่งอยู่ในท่อน้ำ อีกด้านหนึ่งน้ำขึ้น

อิทธิพลของกรีกในปัจจุบัน

          กรีกโบราณอิทธิพลต่อโลกของเราในหลาย ๆ วิธีการที่แตกต่างกัน พวกเขามุ่งมั่นเพื่อให้บรรลุอุดมคติในทุกพื้นที่ของชีวิต พวกเขาให้ความสนใจอย่างละเอียดโดยเฉพาะอย่างยิ่งในแง่มุมของชีวิตที่เป็นส่วนหนึ่งของนครรัฐ ปัจจุบันนี้ เราสามารถเห็นอิทธิพลของกรีกได้อย่างชัดเจนในกีฬา สถาปัตยกรรม และระบบยุติธรรม

กีฬาโอลิมปิก

อดีต การแข่งขันกีฬาโอลิมปิกถูกจัดขึ้นในเมืองโอลิมเปียทุก ๆ สี่ปี ผู้ชายเท่านั้นที่สามารถแข่งขันได้ กีฬาประกอบด้วยมวยมวยปล้ำ วิ่ง การกระโดด พุ่งแหลนและการขว้างจักร และการแข่งขันกีฬาโดยใช้ม้า ภาพล่างแสดงนักกีฬาที่เดินทางมาแข่งขันกีฬาโอลิมปิก
กีฬาโอลิปิกในสมัยโบราณ
นักกีฬาเดินทางมาแข่งขันกีฬาโอลิมปิก
ปัจจุบัน การแข่งขันกีฬาโอลิมปิกสมัยใหม่จะมีขึ้นทุก ๆ สี่ปี การแข่งขันโอลิมปิกภาคฤดูร้อนสมัย​​จัดขึ้นครั้งแรกในปี ค.ศ. 1896 และการแข่งขันภาคฤดูหนาวสมัยใหม่จัดขึ้นในปี ค.ศ. 1924 มีทั้งชายและผู้หญิงเข้าแข่งขัน หลายร้อยเหตุการณ์เกิดขึ้นในกีฬาต่าง ๆ หลายสิบชนิด
กีฬาโอลิมปิกในปัจจุบัน
กีฬาโอลิมปิกในปัจจุบัน เป็นกีฬาของมวลมนุษยชาติ ทุกประเทศในโลกจะส่งนักกีฬาเข้าแข่งขัน

สถาปัตยกรรม

อดีต สถาปนิกกรีกมองไปที่รูปทรงเรขาคณิตเพื่อหารูปแบบที่เหมาะสมสำหรับการสร้าง พวกเขาได้พบอัตราส่วนที่พวกเขาเชื่อว่าสร้างสัดส่วนที่สมบูรณ์แบบ พวกเขาใช้อัตราส่วนในการออกแบบอาคารโดยเฉพาะอย่างยิ่งเสาหินของอาคาร  ผลการวิจัยพบโครงสร้างที่สง่างาม เช่น วิหารแห่งเทพเจ้า (Hephaestus)
สถาปัตยกรรมกรีกในอดีต
สถาปัตยกรรมกรีกในอดีต
ปัจจุบัน อาคารหลายแห่งลอกเลียนสไตล์กรีก เสาหินให้ความรู้สึกของความสำคัญและความมีอำนาจให้กับอาคาร อาคารด้านล่าง คือ อนุสาวรีย์ลินคอล์นในกรุงวอชิงตันดีซี
สถาปัตยกรรมกรีกในปัจจุบัน
อนุสาวรีย์ลินคอล์นคือสถาปัตยกรรมกรีกในปัจจุบัน

คณะลูกขุน

อดีต นครเอเธนส์มีคณะลูกขุนที่มีคุณสมบัติเหมาะสม ประมาณ 6,000 ลูกขุน การสอบสวนจำเป็นต้องใช้ลูกขุนมากที่สุดถึง 500 คน คณะลูกขุนได้รับค่าใช้จ่าย ภาพด้านล่างคืออุปกรณ์เลือกคณะลูกขุนจากกรีกโบราณ ตุลาการแต่ละคนมีแผ่นโลหะที่มีชื่อของเขาอยู่ในนั้น แผ่นถูกวางไว้แบบสุ่มในสล็อต แล้วแถวของแผ่น ก็ถูกเลือกสำหรับการสอบสวนโดยเฉพาะ
แผ่นโลหะซึ่งเป็นอุปกรณ์เลือกคณะลูกขุน
แผ่นโลหะซึ่งเป็นอุปกรณ์เลือกคณะลูกขุนของกรีกในอดีต
ปัจจุบัน ในประเทศสหรัฐอเมริกา พลเมืองผู้ใหญ่ของภูมิภาคเป็นส่วนหนึ่งของคณะลูกขุน คณะลูกขุนที่มีศักยภาพได้รับแบบแผนทางกฎหมายที่ปรากฏสำหรับการปฏิบัติหน้าที่คณะลูกขุน คณะลูกขุนมักจะจัดไว้ 12 คนเสมอ แม้ว่าสามารถจะมีได้อย่างน้อยเพียง 6 คน  คณะลูกขุนจะได้รับเงินจำนวนเล็กน้อยในแต่ละวันที่พวกเขาให้บริการ
คณะลูกขุนในปัจจุบัน
คณะลูกขุนในปัจจุบัน