ประวัติศาสตร์โลก
ยุคก่อนประวัติศาสตร์หรือยุคหินเก่า
|
แผนที่ลำดับเหตุการณ์โลกยุคก่อนประวัติศาสตร์ |
|
แผนที่โลกยุคก่อนประวัติศาสตร์ถึง 2,500 ปี ก่อน ค.ศ. |
|
ลำดับเหตุการณ์โลกยุคก่อนประวัติศาสตร์ |
นักวิทยาศาสตร์ค้นพบแหล่งกำเนิดมนุษย์
ข้อมูลที่เขียนเปิดหน้าต่างไปสู่อดีตอันไกลโพ้น
เป็นเวลาหลายพันปี ผู้คนได้บันทึกข้อมูลเกี่ยวกับความเชื่อ
กิจกรรมและเหตุการณ์สำคัญ อย่างไรก็ตาม ยุคก่อนประวัติศาสตร์
ย้อนไปถึงเวลาก่อนที่จะมีการประดิษฐ์อักษรสำหรับเขียน ประมาณอย่างคร่าว ๆ ก็ 5,000 ปีที่ผ่านมา เมื่อไม่มีการเขียนบันทึกไว้
นักวิทยาศาสตร์ที่จะพิสูจน์การใช้ชีวิตของคนยุคก่อนประวัติศาสตร์จะเผชิญกับการท้าทายเป็นพิเศษ
เบาะแสทางวิทยาศาสตร์ นักโบราณคดี คือ
นักวิทยาศาสตร์ผู้ได้รับการฝึกฝนเป็นพิเศษให้ทำงานคล้ายกับนักสืบเพื่อเปิดเผยเรื่องราวของคนยุคก่อนประวัติศาสตร์
พวกเขาศึกษามนุษย์ยุคแรกโดยการขุดค้นและศึกษาร่องรอยของการตั้งถิ่นฐานของมนุษย์ยุคแรก
สถานที่ขุดค้น ซึ่งเรียกว่าการขุดค้นทางโบราณคดี
จะให้แหล่งเบาะแสการดำเนินชีวิตของมนุษย์ยุคก่อนประวัติสมบูรณ์ที่สุด
นักโบราณคดีจะเอาตะแกรงร่อนกองดินออกเป็นกองเล็ก ๆ แล้ววิเคราะห์หลักฐานทั้งหมดที่มีอยู่
เช่นกระดูกและสิ่งประดิษฐ์ กระดูกอาจจะเผยให้เห็นว่า มนุษย์เหมือนอะไร
ยืนตัวตรงได้อย่างไร รับประทานอาหารชนิดใด มีโรคภัยไข้เจ็บชนิดใด
และมีอายุยืนได้อย่างไร สิ่งประดิษฐ์ คือ วัตถุที่มนุษย์สร้างขึ้น เช่น
เครื่องมือและเครื่องประดับ สิ่งเหล่านี้อาจจะแสดงให้เห็นว่าผู้คนแต่งตัวแบบไหน
ทำงานอะไร และเคารพบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์อย่างไร
นักวิทยาศาสตร์ที่เรียกกันว่า
นักมานุษยวิทยาจะศึกษาวัฒนธรรมหรือวิถีชีวิตที่ไม่ซ้ำกันของผู้คน
นักมานุษยวิทยาจะตรวจสอบโบราณวัตถุที่ขุดค้นทางโบราณคดี จากนี้ไปพวกเขาจะสร้างภาพพฤติกรรมทางวัฒนธรรมของมนุษย์ยุคแรกขึ้นมาใหม่
นักวิทยาศาสตร์อื่น ๆ ที่เรียกว่า
ผู้ศึกษาซากดึกดำบรรพ์หรือซากฟอสซิล (Paleontologist - ศัพท์ทางการเรียกว่า
นักบรรพชีวินวิทยา) จะศึกษาซากฟอสซิล
ซึ่งเป็นหลักฐานของสิ่งมีชีวิตยุคแรกที่ติดอยู่ในหิน ซากฟอสซิลของมนุษย์มักจะประกอบด้วยชิ้นส่วนเล็ก
ๆ ของฟัน กะโหลกศีรษะหรือกระดูกอื่น ๆ
นักบรรพชีวินวิทยาจะใช้เทคนิคที่สลับซับซ้อนในการนับอายุซากฟอสซิลโบราณและก้อนหิน
นักโบราณคดี นักมานุษยวิทยา นักบรรพชีวินวิทยา และนักวิทยาศาสตร์อื่น ๆ
จะทำงานเป็นทีมในการค้นหาสิ่งใหม่ ๆ เกี่ยวกับวิธีการการดำเนินชีวิตของมนุษย์ยุคก่อนประวัติศาสตร์
ค้นพบรอยเท้ายุคแรก ในคริสต์ทศวรรษที่ 1970 นักโบราณคดี ชื่อ แมรี
ลีคกี นำคณะเดินทางสำรวจทางวิทยาศาสตร์ในภูมิภาคแลโทลี (Laetoli) ในประเทศแทนซาเนียในแอฟริกาตะวันออก
ณ ที่นั่นเธอและทีมงานของเธอค้นหาเบาะแสเกี่ยวกับต้นกำเนิดของมนุษย์ ในปี
ค.ศ. 1978
พวกเขาพบรอยเท้ายุคก่อนประวัติศาสตร์ที่คล้ายกับรอยเท้ามนุษย์สมัยใหม่ที่ติดอยู่ในเถ้าภูเขาไฟ
รอยเท้าเหล่านี้ถูกสร้างขึ้นโดยสัตว์ที่คล้ายมนุษย์ ซึ่งปัจจุบันนี้เรียกว่า
ออสตราโลพิเทคัส (australopithecines) มนุษย์และ
สิ่งมีชีวิตอื่น ๆ ที่เดินตัวตรง เช่น australopithecines จะเรียกว่ามนุษย์ hominids รอยเท้าที่แลโทลีให้หลักฐานเกี่ยวกับต้นกำเนิดของมนุษย์ที่น่าประทับใจ
การค้นพบ “ลูซี” ในขณะที่แมรี
ลีกคีกำลังทำงานอยู่ในแอฟริกาตะวันออก นักมานุษยวิทยาสหรัฐอเมริกาชื่อ โดนัลด์
จอห์นสัน (Donald Johnson) และทีมงานก็กำลังค้นพบซากฟอสซิลเช่นกัน
พวกเขากำลังสำรวจสถานที่ในเอธิโอเปีย ประมาณ 1,000
ไมล์ไปทางทิศเหนือ ใน ค.ศ. 1974
ทีมงานของจอห์สันทำการค้นพบอย่างน่าทึ่งคือค้นพบโครงกระดูกของ มนุษย์ hominid เป็นผู้ใหญ่เพศหญิงที่สมบูรณ์ผิดปกติ พวกเขาเรียกว่า "ลูซี (Lucy)" ตามชื่อเพลง Lucy in the Sky with Diamonds” ลูซีมีชีวิตอยู่ประมาณ 3.5 ล้านปีที่ผ่านมา เป็นมนุษย์ hominid ที่เก่าแก่ที่สุดที่ค้นพบจนถึงยุคนั้น
|
ซากฟอสซิล "ลูซี" ที่โอนัลด์ จอห์สันและทีมงานค้นพบใน ค.ศ. 1974 |
ผู้สร้างประวัติศาสตร์
|
|
ครอบครัวลีคกี
ครอบครัวลีคกีมีผลสะท้อนอย่างมากต่อการศึกษาต้นกำเนิดของมนุษย์
นักมานุษยวิทยาชาวอังกฤษสองสามีภรรยา หลุยส์ เอสบี ลีคกี (Louis S.B Leakey - มีชีวิตอยู่ระหว่าง ค.ศ.
1903-1972) และแมรี ลีคกี (Mary Leakey
- มีชีวิตอยู่ระหว่าง ค.ศ. 1913-1996)
เริ่มค้นหาซากมนุษย์ยุคแรกในแอฟริกาตะวันออกในคริสต์ทศวรรษที่ 1930
ความพยายามของพวกเขาไขสิ่งที่เป็นงานอดิเรกของวิทยาศาสตร์เข้าไปสู่ขอบเขตที่สำคัญของวิทยาศาสตร์
แมรีกลายเป็นนักล่าซากฟอสซิลของมนุษย์ที่มีชื่อเสียงคนหนึ่งของโลก
ลูกชายของพวกเขา คือ ริชาร์ด ภรรยาของริชาร์ด ชื่อ มาอีฟ (Maeve) และลูกสาวของริชาร์ดและมาอีฟชื่อหลุยส์ก็ดำเนินการล่าซากฟอสซิลตามครอบครัวในแอฟริกาตะวันออก
ในศตวรรษที่ 21
|
มนุษย์ Huminid เดินตัวตรง ลูซีและมนุษย์ hominids ที่ทิ้งรอยเท้าไว้ในแอฟริกาตะวันออกเป็นสายพันธุ์ของมนุษย์ australopithecines การเดินตัวตรงช่วยให้พวกเขาเดินทางไกลได้อย่างง่ายดายมากขึ้น
พวกเขายังสามารถขับไล่สัตว์ที่อันตรายและนำอาหารและเด็กติดตัวไปได้ด้วย
มนุษย์ hominids ยุคแรกเหล่านี้ มีการพัฒนานิ้วหัวแม่มือที่สามารถพับงอเข้ามาหาอุ้งมือได้เรียบร้อยแล้ว
นั่นหมายความว่าปลายนิ้วหัวแม่มือสามารถพับงอเข้าหาฝ่ามือได้
นิ้วหัวแม่มือที่สามารถพับงอเข้าหาฝ่ามือได้เป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับงานต่าง ๆ
เช่น การหยิบวัตถุขนาดเล็กและการทำเครื่องมือ การประดิษฐ์ของเครื่องมือ
การเรียนรู้การใช้ไฟและการพัฒนาภาษา
เป็นความสำเร็จประการหนึ่งที่น่าประทับใจที่สุดในประวัติศาสตร์ของมนุษย์ นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่า เหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้นในช่วงยุคก่อนประวัติศาสตร์ที่เรียกว่า ยุคหิน ประเมินระยะเวลาแล้วยาวนานมาก ยุคหินตอนต้นและต่อมาเรื่อย
ๆ เรียกว่า ยุคหินเก่าหรือยุคก่อนประวัติศาสตร์ อายุตั้งแต่ประมาณ 2.5 ล้านปีถึง 8,000 ก่อน
คริสต์ศักราช เครื่องมือสำหรับสับตัดเป็นหินที่เก่าแก่ที่สุดกำเนิดขึ้นในยุคนี้
ยุคหินใหม่หรือ Neolithic Age เริ่มประมาณ 8,000 ก่อนคริสต์ศักราช และสิ้นสุดเมื่อช่วงต้น 3,000 ปี ก่อนคริสต์ราชในบางพื้นที่ ผู้คนที่มีชีวิตอยู่ในระยะที่สองของยุคหินนี้มีการเรียนรู้ในการเจียระไนเครื่องมือหิน ทำเครื่องปั้นดินเผาปลูกพืชและเลี้ยงสัตว์
มนุษย์โฮโม แฮบิลิส (Homo Habilis) อาจจะใช้เครื่องมือ ในที่สุดก่อนที่มนุษย์ออสตราโลพิเธคัส (australopithecines) จะสูญพันธุ์ไป มนุษย์โฮมินิด (hominids-วงศ์ลิงใหญ่)
สายพันธุ์ใหม่ก็ปรากฏขึ้นในแอฟริกาตะวันออกประมาณ 2.5 ล้านปีที่ผ่านมา
ในคริสต์ศักราช 1960 นักโบราณคดีชาวอังกฤษสองสามีภรรยา ชื่อ หลุยส์ เอส บี
ลีกคีและแมรี ลีกคีค้นพบฟอสซิลมนุษย์ hominid ที่ช่องแคบ (Olduvai
Gorge) ในภาคเหนือของประเทศแทนซาเนีย และตั้งชื่อฟอสซิลนั้นว่า Homo habilis ซึ่งหมายความว่า "มนุษย์ที่มีความสามารถ” สองสามีภรรยาและนักวิจัยอื่น ๆ พบเครื่องมือที่ทำจากหินลาวา
พวกเขาเชื่อว่ามนุษย์ Homo habilis ใช้เครื่องมือเหล่านี้ในการสับเนื้อสัตว์และกะเทาะกระดูกออกมา
เครื่องมือทำให้ภารกิจในการอยู่รอดง่ายขึ้น
มนุษย์โฮโม อีเร็กตัส (Homo eructus) พัฒนาเทคโนโลยี ประมาณ 1.6 ล้านปีที่ผ่านมาก่อนที่จะมนุษย์ Hom habilis จะสูญพันธุ์ มนุษย์ hominids สายพันธุ์อีกชนิดหนึ่งก็ปรากฏขึ้นในแอฟริกาตะวันออก สายพันธุ์นี้เป็นที่รู้จักกันตอนนี้ว่า Homo eructus หรือ "มนุษย์ผู้ยืนตัวตรง" นักมานุษยวิทยาบางคนเชื่อว่า Homo
erectus เป็นสายพันธุ์ที่ฉลาดและปรับตัวได้ดีกว่า Homo habilis มนุษย์ homo erectus ใช้ปัญญาในการพัฒนาเทคโนโลยี
ซึ่งเป็นวิธีการใช้ความรู้เครื่องมือและสิ่งประดิษฐ์เพื่อตอบสนองความต้องการของพวกเขา
มนุษย์ hominids เหล่านี้ค่อย ๆ
กลายเป็นนักล่าที่มีความชำนาญและคิดค้นเครื่องมือที่ทันสมัยมากขึ้นสำหรับการขุด การทำให้เป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยและตัด ในที่สุด พวกเขาก็กลายมนุษย์ hominids พวกแรกที่อพยพจากแอฟริกา ฟอสซิลและเครื่องมือหินแสดงให้เห็นว่า พวกนักล่า Homo erectus ได้ตั้งรกรากอยู่ในประเทศอินเดีย จีน เอเชียตะวันออกเฉียงใต้และยุโรป
ตามความคิดเห็นของนักมานุษยวิทยา มนุษย์ Homo erectus เป็นพวกแรกที่ใช้ไฟ
ไฟให้ความอบอุ่นในสภาพอากาศเย็น ปรุงอาหารให้สุกและขับไล่สัตว์ที่จะเข้ามาทำร้าย
การรู้จักใช้ไฟยังอาจช่วยมนุษย์ Homo erectus ก่อตั้งดินแดนใหม่ มนุษย์ homo erectus อาจจะเริ่มต้นพัฒนาภาษาพูด
ภาษา คือ เทคโนโลยีที่ทำให้มนุษย์ Homo erectus ควบคุมสภาพแวดล้อมได้มากขึ้นและเพิ่มโอกาสในการอยู่รอด
การทำงานเป็นทีมจำเป็นในการวางแผนการล่าสัตว์และการให้ความร่วมมือในงานอื่น ๆ
บางทีก็ใช้ภาษา มนุษย์ homo erectus อาจจะมีการตั้งชื่อวัตถุ
สถานที่ สัตว์และพืชและการแลกเปลี่ยนความคิด
กำเนิดมนุษย์สมัยใหม่
นักวิทยาศาสตร์หลายคนเชื่อว่าในที่สุดมนุษย์ Homo erectus ก็พัฒนาเป็นมนุษย์ Homo sapiens ซึ่งเป็นสายพันธุ์มนุษย์สมัยใหม่ homo
sapiens แปลว่า "คนฉลาด หรือ ผู้รู้"
ในขณะที่ร่างกายของพวกเขาคล้ายกับมนุษย์ Homo erectus แต่มนุษย์ Homo sapiens มีสมองขนาดใหญ่มากกว่า
ตามปกติแล้ว
นักวิทยาศาสตร์ได้จัดมนุษย์นีแอนเดอร์ธาล (Neanderthals) และมนุษย์โครมายอง Cro-Magnons ไว้ในกลุ่มมนุษย์ Homo
sapiens ยุคแรก แต่ในปี 1997 การทดสอบดีเอ็นเอ (DNA) โครงกระดูกมนุษย์ Neanderthals ชี้ให้เห็นว่า มนุษย์ Neanderthals ไม่ได้เป็นบรรพบุรุษของมนุษย์สมัยใหม่ อย่างไรก็ตามพวกเขาก็ได้รับผลกระทบจากการปรากฏขึ้นของมนุษย์โครมายองที่อาจจะมาแข่งขันกันแย่งที่ดินและอาหาร
วิธีชีวิตของมนุษย์ Neanderthals ในคริสต์ศักราช 1856 ในขณะที่คนงานเหมืองหินกำลังขุดหินปูนในหุบเขานีอันเดอร์ (Neander
Valley) ในเยอรมนี พวกเขาพบเศษกระดูกฟอสซิล
กระดูกฟอสซิลเหล่านี้เป็นซากของมนุษย์ Neanderthals ซี่งพบกระดูกในที่อื่น ๆ ในยุโรปและเอเชียตะวันตกเฉียงใต้
คนเหล่านี้ถูกสร้างขึ้นอย่างแข็งแรง พวกเขามีขนคิ้วหนาลาดเอียง
กล้ามเนื้อมีการพัฒนาเป็นอย่างดีและมีกระดูกหนา
การค้นพบทางโบราณคดีแสดงให้เห็นภาพที่สมจริงมากขึ้นของมนุษย์ hominids ยุคแรกเหล่านี้ที่มีชีวิตอยู่ระหว่าง 200,000 และ 30,000 ปีที่ผ่านมา
มนุษย์ Neanderthals ได้พัฒนาความเชื่อทางศาสนาและการทำพิธีกรรม ประมาณ 60,000 ปีที่ผ่านมา มนุษย์ Neanderthals ได้จัดงานศพให้มนุษย์ในถ้ำชานิดาร์
(Shanidar Cave) ที่ตั้งอยู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของอิรัก นักโบราณคดีบางพวก สร้างทฤษฎีว่า ในช่วงงานศพครอบครัวของมนุษย์ Neanderthals ได้คลุมร่างกายของเขาด้วยดอกไม้
งานศพนี้ชี้ให้เห็นความเชื่อในเรื่องโลกหลังความตาย นักล่าฟอสซิล
ชื่อ ริชาร์ด ลีกคี (Richard Leakey) ลูกชายของหลุยส์และแมรี
ลีกคี ได้เขียนเกี่ยวกับความหมายของการฝังศพของมนุษย์ Neanderthals ไว้ดังนี้:
เหตุการณ์ที่ถ้ำชานิดาร์. . . กล่าวถึงความรู้สึกลึกซึ้งที่มีต่อคุณภาพทางจิตวิญญาณของชีวิตอย่างชัดเจน ความกังวลในชะตากรรมของวิญญาณมนุษย์เป็นสากลในสังคมมนุษย์ในทุกวันนี้และก็เห็นได้ชัดว่ารูปแบบของสังคมของมนุษย์ Neanderthals ก็เหมือนกับสังคมปัจจุบัน
มนุษย์ Neanderthals มีสติปัญญาดี
สามารถรับมือกับสถานการณ์ต่าง ๆ ได้ดี
จึงมีชีวิตอยู่รอดได้ในฤดูหนาวจัดในยุคน้ำแข็ง โดยการอาศัยอยู่ในถ้ำหรือที่กำบังชั่วคราวที่ทำจากไม้และหนังสัตว์
กระดูกสัตว์ที่พบกับซากฟอสซิลของมนุษย์ Neanderthals แสดงให้เห็นว่า
พวกเขามีความสามารถในการล่าสัตว์ในภูมิภาคใกล้ขั้วโลกเหนือในยุโรป ทำหินเป็นคม
ทำเครื่องขูดและเครื่องมืออื่น ๆ สำหรับหั่นและถลกหนังสัตว์ มนุษย์ Neanderthals มีชีวิตอยู่เป็นเวลาประมาณ 170,000 ปี
และหายสาบสูญไปเมื่อประมาณ 30,000 ปีผ่านไปอย่างไร้ร่องรอย
มนุษย์โครมายอง (Cro-Magnons) ประมาณ 40,000 ปีที่ผ่านมา
มนุษย์ยุคก่อนประวัติศาสตร์ที่เรียกว่า โครมายอง ก็ปรากฏขึ้น
ซากโครงกระดูกของมนุษย์โครมายองเหมือนกับมนุษย์สมัยใหม่
เป็นไปได้ว่ามนุษย์โครมายองแข็งแรงและโดยทั่วไปสูงประมาณ 5 ฟุตครึ่ง
มนุษย์โครมายองได้อพยพจากแอฟริกาตอนเหนือไปยังยุโรปและเอเชีย
มนุษย์โครมายองได้สร้างเครื่องมือใหม่
ๆ มากมายเพื่อปรับใช้ให้เข้ากับสภาวะบางอย่าง การล่าสัตว์ก็มีการวางแผน
ซึ่งไม่เหมือนมนุษย์ Neanderthals ที่ไม่มีการวางแผน
มนุษย์โครมายองจะศึกษานิสัยสัตว์ก่อนแล้วจึงไล่ล่า
วิธีการล่าสัตว์อันยอดเยี่ยมของมนุษย์โครงมายองทำให้พวกเขาดำรงชีวิตอยู่ได้ง่ายมากขึ้น
ข้อนี้อาจะเป็นสาเหตุให้ประชากรของมนุษย์โครมายองวิวัฒนาการในอัตราที่เร็วกว่าเล็กน้อย
และในที่สุดก็ปรากฏขึ้นมาแทนที่มนุษย์นีแอนเดอร์ธาล
ความสามารถอันรุดหน้าในภาษาที่ใช้พูดของมนุษย์โครมายองอาจจะช่วยให้พวกเขาวางโครงการที่ยากได้มากขึ้น
บางทีการร่วมมือนี้ทำให้พวกเขาได้เปรียบมนุษย์นีแอนเดอร์ธาล
|
แผนที่การอพยพของมนุษย์ยุคแรก 1,600,000 - 10,000 ปี ก่อน ค.ศ. |
การค้นพบใหม่ ๆ เพิ่มเติมความรู้ได้มากขึ้น
นักวิทยาศาสตร์ยังทำงานต่อไปเรื่อย ๆ
ในสถานที่ต่าง ๆ มากมายในแอฟริกา การค้นพบของพวกเขาได้เปลี่ยนแปลงแนวความคิดเกี่ยวกับความเข้าใจในแหล่งกำเนิดของมนุษย์ที่ยังไม่ชัดเจนและการอพยพออกจากแอฟริกาของมนุษย์ยุคแรก
ซากฟอสซิล เครื่องมือ
และภาพวาดผนังถ้ำ ซากฟอสซิลที่ค้นพบใหม่
ๆ ในประเทศชาดและเคนยา ซึ่งมีอายุระหว่าง 6 และ 7 ล้านปี มีลักษณะคล้ายลิงเอป (Ape) แต่ก็มีบางอย่างคล้ายกับมนุษย์โฮมินิด
การศึกษาซากฟอสซิลเหล่านี้ยังดำเนินต่อไป แต่หลักฐานบอกเป็นนัยว่า
พวกเขาอาจจะเป็นมนุษย์โฮมินิดยุคแรกสุด ขากรรไกรอายุ 2.33
ล้านปีที่ได้จากประเทศเอธิโอเปียคือซากฟอสซิลที่เก่าแก่ที่สุดอาจจะนำไปสู่การค้นพบมนุษย์ได้
เครื่องมือหินที่ค้นพบในสถานที่เดียวกันชวนให้คิดว่าการทำเครื่องมืออาจจะเริ่มต้นขึ้นเร็วกว่าที่คิดไว้แต่แรก
การค้นพบใหม่ ๆ
ยังเพิ่มเติมความรู้เกี่ยวมนุษย์ยุคก่อนประวัติศาสตร์ที่ทราบกันแล้ว
ยกตัวอย่างเช่น ในคริสต์ศักราช 1996 ทีมงานนักวิจัยจากประเทศแคนาดาและสหรัฐ
ประกอบด้วยนักศึกษาระดับไฮสคูลจากนิวยอร์ก ค้นพบขลุ่ย (Flute) ของมนุษย์นีแอนเดอร์ธาลที่ทำด้วยกระดูกมีอายุ
43,000 ถึง 82,000 ปี
การค้นพบนี้ช่วยให้ทราบถึงพรสวรรค์ของมนุษย์นีแอนเดอร์ธาลในด้านการแสดงออกทางดนตรีที่ยังไม่เคยทราบมาก่อนได้
การค้นพบภาพวาดสัตว์และมนุษย์ที่ผนังถ้ำมีอายุตั้งแต่ 35,000
ปีแรกที่ผ่านมา
ให้ข้อมูลการทำกิจกรรมประจำวันและบางทีอาจจะเป็นการปฏิบัติพิธีกรรมทางศาสนาของมนุษย์เหล่านี้
ความสามารถและเครื่องมือของมนุษย์ยุคแรกสำหรับการใช้ชีวิตให้อยู่รอดและการปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมมีความช่ำชองมากขึ้นตามกาลมีเวลา
ความก้าวหน้าในด้านเทคโนโลยีก็เป็นอีกวิธีหนึ่งในการปฏิวัติวิถีการดำเนินชีวิตของมนุษย์
กะโหลกศีรษะมนุษย์ Hominid
ค้นพบที่ประเทศชาด
|
การค้นพบในประเทศชาด ในคริสต์ศักราช 2002
ทีมงานนักวิทยาศาสตร์นานาชาติได้แถลงการณ์การค้นพบกะโหลกศีรษะมีอายุ 6-7 ล้านปี
ทางตอนเหนือของประเทศชาด กะโหลกศีรษะมีขนาดเท่ากับกะโหลดศีรษะลิงชิมแปนซีสมัยใหม่
ให้สมญานามว่า Toumai หรือ “ความหวังของชีวิต” เป็นบรรพบุรุษของมนุษย์ยุคแรกสุดดังที่ค้นพบในปัจจุบัน
ตามความจริงมีอายุล้านปี แก่กว่ามนุษย์ Hominin ที่รู้จักกันมาก่อนว่าแก่ที่สุด
กะโหลกศีรษะนั้นมีอายุตั้งแต่ยุคที่นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าบรรพบุรุษของมนุษย์แยกเผ่าพันธุ์ออกมาจากวงศ์ลิงใหญ่
เป็นกะโหลกศีรษะของมนุษย์จริง ๆ
หรือของลิงใหญ่จำเป็นต้องมีการศึกษาอย่างกวางขวางต่อไป
ภาพวาดผนังถ้ำ
มีการค้นพบภาพวาดผนังถ้ำ ที่มนุษย์ยุคแรกวาดขึ้นอยู่ทุก ๆ ทวีป ที่เก่าแก่ที่สุดประมาณ 35,000 ปีที่ผ่านมา ภาพวาดผนังถ้ำในยุโรปและแอฟริกามักจะแสดงภาพการล่าสัตว์และกิจกรรมประจำวัน อีกประการหนึ่ง ในอเมริกาและออสเตรเลีย ภาพวาดมีแนวโน้มว่าจะเป็นสัญลักษณ์มากกว่าและมีความเป็นจริงน้อย
นักวิชาการไม่แน่ใจเกี่ยวกับวัตถุประสงค์ของภาพวาดผนังถ้ำ อาจจะเป็นพิธีกรรมเกี่ยวกับเวทย์มนตร์คาถา พิธีการล่าสัตว์ หรือไม่ก็เป็นการพยายามทำเครื่องหมายเหตุการณ์ในช่วงฤดูต่าง ๆ อีกทฤษฎีหนึ่งเชื่อว่า ภาพวาดผนังถ้ำ (โดยเฉพาะที่มีความเป็นจริงมากกว่า) อาจจะวาดสิ่งแวดล้อมรอบ ๆ ตัวมนุษย์
|
แผนที่จุดที่ค้นพบภาพวาดผนังถ้ำ |
|
1. ภาพวาดผนังถ้ำที่เทือกเขา Tassili n’Ajer ประเทศ Algeria ภาพวาดเหล่านี้มีผู้หญิง เด็ก ๆ และฝูงปศุสัตว์ Tassili n’Ajer ตั้งอยู่ในประเทศแอลจีเรียมีภาพวาดมากกว่า 15,000 ภาพ กล่าวถึงการเปลี่ยนแปลงฤดูกาล การอพยพของสัตว์ และการเปลี่ยนแปลงในชีวิตของมนุษย์ ภาพวาดที่เก่าแก่ที่สุดมีอายุย้อนไปประมาณ 6,000 ปีก่อน ค.ศ. ภาพวาดเหล่านี้ยังวาดมาเรื่อย ๆ จนถึงประมาณคริสต์ศตวรรษที่ 2
|
|
2. ภาพวาดผนังถ้ำที่ถ้ำ Cuevas de las Manos ในประเทศอาร์เจนตินา ถ้ำ Cuevas de las Manos (ถ้ำมือ) ตั้งอยู่ในหุบเขาลึก Rio pinturas ทางตอนเหนือของเมือง ซานตา ครูซ (Santa Cruz) ประเทศอาร์เจนตินา ผนังถ้ำเป็นหินมีภาพวาดมือจำนวนมากมายมีสีสว่างจ้า ชนชาว Tehuelches ได้สร้างภาพวาดเหล่านี้ขึ้นระหว่าง 13,000 และ 95,000 ปีที่ผ่านมา ถ้ำนี้ลึกประมาณ 78 ฟุต และที่ทางเข้ากว้างประมาณ 48 ฟุต สูง 32 ฟุต
|
|
3. ภาพวาดผนังถ้ำลัสโก (Replica of Lascaux) ประเทศฝรั่งเศส ค้นพบใน ค.ศ. 1940 มีภาพวาดสัตว์และสัญลักษณ์มากกว่า 600 ภาพ ผลงานเหล่านี้น่าจะวาดขึ้นระหว่าง 15,000 และ 13,000 ปี ก่อน ค.ศ. ใน ค.ศ. 1963 ห้ามประชาชนเข้าไปในถ้ำ เนื่องจากมีผู้คนเข้าไปชมจำนวนมากมายและใช้แสงสว่างที่ไม่เป็นธรรมชาติทำลายภาพวาด คนที่เข้าไปเที่ยวชมวาดภาพขึ้นมาหลอก ๆ (วาดเลียนแบบของจริง-มือบอน) ประมาณปีละ 300,000 คน
|
|
4. ภาพวาดผนังถ้ำคนพื้นเมืองออสเตรเลีย
(Australian Aboriginal Cave Painting) ภาพวาดผนังถ้าคนพื้นเมืองนี้อยู่ในอุทยานแห่งชาติ Kakadu ประเทศออสเตรเลีย
คนพื้นเมืองอาศัยอยู่ในพื้นที่บริเวณนี้เป็นเวลาอย่างน้อย 25,000 ปี ภาพวาดบรรยายถึงปลา Barramundi และจิตวิญญาณในขณะฝัน
ในวัฒนธรรมพื้นเมือง เวลาฝันคือสิ่งผ่านไปแล้วที่มหัศจรรย์
ซึ่งคนสมัยโบราณสร้างขึ้นและทำให้ธรรมชาติเป็นของมนุษย์
|
|
|
จากหลักฐานที่นักประวัติศาสตร์ค้นพบ สรุปว่า มนุษย์ยุคแรกมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา นักประวัติศาสตร์เห็นพ้องกันว่า มนุษย์ยุคแรกเป็น “เผ่าเร่ร่อนล่าสัตว์” พวกเขาล่าสัตว์และสะสมพืชพันธุ์ธัญญาหารไว้เพื่อเป็นอาหาร ไม่นานนัก เมื่อการล่าและการสะสมไม่เพียงพอต่อความต้องการ พวกจะเขาอพยพไปอยู่ที่อื่น ๆ
|
แผนที่ลำดับเหตุการณ์ประวัติศาสตร์โลก |
การปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อม มนุษย์ยุคแรกอาศัยสภาพแวดล้อมเป็นที่อยู่อาศัย บางพวกก็อาศัยอยู่ในถ้ำและเพิงหิน พวกที่อาศัยอยู่ในที่ราบและทะเลทราย อาจจะสร้างที่อยู่อาศัยจากกิ่งไม้และรากของต้นไม้ หรือหนังสัตว์ที่ล่ามาได้ เผ่าเร่ร่อนล่าสัตว์เหล่านั้นอยู่กันเป็นกลุ่มเล็กกลุ่มน้อย แต่ละกลุ่มก็สร้างครอบครัวกันขึ้นมากมาย ขนาดของกลุ่มอาจมีถึง 30 คน แสดงให้เห็นว่าบรรพบุรุษของมนุษย์เลี้ยงชีวิตด้วยพืชและสัตว์ในภูมิภาคที่ตนเองยึดได้ ผู้ชายจะล่าสัตว์และตกปลา ผู้หญิงจะเก็บอาหาร เช่น ผลไม้เล็ก ๆ และจำพวกถั่วซึ่งขึ้นอยู่ในป่า และยังดูแลลูก ๆ ให้ช่วยทำงานอีกด้วย
แผนที่แสดงเส้นทางการอพยพของมนุษย์ยุคแรก |
|
ลำดับเหตุการณ์ประวัติศาสตร์โลก |
มนุษย์ยุคแรก เป็นนักเร่ร่อน จึงอพยพไปเรื่อย ๆ การอพยพบ่อย ๆ ก็มีขอบเขตจำกัด
หลายกลุ่มจึงกลับมายังที่เดิม เมื่อเปลี่ยนฤดู มนุษย์ในยุคแรกยังอพยพไปยังผื่นแผ่นดินใหม่และไกลออกไปอีกด้วย พฤติการณ์การย้ายจากที่หนึ่งเพื่อไปตั้งรกรากยังที่อื่น จึงเรียกกันว่า “การย้ายถิ่นฐาน” การย้ายถิ่นฐานอาจจะเป็นผลมาจากการตามล่าสัตว์
เมื่อ ประมาณ 13,000 ปี ก่อนคริสต์ศักราช เผ่าเร่ร่อนล่าสัตว์จะย้ายถิ่นฐานไปหลายแห่งทั่วโลก พวกเขาอาจจะท่องเที่ยวข้ามแผ่นดินที่เป็นสะพานเชื่อมระหว่างไซบีเรียและอลาสกา
ด้วยวิธีนี้ พวกเขาจึงเคยเข้าไปยังทวีปอเมริกา ชนกลุ่มที่ย้ายถิ่นฐานเข้าไปยังอาณาเขตของชนอีกกลุ่มหนึ่งมีทั้งข้อดีและข้อเสีย
คือ
เจ้าถิ่นจะได้ประโยชน์เมื่อได้รับการแบ่งปันความรู้และเครื่องมือ แต่ถ้าบางครั้งพวกเขารู้สึกว่าถูกคุกคามจากผู้มาใหม่ที่พวกเขาคิดว่าจะพยายามยึดอาณาเขตของพวกเขา
ก็จะกลายเป็นคนดุร้าย บางครั้งพวกเขาอาจจะกลัวผู้มาใหม่เพียงเพราะความแตกต่างกัน
|
ทุ่งหญ้าสวันนาในทวีปแอฟริกา |
การพัฒนาเครื่องมือและการเพาะปลูก
เทคโนโลยีมีอยู่หลายวิธีที่มนุษย์ยุคแรกประยุกต์ใช้ความรู้
เครื่องมือ และสิ่งประดิษฐ์
เพื่อค้นหาสิ่งที่พวกเขาต้องการ นับย้อนไปในสมัยมนุษย์ยุคแรก
พวกเขาจะพึ่งพาเครื่องมือเพื่อช่วยทำงานให้ง่ายขึ้น
การพัฒนาเทคโนโลยี อย่างน้อยที่สุดเมื่อสองล้านปีที่ผ่านมา มนุษย์ได้สร้างเครื่องมือจากหินเพื่อช่วยในการตัด
มนุษย์ยุคแรกยังทำกระเป๋าสะพาย ขวานมือจากหิน
เหล็กหมาด (เครื่องมือสำหรับเจาะรูในแผ่นหนังหรือแผ่นไม้)
และสว่านได้ด้วย ในยุคนั้น
มนุษย์ได้พัฒนาเครื่องมือสลับซับซ้อนมาก เช่น ธนูสำหรับล่าสัตว์ที่ทำจากไม้ พวกเขาเรียนรู้ในการทำใบหอกจากหินเหล็กไฟและเครื่องมือจากโลหะ
มนุษย์ในยุคแรกใช้เครื่องมือเพื่อล่าและฆ่าสัตว์และสร้างที่อยู่อาศัยแบบง่าย
ๆ เทคโนโลยีที่เป็นเครื่องมือชนิดใหม่ ๆ
เหล่านี้ ทำให้มนุษย์บังคับควบคุมสภาพแวดล้อมได้ เครื่องมือเหล่านี้
ยังทำให้เกิดความสะดวกสบายในวิถีชีวิตของมนุษย์อีกด้วย
|
เครื่องมือของมนุษย์ยุคแรก
ในภาพ มีจอบสำหรับขุดดิน
ฉมวกและขวาน |
การใช้ไฟ ประมาณ 500,000 ปีที่ผ่านมา มนุษย์ยุคแรกรู้จักการใช้ไฟและควบคุมไฟ ไฟมีสองชนิด คือ ความร้อนและที่เป็นดวงไฟ ใช้สำหรับปรุงอาหารและป้องกันภัยจากสัตว์ร้าย
มนุษย์ยุคแรกยังใช้ไฟสำหรับทำเครื่องมือที่ทำจากโลหะได้ด้วยโดยการเอาโลหะมาเผาไฟและตีเป็นเครื่องมือต่าง
ๆ
วัฒนธรรมของมนุษย์ยุคแรก มนุษย์ยุคแรกได้สร้างวัฒนธรรมของตนเอง คุณลักษณะพิเศษนี้ ทำให้มนุษย์แตกต่างจากสัตว์ชนิดอื่น
ๆ ศิลปะ ภาษา
และศาสนา เป็นเอกลักษณะของมนุษย์
เป็นไปได้มากว่า ภาษาของมนุษย์ที่พัฒนาขึ้นมา
ก็เนื่องจากคนปรารถนาที่จะทำงานร่วมกัน ทฤษฎีหนึ่งเสนอแนะว่า
การพัฒนาภาษาเพื่อปลุกเร้าในการล่าสัตว์ อีกทฤษฎีหนึ่งเสนอว่า
ภาษาน่าจะพัฒนาขึ้นมาเนื่องจากความปรารถนาที่จะอยู่รวมกันและแบ่งปันอาหารกัน
ศาสนา คือ การเคารพบูชาเทพเจ้าองค์เดียว
เทพเจ้าหลายองค์ หรือ วิญญาณต่าง ๆ (เป็นความคิดของชาวตะวันตก ถ้าทางตะวันออก ศาสนา หมายถึง คำสอนเรื่องสิ่งที่เป็นบาปบุญคุณโทษ
เป็นประโยชน์หรือไม่เป็นประโยชน์ต่อชีวิต โดยเฉพาะพุทธศาสนา
ไม่มีเรื่องเคารพบูชาเทพเจ้าหรือวิญญาณเลย จึงไม่ใช่ศาสนาในแนวคิดของชาวตะวันตก
หรือ religion = ผู้จัดทำ) อาจเป็นไปได้ว่า มนุษย์ยุคแรกเชื่อว่า
ทุกสิ่งทุกอย่างในธรรมชาติ รวมทั้งหิน
ต้นไม้ และสัตว์ทุกชนิด มีวิญญาณสิงอยู่
นักโบราณคดี เชื่อว่า จิตรกรรมกำแพงถ้ำในยุคแรกที่เป็นเรื่องราวของสัตว์ต่าง ๆ ถูกทำขึ้นก็เพราะความเคารพนับถือในดวงวิญญาณของสัตว์ที่ถูกฆ่ามาทำเป็นอาหาร
ศิลปะในยุคแรกให้ความรู้อย่างลึกซึ้งแก่พวกเราในการดำเนินชีวิตประจำวันของมนุษย์และความเชื่อร่วมกันของมนุษยชาติ
มนุษย์ยุคแรกทั่วทุกมุมโลก
จะสร้างสรรค์ศิลปะไว้ในถ้ำและที่อยู่อาศัยที่เป็นหิน ศิลปะถ้ำยุคแรกมากกว่าสองร้อยแห่ง
ถูกค้นพบในประเทศฝรั่งเศสและประเทศสเปน ศิลปะกำแพงถ้ำ
อายุเก่าแก่ถึงพันปี แสดงรูปวัวกระทิง ม้าตัวผู้
วัวไบซัน (วัวกระทิงอเมริกา) อย่างมีชีวิตชีวา ในทวีปแอฟริกา เอเชีย ยุโรป ออสเตรเลีย และอเมริกา ก็มีศิลปะของมนุษย์ยุคแรก มนุษย์ยุคแรกยังได้สร้างสรรค์ศิลปะที่พวกเขาสามารถนำติดตัวไปได้อีกด้วย
ตัวอย่างเช่น เพชรและรูปแกะสลักเล็ก ๆ มนุษย์ยุคแรกอาจจะสวมใส่สิ่งของเหล่านี้ บางอย่างมีความหมายทางด้านศาสนาและจิตวิญญาณ
ศิลปะยังรวมถึงดนตรี การเต้นรำ
และนิยายอีกด้วย ซึ่งนำมาปฏิบัติกันที่ไหนก็ได้
เข้าสู่ยุคเกษตรกรรม
มนุษย์เป็นเผ่าเร่ร่อน พวกเขาอพยพไปเรื่อย
ๆ เพื่อหาอาหาร ประมาณ 8,000 ปี ก่อนคริสต์ศักราช แม้พวกเขาจะเรียนรู้การเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมด้วยการปลูกพืชและเลี้ยงสัตว์
การเปลี่ยนแปลงทางด้านอากาศ อุณหภูมิเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เป็นเหตุให้ธารน้ำแข็งในยุคน้ำแข็งเกิดการละลาย
ทำให้มนุษย์ยุคแรกสามารถอพยพไปในพื้นที่ใหม่ ๆ ได้ อุณหภูมิสูงขึ้น ฤดูกาลก็ยาวออกไป เกิดทุ่งหญ้าขึ้นแผ่กระจายไปทั่วป่า
และมนุษย์ก็เริ่มคุ้นเคยกับทุ่งหญ้า กล่าวคือ
มนุษย์เรียนรู้ในการเพาะปลูกและดูแลทุ่งหญ้า
|
จิตรกรรมผนังถ้ำในถ้ำลาสโกซ์ (Lascaux) ประเทศฝรั่งเศส
ในภาพมีม้าและวัวกระทิง อาจจะมีอายุประมาณ 17,000 ปี |
การเลี้ยงสัตว์ มนุษย์ในยุคแรกยังเรียนรู้อีกด้วยว่า
สัตว์สามารถจับมาฝึกให้เชื่องได้ ความรู้ความชำนาญในเรื่องสัตว์ของพวกนักล่า มีบทบาทมากในการเลี้ยงสัตว์
ในระหว่างการล่าสัตว์ พวกเขาจะไล่ฝูงสัตว์เข้าไปในหุบเขาลึกเพื่อฆ่ามันมาเป็นอาหาร
การไล่สัตว์เข้าไปในรั้วที่มนุษย์ล้อมไว้ อาจจะพัฒนามาจากการไล่ต้อนเข้าไปในหุบเขา สัตว์ที่ล้อมไว้ในรั้ว
อาจจะเก็บไว้เพื่อเป็นอาหารได้นาน และสุดท้ายก็เลยเลี้ยงมันไว้เพื่อเป็นอาหาร
มนุษย์ยุคแรกเรียนรู้ในการเลี้ยงสัตว์ชนิดแรก เมื่อประมาณ 9,000 ปีก่อนคริสต์ศักราช สัตว์ที่เลี้ยงไว้
เป็นแหล่งอาหาร เสื้อผ้า และผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ได้อย่างมั่นใจ มนุษย์ยุคแรกใช้หนังสัตว์ทำเป็นเครื่องนุ่งห่มและที่อยู่อาศัย
พวกเขาสร้างฉมวก เข็ม และอุปกรณ์ชนิดอื่นจากกระดูกสัตว์
สัตว์หลายชนิด เช่น ม้า ลามา และอูฐ ใช้เป็นพาหนะสำหรับมนุษย์และขนส่งสินค้า
บางครั้ง พวกมนุษย์ก็เลี้ยงสุนัขไว้ช่วยล่าสัตว์ป่าด้วย
เนื่องจากมนุษย์ยุคแรก พึ่งพาสัตว์และผลิตภัณฑ์จากสัตว์
ซึ่งจำเป็นมากสำหรับชีวิตมนุษย์ในยุคนั้น การเลี้ยงสัตว์ไว้จึงมีประโยชน์เป็นอันมาก
การเปลี่ยนแปลงด้านเกษตรกรรม ความรู้เรื่องการล่าสัตว์นำไปสู่การเลี้ยงสัตว์
ฉันใด ความเข้าใจเรื่องการปลูกพืชก็กระตุ้นให้รู้จักการทำนา
ฉันนั้น พวกที่สะสมอาหารไว้
สังเกตเห็นว่า เมล็ดข้าวงอกออกมาจากเมล็ดข้าวที่ทำตกไว้
มนุษย์จึงค่อย ๆ ได้ความคิดเรื่องเกษตรกรรม
หรือการปลูกพืชพันธุ์ธัญญาหาร การเปลี่ยนแปลงทางเกษตรกรรม
จึงพัฒนาจากการสะสมอาหารมาเป็นการปลูกอาหาร เป็นไปได้ว่า เกษตรกรรมเริ่มขึ้นในทวีปเอเชีย
ประมาณ 8,000 ปี ก่อนคริสต์ศักราช ภายในห้าพันปี ก็เจริญรุ่งเรืองในทวีปแอฟริกา
เอเชีย และทวีปอเมริกาทั้งหมดก็หันมาทำเกษตรกรรม
ครั้นแล้วการทำนาก็กระจายไปทั่ว การเปลี่ยนแปลงทางด้านเกษตรกรรมก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางด้านเครื่องมือและเทคโนโลยี
ผู้คนก็สร้างจอบเสียมเพื่อพรวนดิน ไถมาช่วยในการปลูกพืช
สร้างเคียวมาช่วยเก็บเกี่ยวข้าว ในขณะที่เทคโนโลยีและวิธีการทำนาพัฒนาขึ้น
เกษตรกรรมก็เป็นแหล่งอาหารที่สำคัญที่สุดของมนุษย์ ผืนแผ่นดินที่ได้มาก็หาอาหารให้มนุษย์มากกว่าการล่าสัตว์และสะสมอาหาร
เหมาะสำหรับประชากรที่เพิ่มมากขึ้นและเป็นโอกาสที่ดีกว่าในการตั้งรกรากในสถานที่แห่งใดแห่งหนึ่ง
สังคมแห่งแรกของมวลมนุษยชาติ
หมู่บ้านเกษตรกรรมพัฒนากระจายไปทั่วโลก เกษตรกรรมในยุคแรก พัฒนาไปในพื้นที่ที่หาน้ำได้ เช่น
ในหุบเขาที่มีแม่น้ำ การชลประทานคือการให้น้ำแก่ผืนแผ่นดินที่แห้งแล้ง โดยการใช้ระบบท่องร่อง
ท่อ และลำธาร ดินที่อุดมสมบูรณ์ในบริเวณนี้ยังคงผลิตพืชภัณฑ์ธัญญาหารได้เป็นอันมากและอุดมสมบูรณ์
ซึ่งดึงดูดชาวนาให้หลั่งไหลมา ชาวนาก็ตั้งรกรากเป็นหมู่บ้านขนาดใหญ่และออกไปนาเพื่อทำงาน หมู่บ้านก็เติบโตเป็นหลายพันคน
ชีวิตของคนในหมู่บ้านก็ได้รับผลประโยชน์เป็นอันมาก อาหารก็อุดมสมบูรณ์มากขึ้น
ประชากรที่อาศัยอยู่กันเป็นกลุ่มใหญ่ ๆ สามารถป้องกันผู้บุกรุกได้ง่ายขึ้น ชีวิตของคนในหมู่บ้านก็ยังมีข้อบกพร่องอยู่เกี่ยวกับความเสี่ยงต่ออัคคีภัย
โรคต่าง ๆ และน้ำท่วม
|
ภาพเครื่องปั้นดินเผาในประเทศฮังการี แสดงคนถือเคียวซึ่งเป็นเครื่องมือทางการเกษตร มีอายุประมาณ 4,500 ปี ก่อนคริสต์ศักราช |
เกิดการพัฒนามากจนเกินความต้องการ เนื่องจากเทคโนโลยีทางด้านเกษตรกรรมพัฒนาขึ้น บางครั้ง ชาวนาก็ผลิตได้มากจนเกินความต้องการ เกินความจำเป็นสำหรับชีวิตประจำวัน
ยกตัวอย่างเช่น ชาวนาอาจจะปลูกข้าวได้มากกว่าจำนวนคนในครอบครัวและในหมู่บ้าน
ผลผลิตที่มากจนเกินไปเหล่านี้ไม่จำกัดเฉพาะอาหาร
แต่ยังรวมวัสดุที่ทำเสื้อผ้าและผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ยกตัวอย่างเช่น คนเลี้ยงแกะ
อาจจะมีขนแกะมากเกินไป ของที่มากเกินไปในฤดูปกติ
ก็ช่วยให้ชาวบ้านอยู่รอดปลอดภัยในฤดูที่เลวร้าย เมื่อชาวบ้านเจริญรุ่งเรืองขึ้น
พวกเขาก็สามารถช่วยเหลือสนับสนุนคนอื่นได้มากขึ้น ประชากรก็เพิ่มขึ้น เศรษฐกิจก็มีหลากหลายเท่าที่คนจะพัฒนาทักษะพิเศษได้
เกิดการพัฒนาทักษะต่าง ๆ หลากหลาย ในขณะที่ชาวนามีผลผลิตมากเกินไป ไม่ใช่ทุกคนที่ต้องสะสมอาหาร
คนเป็นผู้เชี่ยวชาญในงานชนิดอื่น ๆ ก็มี ความเชี่ยวชาญก็เป็นฝีมือในงานชนิดหนึ่ง
ช่างปั้นดินเผาและช่างทออาจจะเป็นความชำนาญชนิดแรก
พวกเขาได้ทำผลผลิตที่ทุกคนสามารถใช้ได้ ตุ่มน้ำได้ทำขึ้นมาเพื่อบรรจุและเก็บน้ำและอาหาร
ช่างทอก็ทำเครื่องนุ่งห่มจากฝ้าย ขนแกะ
และใยป่าน ซึ่งเป็นที่มาของผ้าลินิน
ช่างปั้นดินเผาและช่างทอ
ได้จำหน่ายผลิตภัณฑ์ของพวกเขาเพื่อแลกอาหาร
คนบางคนในชุมชนได้รับการยกย่องให้เป็นผู้ที่เคารพบูชา
ท่านผู้เป็นที่เคารพบูชาเหล่านี้ คนมักจะเรียกว่า หมอผี
ตีความเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ เช่น ฝนตก หรือไฟไหม้
ทำนายการเก็บเกี่ยวว่าดีหรือไม่ดี
เป็นผู้รักษาโรคซึ่งผู้คนคิดว่าเป็นผู้ที่ติดต่อกับโลกแห่งจิตวิญญาณได้
ผู้คนดังกล่าวพัฒนาเป็นพระสงฆ์ในเมืองแห่งแรก
วิถีชีวิตในหมู่บ้านเป็นแบบใหม่และแตกต่างกันมาก
ชนเผ่าเร่ร่อนล่าสัตว์มีชีวิตแบบเร่ร่อนย้ายจากสถานที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง
ชาวบ้านที่ตั้งรกรากอยู่ในสถานที่แห่งหนึ่งและพึ่งพาอาศัยการล่าสัตว์และเก็บรวบรวมอาหารเพียงอย่างเดียวได้ไม่นาน
เกษตรกรที่จึงได้ทำงานในการพัฒนาอาหารให้เพียงพอสำหรับทุกคนในหมู่บ้าน
การงานจึงมีความเชี่ยวชาญมากขึ้นด้วย
คนที่ไม่ใช่เกษตรกรก็ค้าขายสินค้าและการบริการอาหาร
หลายหมู่บ้านที่มีความเรียบง่าย
ก็พัฒนาเป็นสลับซับซ้อนมากขึ้น
ทรัพยากรล้นเหลือและความเชี่ยวชาญนำไปสู่การเจริญเติบโตของหมู่บ้าน
ชีวิตสลับซับซ้อนมากขึ้นในหมู่บ้านบางแห่งที่พัฒนาแล้ว
ความสัมพันธ์ทางสังคมก็สลับซับซ้อนมากขึ้นในขณะที่ประชากรในหมู่บ้านมีจำนวนมากขึ้น
ๆ
การเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิต อาหารเสริมและอุปกรณ์อื่น ๆ หมายความว่าผู้คนมากขึ้นสามารถอยู่ร่วมกันได้
ด้วยวิธีนี้ ผู้คนจำนวนมากก็ให้การสนับสนุนการเจริญเติบโตของหมู่บ้านและประชากร
ทรัพยากรล้นเหลือยังนำไปสู่การค้าขายเพิ่มขึ้น
คนที่อยู่ในหมู่บ้านแห่งหนึ่งอาจจะค้าขายอาหารที่ล้นเหลือเพื่อแลกกับเครื่องมือส่วนเกินจากหมู่บ้านอื่น
|
หมู่บ้านแห่งหนึ่งใกล้เทือกเขาแอตลาสในประเทศโมร็อกโกตอนเหนือของทวีปแอฟริกา
ซึ่งยังมีวิถีชีวิตติดต่อกันมามากกว่าหลายพันปี |
ในขณะที่เกษตรกรรมทำให้หมู่บ้านจำนวนมากผลิตทรัพยากรได้ล้นเหลือและความเชี่ยวชาญแพร่กระจายไป
วิธีการที่ผู้คนเกี่ยวข้องสัมพันธ์กันก็เปลี่ยนแปลงไป ช่างปั้นดินเผา ช่างทอและช่างฝีมืออื่น ๆ
มักจะใช้เวลาหลายปีในการเรียนรู้ทักษะของตนเอง
ผู้คนที่ได้รับการฝึกฝนทักษะและงานฝีมือ เรียกว่า ช่างฝีมือ ช่างไม้
ช่างประดิษฐ์เครื่องมือ
ช่างประดิษฐ์เสื้อผ้าและช่างปั้นดินเผาเป็นช่างฝีมือทั้งหมด
คนที่มีทักษะคล้ายกันพัฒนาเป็นชนชั้นกรรมาชีพ ด้วยวิธีนี้
ความเชี่ยวชาญก็นำไปสู่การพัฒนาชนชั้นทางสังคม
ชนชั้นทางสังคมคือกลุ่มคนที่มีขนบธรรมเนียม ภูมิหลัง
การฝึกอบรมและรายได้คล้ายคลึงกัน เช่น เกษตรกร ช่างฝีมือ นักบวชหรือนักปกครอง
ในขณะที่ชุมชนสมัยโบราณเจริญเติบโตเป็นหมู่บ้านที่ใหญ่ขึ้น
ประชาชนก็รู้สึกว่าต้องการกฎระเบียบและความเป็นผู้นำเพื่อรักษาระเบียบวินัยและการก่อเรื่องทะเลาะกัน
ประชาชนก็ได้พัฒนารูปแบบรัฐบาลในยุคแรก นั่นคือ
วิถีแห่งการสร้างระเบียบวินัยและจัดเตรียมภาวะผู้นำ
มนุษย์ยุคแรกออกกฎหมายมาเพื่อทำให้สังคมปลอดภัยและมั่นคงยิ่งขึ้น
|
สร้อยคอและเครื่องปั้นดินเผาเกิดขึ้นในอารยธรรมยุคแรกในเอเชียตะวันตกเฉียงใต้ แสดงถึงความมีทักษะพิเศษของมนุษย์ยุคแรก |
การดำเนินชีวิตในหมู่บ้านที่สลับซับซ้อน หมู่บ้านที่ซับซ้อนมีประชากรมากกว่าหมู่บ้านที่เรียบง่าย
มีผู้คนที่อาศัยอยู่ใกล้กัน ประชากรมากมายมีการใช้ทักษะ
ความคิดและความต้องการมากขึ้น
เป็นผลให้การใช้ชีวิตในหมู่บ้านที่ซับซ้อนแตกต่างและมีความซับซ้อนมากกว่าที่อยู่ในหมู่บ้านเรียบง่าย
หมู่บ้านที่ซับซ้อนไม่เหมือนเมืองในทุกวันนี้
ถึงแม้คนหนึ่ง หมู่บ้านแห่งหนึ่งในบรรดาหมู่บ้านเหล่านี้อาจจะมีมากเท่ากันคือ 8,000 คน
ก็จะค่อนข้างเล็กตามมาตรฐานของทุกวันนี้ อย่างไรก็ตาม หลายพันปีที่ผ่านมา
หมู่บ้านที่มีประชากร 8,000 คน ถือว่ามีขนาดใหญ่มาก
หมู่บ้านเกษตรกรรมส่วนมากมีคนที่อาศัยอยู่เพียงไม่กี่ร้อย
เทคโนโลยียังคงอยู่ในระยะแรก
การไฟฟ้า การขนส่งอย่างรวดเร็ว ระบบท่อระบายน้ำและอาคารคอนกรีตสนับสนุนจุนเจือชาวเมืองจำนวนมากในปัจจุบัน
ในสมัยโบราณเครื่องมือและเทคโนโลยีเหล่านี้ไม่มีการคิดค้น
เมืองชาทาล ฮูยุค ครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 32 ไร่
เป็นหมู่บ้านเกษตรกรรมที่มีดินอุดมสมบูรณ์สำหรับผลิตข้าวสาลี
ข้าวบาร์เลย์และถั่ว ชาวบ้านยังเลี้ยงแกะอีกด้วย
ผลผลิตทางเกษตรที่ล้นเหลือของเมืองชาทาล
ฮูยุคเลี้ยงดุประชากรที่ตั้งถิ่นฐานอยู่ที่นั่น
|
จิตรกรรมฝาผนังในเมืองชาทาล ฮูยุค ในประเทศตุรกี
ในภาพ คนกำลังล้อมวัวกระทิงแดง |
แม้ว่า เมืองชาทาล ฮูยุค มีประชากรเล็กน้อย
ก็ทิ้งหลักฐานไว้ว่าประชากรที่อาศัยอยู่มีชีวิตที่ซับซ้อน
รูปแบบของหมู่บ้านก็แสดงให้เห็นว่าผู้คนอาศัยอยู่ในกลุ่มของอาคารถาวร
อาคารบ้านเรือนประมาณ 1,000 แห่งมีการวางแผนพื้นอาคารคล้ายกันให้เป็นที่อยู่อาศัยของคนในหมู่บ้าน
นักโบราณคดีเชื่อว่า ผู้คนในเมืองชาทาล ฮูยุค ฝังศพภายใต้พื้นอาคารของพวกเขา
นักโบราณคดียังพบภาพจิตรกรรมฝาผนังทาสีสดใสบนผนังของบ้านหลายหลัง
ภาพจิตรกรรมฝาผนังมักจะแสดงสัตว์ป่าและฉากการล่าสัตว์
ดูเหมือนว่าจะเกี่ยวข้องกับการฝังศพ การแสดงว่าภาพวาดนั้นมีความสำคัญทางศาสนา
ชาวชาทาล ฮูยุค ได้พัฒนาทักษะพิเศษ เช่น การทำเครื่องมือและสินค้าฟุ่มเฟือย
พวกเขาผลิตผ้า เรือไม้ และเครื่องปั้นดินเผาง่าย ๆ เมืองชาทาล ฮูยุค
กลายเป็นศูนย์กลางของการค้าขาย วัฒนธรรม และมีอิทธิพล
การดำเนินชีวิตในหมู่บ้านที่สลับซับซ้อน
เมืองชาทาล ฮูยุค
ตั้งอยู่บนฝั่งแม่น้ำในราบที่เหมาะแก่เพาะปลูกพืชพันธุ์ ในขณะที่เจริญรุ่ง
บ้านเรือนแข็งแรงสร้างจากอิฐโคลน บางที ประมาณ 7,000 ปี ก่อน ค.ศ. อาจจะประชากรอาศัยอยู่มากถึง 8,000 คน มีบ้านเรือนมากกว่าพันหลังคาเรือน มีกิจกรรมต่าง ๆ
ในชีวิตประจำวัน ดังนี้
A. การตกแต่งภายในบ้าน บ้านมีหน้าต่างและประตู
ภายในบ้าน ผู้คนร่วมกันกิจวัตรประจำวันของพวกเขา ประกอบด้วยการเตรียมอาหาร
เตาผิงและเตาอบดินสร้างขึ้นภายในและมีขอบรอบเตาเพื่อป้องกันไม่ให้ถ่านกระเด็น
B. อาคารทางศาสนา อาคารบางแห่งมีหัวและเขาวัว
สิ่งเหล่านี้เป็นสัญลักษณ์ทางศาสนาร่วมกันในหมู่บ้าน
อาคารอาจมีความสำคัญทางศาสนา
C. บ้านมีบันได บ้านเรือนมากกว่าหนึ่งพันหลังอยู่ติดกัน
ไม่มีถนนหรือตรอกซอกซอยแยกบ้านออกจากัน เพื่อความปลอดภัย
ผู้คนใช้บันไดเข้าไปในหมู่บ้าน
D. หลังคาบ้าน ผู้คนใช้หลังคาด้วยวัตถุประสงค์หลากหลาย
พวกเขาเดินข้ามหลังคา นอนหลับบนหลังคาเมื่อสภาพอากาศร้อน
และยังใช้หลังคาตากพืชผลอีกด้วย
|