อารยธรรมแอฟริกา
ภูมิศาสตร์และประชาชนของทวีปแอฟริกา
แอฟริกาเป็นทวีปที่ใหญ่ที่สุดอันดับสองของโลก มันมีขนาดใหญ่พอที่จะรวมลักษณะของดินเกือบทุกประเภท
ธรณีสัณฐานที่แตกต่างกันเหล่านี้ได้ก่อรูปร่างเป็นประวัติศาสตร์ของทวีปแอฟริกา
แผนที่แอฟริการดินแดนที่อุดมไปด้วยพืชพันธุ์ธัญญาหาร |
แผนที่ลำดับเหตุการณ์ในแอฟริกาและโลก |
ความหลากหลายทางภูมิประเทศของทวีปแอฟริกา
ในขณะที่สะฮารา ซึ่งเป็นทะเลทรายมีขนาดใหญ่มากในตอนเหนือของทวีแอฟริกา
เกิดเป็นทะเลทรายและแห้งแล้งมาเป็นเวลา 4,000 ปี ก่อนคริสต์ศักราช
ประชาชนจึงได้ย้ายลงไปทางใต้ ทุ่งหญ้า savannas
(suh•VAN•uhz – สะวันนา) หรือทุ่งหญ้าราบแบน
มีต้นไม้และป่าดงดิบเล็กน้อย ครอบคลุมทวีปแอฟริกา ทางตะวันตก ตอนกลาง และตอนใต้เป็นส่วนมาก
ทวีปแอฟริกาฝั่งตะวันออก เป็นต้นกำเนิดของแม่น้ำไนล์
นอกเหนือจากพื้นที่ที่เป็นภูเขาสูง
หน้ากากนี้ชนชาว Kuba ในแอฟริกาทำขึ้น ชนชาว Kuba คือ ผู้คนที่พูดภาษาแบนทู |
แอฟริกาฝั่งตะวันตก เขตพืชพันธุ์ต่าง ๆ สามเขต
ทำให้แอฟริกาฝั่งตะวันตกมองดูสวยงาม คือ ทะเลทราย ทุ่งหญ้าและป่าไม้ เขตพืชพันธุ์
คือ พื้นที่ที่มีพืชโดดเด่นหลายชนิด อันเนื่องมาจากดินและสภาพ ส่วนตอนเหนือของแอฟริกาตะวันตกเป็นส่วนหนึ่งของทะเลทรายสะฮารา
ตอนกลางของแอฟริกาตะวันตกเป็นพื้นที่ของทุ่งหญ้าสะวันนา ทุ่งหญ้าสะวันนาครอบคลุมพื้นที่มากกว่าร้อยละ
40 ของทวีปแอฟริกา ส่วนใหญ่เป็นที่ราบและครอบคลุมด้วยหญ้า และฤดูแล้งสลับกับฤดูฝน ป่าดงดิบทำให้พื้นที่ตอนใต้ของแอฟริกาฝั่งตะวันตกดูเขียวสด
แอฟริกาฝั่งตะวันออก บางส่วนของธรณีสัณฐานปลายสุดของแอฟริกา
พบในแอฟริกาตะวันออก แม่น้ำไนล์แม่น้ำที่ยาวที่สุดในโลก เริ่มขึ้นที่นี่ ภูมิภาคถูกสร้างขึ้นมาจากภูมิประเทศที่เป็นภูเขารวมทั้ง
ภูเขาคิลิมันจาโร (Kilimanjaro) ซึ่งยอดเขาสูงสุดในทวีปแอฟริกา สูงถึง
19,341 ฟุต เป็นเหมือนเขาของทวีปแอฟริกา
ที่ยื่นไปสู่มหาสมุทรอินเดีย
แอฟริกาตอนกลางและแอฟริกาตอนใต้ ทวีปแอฟริกาตอนกลางและตอนใต้
เป็นภูมิภาคที่กว้างใหญ่ เพราะภูมิภาคเหล่านี้มีขนาดใหญ่มาก จึงมีความหลากหลายของลักษณะทางภูมิศาสตร์เป็นอันมาก
ป่าดงดิบเขตร้อนขนาดใหญ่ ครอบคลุมแอฟริกาตอนกลางเป็นส่วนมาก ป่าดังกล่าวเป็นที่อยู่ของนกที่มีสีสันหลายพันสายพันธุ์ ในแอฟริกาตอนใต้ ทุ่งหญ้าอันกว้างใหญ่จะมีอยู่มาก
ช้าง ยีราฟ สิงโต ม้าลายและสัตว์อื่น ๆ อีกมากมาย อาศัยอยู่ในทุ่งหญ้า
ภูมิศาสตร์มนุษย์ของภูมิภาคนี้ยังมีความหลากหลาย
บริเวณเป็นที่อยู่อาศัยสำหรับกลุ่มชาติพันธุ์หลายร้อยชาติพันธุ์ อย่างไรก็ตาม
ผู้คนที่แตกต่างกันเหล่านี้เป็นอันมากมาจากกลุ่มเดียวกันที่เรียกว่า
พวกที่พูดภาษาแบนทู (Bantu)
แผนที่แสดงภูมิภาคแอฟริกา |
การโยกย้ายของชาวแบนทู ผู้คนที่พูดภาษาแบนทูเป็นชาวแอฟริกาตะวันตกที่พูดภาษาที่คล้ายกันตามภาษาพ่อแม่ในขณะนี้เรียกว่า
แบนทู มีภาษาแบนทูมากกว่า 450 ภาษา ผู้คนที่พูดภาษาแบนทู
ไม่ใช่กลุ่มเดียว แต่มีหลายกลุ่มที่มีวัฒนธรรมที่คล้ายกัน พวกเขาเป็นเกษตรกร คนเลี้ยงปศุสัตว์
และช่างเหล็ก การแพร่กระจายของเหล่าคนที่พูดภาษาแบนทูข้ามทวีปแอฟริกาเป็นการโยกย้ายครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ครั้งหนึ่ง
สาเหตุที่ทำให้เป็นทะเลทราย |
การโยกย้ายเริ่มขึ้น เริ่มต้นประมาณ 1,000 ปี ก่อนคริสต์ศักราช ชาติพันธุ์ที่พูดภาษาแบนทูต่าง ๆ เริ่มย้ายออกจากดินแดนของพวกเขา
ใกล้แม่น้ำเบนเวและแม่น้ำไนเจอร์ (Benue and Niger) ในแอฟริกาตะวันตก พวกเขาอพยพไปทางใต้และทางตะวันออก ขณะที่พวกเขาย้าย ผู้คนที่พูดภาษาแบนทู
ก็พัฒนาดินแดนแห่งใหม่เพื่อทำการเกษตรและเลี้ยงสัตว์ การเคลื่อนย้ายครั้งนี้ ซึ่งเรียกว่าการโยกย้ายของชาวแบนทู
ค่อย ๆ เกิดขึ้นมากกว่าพันปี
ในที่สุด ชาวแบนทูบางพวก ก็ตั้งรกรากอยู่ในป่าดงดิบตามแม่น้ำคองโก
บางพวกก็อาศัยอยู่ในหมู่บ้านเล็ก ๆ และทำไร่ไถนาตามริมฝั่งแม่น้ำ ต่อมา กลุ่มชาวแบนทู
ก็ย้ายลงใต้ไกลออกไปในป่าถึงทุ่งหญ้าทางตอนใต้ของทวีปแอฟริกา ที่นั่นพวกเขา เริ่มเลี้ยงวัวและปลูกพืชพันธุ์
แผนที่อพยพของชาวแบนทู 1,000 ปี ก่อน ค.ศ. - 1,100 |
การดำรงชีวิตในทวีปแอฟริกา
ภาษาและประเพณีที่แตกต่างกันจำนวนมาก พบในแอฟริกา แม้กระนั้น วัฒนธรรมแอฟริกาจำนวนมากยังมีลักษณะร่วมกันบางอย่าง
วัฒนธรรมเหล่านี้มีรากฐานอยู่ในอารยธรรมโบราณที่พัฒนาขึ้นในทวีปแอฟริกา
ความสำคัญของครอบครัว ความสัมพันธ์ในครอบครัวเป็นเรื่องที่สำคัญในทวีปแอฟริกา การเชื่อมต่อระหว่างผู้คนโดยสายเลือด การแต่งงานหรือการรับเลี้ยงเป็นบุตรบุญธรรม จะเรียกว่าเป็นญาติ กลุ่มเครือญาติจัดตั้งการปกครองของสังคมแอฟริกาเป็นอันมาก ในกลุ่มคนเหล่านี้ การตัดสินใจมักจะดำเนินการโดยสภาของสมาชิกผู้อาวุโส สมาชิกของกลุ่มเครือญาติรู้สึกว่ามีความจงรักภักดีต่อกันและกัน กลุ่มเครือญาติที่มีบรรพบุรุษร่วมกัน เกิดขึ้นเป็นกลุ่มขนาดใหญ่ ที่เรียกว่า วงศ์ตระกูล วงศ์ตระกูลมักจะปฏิบัติตามกฎเดียวกัน ตัวอย่างเช่น ในตระกูลบางตระกูลไม่อนุญาตให้แต่งงานด้วยกัน
การทำงานและวัฒนธรรม ในหมู่บ้านแอฟริกาหลายหมู่บ้าน วิถีชีวิต มุ่งความสนใจไปในการทำการเกษตร ผู้หญิงเตรียมอาหาร ดูแลเด็ก ทำเครื่องปั้นดินเผา ทำงานอยู่ในทุ่งนาและนำน้ำไปยังหมู่บ้าน ผู้ชายเลี้ยงสัตว์ฝูงใหญ่ เช่นวัวหรืออูฐ ถางที่ดินสำหรับทำการเกษตรและสร้างบ้านและรั้ว เด็ก ๆ มักจะขนฟืนมารวมกัน ช่วยพ่ออย่างพร้อมเพรียงกันและช่วยแม่ทำความสะอาดบ้าน
บางคนมุ่งเน้นไปที่ลักษณะของงานโดยเฉพาะ ที่เป็นกระบวนการที่เรียกว่า ความเชี่ยวชาญ
ตัวอย่างเช่น ช่างฝีมือถักทอสิ่งทอ คนอื่น ๆ ทำงานกับโลหะ
พวกเขาสร้างเครื่องมือทางการเกษตรที่แข็งแกร่ง ซึ่งจะช่วยประชากรเติบโตและประสบความสำเร็จ
สุดท้าย บางคนซื้อขายสินค้ากับกลุ่มอื่น ๆ
วัฒนธรรมการท่องจำ ส่วนมากของทวีปแอฟริกาไม่มีภาษาเขียนมานานหลายศตวรรษ
เป็นผลให้ชาวแอฟริกันยุคแรกไม่ได้บันทึกประวัติศาสตร์เป็นลายลักษณ์อักษร แทน พวกเขาสืบทอดประวัติศาสตร์และคุณค่าทางวัฒนธรรมของพวกเขา
โดยการเก็บรวบรวมเรื่องราวที่หลากหลาย ในแอฟริกาตะวันตก ผู้เล่าเรื่องราว ถูกเรียก
griots (gree•OHZ) griots เล่าเรื่องราวแก่พระมหากษัตริย์และชาวบ้านทั่วไป
griots มีความสำคัญในการถ่ายทอดประวัติศาสตร์ของแอฟริกา
griots มักจะถูกจัดเป็นส่วนหนึ่งของพิธีกรรมทางศาสนาที่คนอ้อนวอนบรรพบุรุษเพื่อให้โปรดปรานและคุ้มครอง
ในศาสนาแบบดั้งเดิมของแอฟริกา ผู้คนเชื่อว่าบรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้วของพวกเฝ้าดูแลพวกเขาและช่วยให้พวกเขาสามารถสื่อสารกับผู้สร้างจักรวาล
พวกเขายังเชื่อในลัทธิที่เชื่อเรื่องจิตวิญญาณ ซึ่งเป็นความคิดที่ว่ามีจิตวิญญาณอยู่ในสิ่งต่างๆ
ในธรรมชาติ เช่น สัตว์ พืชหรือก้อนหิน
จักรวรรดิแอฟริกันตะวันตก
การเจริญเติบโตของจักรวรรดิกานา
หลายคนทำการเกษตรยังภูมิภาคระหว่างซาฮาราและป่าทางตอนใต้ของแอฟริกาตะวันตก
คนเหล่านี้เรียกกษัตริย์ของพวกเขาว่า กานา (Ghana) ในที่สุดอาณาจักรซึ่งต่อมาเป็นที่รู้จักกันว่า
กานา (GAH•nuh) ก็มีบทบาทสำคัญในการค้าทองและเกลือ
การค้าขายข้ามทะเลทรายสะฮารา เขตพืชพันธุ์แต่ละเขตในแอฟริกาตะวันตกมีทรัพยากรหลายชนิดอย่างสมบูรณ์ สะฮารามีดินที่ทับถมกันอุดมสมบูรณ์ไปด้วยเกลือ พืชพันธุ์มากมาย เช่น ข้าวฟ่าง เจริญเติบโตได้ดีในทุ่งหญ้าสะวันนาและที่ดินยังเหมาะสำหรับการเลี้ยงวัว ป่าทางตอนใต้มีทองคำจำนวนมากมายมหาศาล
ผู้คนที่อยู่ในทุ่งหญ้าสะวันนาและป่าทางแอฟริกาตะวันตกมีทองคำ
แต่มีเกลือน้อยมาก คนที่อยู่ในแอฟริกาเหนือมีเกลือ แต่พวกเขาต้องการทองคำ
เป็นผลให้การค้าขายทองคำและเกลือข้ามทะเลทรายซาฮาราได้รับการพัฒนา
คนในทะเลทรายซาฮาราที่ขุดเกลือและค้าขายเกลือเป็นข้อแลกเปลี่ยนสำหรับการทำเหมืองแร่ทองคำในป่าแอฟริกาตะวันตก
อาหารและบุคคลที่เป็นทางก็ยังมีการซื้อขายกันอยู่
การค้าขายระหว่างทะเลทรายสะฮารา
ทุ่งหญ้าสะวันนาและป่า ผู้คนต้องมีการเคลื่อนย้ายสินค้าข้ามทะเลทราย การค้าขายกลายเป็นสิ่งที่ง่ายขึ้นเมื่อมีการใช้อูฐ
เริ่มประมาณคริสต์ศักราช 300 อูฐสามารถเดินทางได้ระยะไกลมากด้วยการกินอาหารหรือดื่มน้ำเพียงเล็กน้อย
ทะเลทรายสะฮาราครอบคลุมเนื้อที่แอฟริกาตอนเหนือ ประมาณ 3.5 ล้านตารางไมล์ เป็นทะเลทรายขนาดใหญ่ที่สร้างการค้าขายต่าง ๆ มาเป็นเวลานานหลายปี |
การเปลี่ยนแปลงทางด้านศาสนาและวัฒนธรรม ประชาชนส่วนใหญ่ที่ซื้อขายเกลือและสินค้าอื่น
ๆ ทั่วทะเลทรายซาฮารา มาจากกลุ่มที่เรียกว่าเบอร์เบอร์ (Berbers)
พวกเขามาจากแอฟริกาเหนือ นับถือศาสนาอิสลามและมักจะพูดภาษาอาหรับ
พ่อค้าชาวเบอร์เบอร์ได้นำภาษาเขียน(ภาษาอาหรับ) และศาสนาอิสลามไปสู่แอฟริกาตะวันตกซึ่งมีอิทธิพลต่อจักรวรรดิ
กษัตริย์ของกานาบางพระองค์ เปลี่ยนไปนับถือศาสนาอิสลาม
แต่ยังคงปฏิบัติตามแง่มุมของศาสนาดั้งเดิมของพวกเขา ตัวอย่างเช่น ในศาสนาแบบดั้งเดิมของกานา บรรพบุรุษของกษัตริย์ให้สิทธิการปกครองแก่เขา
ถ้ากษัตริย์ปฏิเสธศาสนาแบบดั้งเดิม เขาจะต้องสูญเสียสิทธินี้
อย่างไรก็ตาม อิทธิพลของศาสนาอิสลาม
ไม่สามารถหยุดการเสื่อมสลายของกานาได้ กลุ่มมุสลิมที่เรียกว่า Almoravids
(AL•muh•RAHV•ihdz – อัลโมราวิด) ขึ้นครองอำนาจในแอฟริกาเหนือในช่วงคริสต์ศตวรรษที่
10 พวกเขาประกาศสงครามกับกานา ในคริสต์ศักราช 1076 ชาว Almoravids
ได้ยึดเมืองหลวงของกานา คือ Koumbi Saleh
ในประมาณคริสต์ศักราช 1240 จักรวรรดิมาลีเกิดขึ้นในพื้นที่ตอนใต้ที่เคยเป็นจักรวรรดิกานา
ก่อตั้งโดยชาว Malinke
(muh•LIHNG•kee – มันดิงคี) ชาว Malinke นำโดยหัวหน้าผู้ยิ่งใหญ่ ชื่อ Sundiata (Sun•JAH•tah)
Sundiata ขึ้นครองอำนาจ Sundiata ได้จัดกองทัพที่ทรงพลังอำนาจและยึดเมืองหลวงเดิมของกานา เขาขยายอาณาจักรเกินขอบเขตเก่าของกานา สถาปนาการค้าขายทองคำและเกลือขึ้นมาใหม่ ขยายเส้นทางการค้าขาย Sundiata ได้พัฒนาเมืองทิมบุคตู (Timbuktu) เป็นศูนย์กลางการค้าขายและวัฒนธรรม นอกจากนี้เขายังสนับสนุนการพัฒนาพืชพันธุ์ธัญญาหาร ไร่ฝ้ายและการทอผ้าฝ้าย เขาผสมผสานความเชื่อทางศาสนาอิสลามกับความเชื่อทางศาสนาดั้งเดิมมากที่สุดเท่าที่กษัตริย์แห่งกานาเคยทำ Sundiata เป็นผู้ปกครองที่ขึ้นหน้าขึ้นตา
Mansa Musa ขยายจักรวรรดิ หลังจากที่ Sundiata เสียชีวิต นักปกครองของมาลียังคงเดินหน้าขยายจักรวรรดิต่อไป ในคริสต์ศักราช 1312 กษัตริย์ที่มีชื่อเสียงที่สุดของมาลี ชื่อ Mansa Musa ขึ้นครองอำนาจ Mansa Musa เป็นมุสลิมที่จงรักภักดี แต่พระองค์ก็อนุญาตให้อาณาประชาราษฎร์ปฏิบัติศาสนาอื่น ๆ
มันซา มูซา (Mansa Musa) |
ในคริสต์ศักราช 1324 Mansa Musa เริ่มแสวงบุญไปยังนครเมกกะ
ในการไปแสวงบุญของพระองค์ Mansa Musa ได้นำทาส 12,000 คน อูฐ
80 ตัว และทองคำ 300 ปอนด์มาด้วย Mansa
Musa ขี่หลังม้า พร้อมกับทาส 500 คน ในชุดผ้าไหมนำหน้าพระองค์
การเดินทางแสวงบุญของ Mansa
Musa ทำให้ผู้ที่เห็นคาราวานประทับใจมาก พ่อค้าต้องการเดินทางไปยังจักรวรรดิมาลีและขยายการค้าขาย
Mansa Musa ยังคงขยายพรมแดนของจักรวรรดิจนกระทั่งพระองค์สิ้นชีวิตประมาณคริสต์ศักราช
1332
จักรวรรดิมาลีเสื่อมสลาย หลังจาก Mansa Musa สิ้นชีวิต ลูกหลานของพระองค์ได้โต้เถียงกันเกี่ยวกับผู้ที่จะปกครองมาลี ภายใน การต่อสู้ภายในทำให้จักรวรรดิอ่อนแอ ภูมิภาคที่พิชิตได้มาใหม่ ๆ เริ่มก่อการกบฏ Songhai (ซองไฮ) คือ ผู้คนที่อยู่ทางแอฟริกาตะวันตกจนถึงตะวันออกของมาลี ค่อย ๆ มีความแข็งแกร่งขึ้น เมืองหลักของ Songhai ในภูมิภาค คือ Gao ถูกมาลียึดได้ในคริสต์ศักราช 1325 ประมาณ 40 ปีต่อมา Songhai นำเมืองเป็นอิสรภาพ
ทางตอนเหนือ ชาวเบอร์เบอร์ร่อนเร่ได้ยึดดินแดนของมาลีและยึดเมือง
Timbuktu ในคริสต์ศักราช 1433 ทางตอนใต้ โจรเริ่มโจมตีคาราวานการค้าขายและกองทหารด่านหน้า
ประมาณคริสต์ศักราช 1500
กบฏและผู้บุกรุกได้ลดดินแดนของมาลีไปยังพื้นที่เดิมที่ชาวมาลิงคีเข้ายึดครอง มาลีไม่ได้เป็นจักรวรรดิที่แข็งแกร่งอีกต่อไป
จักรวรรดิซองไฮ
(Songhai)
เมืองซองไฮของ Gao ประกาศเอกราชจากมาลี
ประมาณคริสต์ศักราช 1365 หลายทศวรรษถัดมา ซองไฮพยายามที่จะสร้างอาณาจักรแต่ไม่ประสบผลสำเร็จ
ซองไฮขยายอาณาจักร นับตั้งแต่คริสต์ศักราช 1433 ชาวเบอร์เบอร์ได้ควบคุมเมืองทิมบุคตู ในคริสต์ศักราช 1468 ผู้นำมุสลิมได้ขอร้องให้กษัตริย์ซองไฮ คือ ซุนนี อาลี (Sunni Ali) ช่วยโค่นล้มชาวเบอร์เบอร์ ซุนนี อาลีได้ยึดเมืองทิมบุคตู ขับไล่ชาวเบอร์เบอร์และฆ่าคนจำนวนมากที่อาศัยอยู่ในเมือง ในไม่ช้าซุนนี อาลีก็ได้สร้างชื่อเสียงในฐานะเป็นผู้นำที่ห้าวหาญ เกรียงไกร เขาสร้างกองทัพมืออาชีพที่มีกองเรือแคนูสงครามขึ้น เขาเดินทางไปพิชิตดินแดนที่อยู่ใกล้เคียง
จักรวรรดิซองไฮขยายตัวมหาศาลภายใต้การปกครองของอาลี
เมื่อเขาเสียชีวิตในปีคริสต์ศักราช 1492 ลูกชายของเขาก็ประกาศตัวเป็นผู้ปกครอง
อย่างไรก็ตาม ผู้นำที่ชื่ออัสเกีย มูฮัมหมัด (Askia Muhammad) ต้องการยึดบัลลังก์ เขาและพรรคพวกรู้สึกว่าซุนนี อาลีไม่ได้ปฏิบัติตามศาสนาอิสลามอย่างถูกต้อง ในคริสต์ศักราช 1493 อัสเกีย มูฮัมหมัดอาลีพิชิตลูกชายของซุนนี อาลี
และกลายเป็นผู้ปกครองจักรวรรดิซองไฮ อัสเกีย
มูฮัมหมัดจึงควบคุมบ่อเกลือไปถึงทิศเหนือและขยายพรมแดนอื่น ๆ ของอาณาจักร
หลังจากนั้นไม่นาน จักรวรรดิซองไฮก็ครอบคลุมพื้นที่ขนาดใหญ่กว่าอาณาจักรมาลี
-----------------------------------------
ผู้สร้างประวัติศาสตร์
อัสเกีย มูฮัมหมัด (มีชีวิตอยู่ระหว่ง
ค.ศ. 1441 – 1538)
ภายใต้การปกครองของอัสเกีย มูฮัมหมัด
จักรวรรดิซองไฮ กลายเป็นจักรวรรดิที่มีการบริหารทรงประสิทธิภาพและเป็นศูนย์กลางของการค้าและการเรียนรู้
ซึ่งแตกต่างจากซุนนี อาลีที่เป็นนักรบ อัสเกีย มูฮัมหมัดเป็นรัฐบุรุษ เขาจัดระเบียบและผนวกเอาดินแดนที่ซุนนี อาลีเอาชนะได้เข้าไว้ด้วย
แต่ประมาณคริสต์ศํกราช 1519 อัสเกีย มูฮัมหมัดเป็นคนแก่ตาบอดข้างหนึ่ง
อัสเกียร์ มูฮัมหมัด |
ในคริสต์ศักราช 1528 ลูกชายของอัสเกีย
มูฮัมหมัดโค่นเขาจากบัลลังก์ เนรเทศไปยังเกาะในแม่น้ำไนเจอร์และประกาศตัวเองเป็นกษัตริย์
ในคริสต์ศักราช 1537 ลูกชายคนหนึ่งของเขาได้นำอัสเกียมูฮัมหมัดกลับไปยังเมือง
Gao และเขาก็เสียชีวิตในปีถัดมา หลุมฝังศพของเขายังคงเป็นหนึ่งในศาลเจ้าที่ประชาชนเคารพนับถือมากที่สุดในแอฟริกาตะวันตก
-----------------------------------------
องค์กรของอัสเกีย ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของอัสเกีย
มูฮัมหมัด คือ การจัดการบริหารจักรวรรดิอันกว้างใหญ่นี้ เขาเริ่มต้นด้วยการแบ่งจักรวรรดิซองไฮออกเป็นจังหวัด
จากนั้นเขาก็วางผู้ว่าราชการจังหวัดให้ดูแลแต่ละจังหวัด อัสเกีย มูฮัมหมัดยังได้แต่งตั้งประชาชนเป็นผู้ว่าการการคลัง
การเกษตร กองทัพและทหารเรือ นอกจากนี้เขายังจัดตั้งระบบภาษีที่เป็นระเบียบ
ภายใต้การปกครองของอัสเกีย มูฮัมหมัด
ศาสนาอิสลามแผ่กระจายไปทั่วจักรวรรดิ
เขาส่งนักวิชาการมุสลิมไปสู่พื้นที่ต่าง ๆ เพื่อให้คนจำนวนน้อยได้สัมผัสกับศาสนาอิสลาม
นักวิชาการเหล่านี้เปลี่ยนแปลงคนในเมืองเป็นอันมากให้มานับถือศาสนาอิสลาม
แต่ในพื้นที่ชนบทความเชื่อศาสนาอิสลามยังคงผสมผสานกับการปฏิบัติทางศาสนาแบบดั้งเดิม
ตัวอย่างเช่น แอฟริกันตะวันตกเชื่อมั่นในวิญญาณลึกลับซุกซนที่ชอบเล่นหลอกหลอนผู้คน
ความเชื่อนี้ผสมกับความเชื่อของชาวมุสลิมใน Djinn หรือ genies (สัตว์ลึกลับ เช่น ยักษ์) เช่น ที่ปรากฏในตะเกียงของอลาดิน
ในนิยายเรื่อง พันหนึ่งราตรี
จักรวรรดิซองไฮล่มสลาย ลูกชายของอัสเกีย มูฮัมหมัด โค่นล้มพ่อจากราชบัลลังก์ เหล่าผู้ปกครองจักรวรรดิซองไฮที่ปกครองภายหลังอัสเกียก็อ่อนแอ ในระหว่างคริสต์ทศวรรษ 1580 กองทัพโมร็อกโก ก็บุกเข้าไปในบ่อกลือของจักรวรรดิซองไฮ จากนั้นในคริสต์ศักราช 1591 กองกำลังโมร็อกโกใช้อาวุธปืน ยึดเมือง Timbuktu และ Gao แม้ว่า จักรวรรดิซองไฮ จะพยายามต่อสู้ จักรวรรดิก็ทรุดตัวลงในไม่ช้าหลังจากที่เมืองถูกยึด
อารยธรรมการค้าขายของทวีปแอฟริกา
การเกิดขึ้นของอาณาจักรอักซุม
อาณาจักรอักซุม (Aksum - AHK•SOOM) เกิดขึ้นในมุมแหลม
(เหมือนรูปเขา ช่วงประเทศเอธิโอเปียในปัจจุบัน) ของแอฟริกา พื้นที่มีรูปร่างเหมือนนอแรดตามฝุ่งทะเลแดง
อาณาจักรอักซุม ตั้งอยู่ในประเทศเอธิโอเปียและประเทศเอริเทรีย
(Eritrea) ในปัจจุบัน (ดูแผนที่)
มงกุฎในยุคแรกแห่งอาณาจักรอักซุม |
เอธิโอเปียในปัจจุบัน ภาพเน้นตรงแผนที่ด้านบน เคยเป็นที่ตั้งของอาณาจักรอักซุมโบราณ |
ความสำเร็จของอาณาจักรอักซุม วัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์เฟื่องฟูขึ้นในอาณาจักรอักซุม ผสมกับอิทธิพลจากพื้นที่นอแรดของแอฟริกาและภาคใต้ของอารเบีย เสาหินของอาณาจักรอักซุม ที่สร้างล้อมรอบประเทศ คือความสำเร็จที่น่าประทับใจที่สุด เสาหินเหล่านั้นแกะสลักจากแผ่นหินแผ่นเดียว บางเสาสูงมากกว่า 100 ฟุต และฉลองชัยชนะที่ยิ่งใหญ่
อาณาจักรอักซุมมีภาษาเขียน ที่เรียกว่า
Ge'ez (gee•EHZ) ผู้อพยพชาวอาหรับ ได้นำภาษานั้นมาสู่อาณาจักอักซุม ภาษา Ge'ez กลายเป็นพื้นฐานของภาษาสามภาษาที่ใช้ในเอธิโอเปียและเอริเทรียในทุกวันนี้
คือ ภาษาอัมฮารา (Amharic) ทิกรินยา (Tigrinya) และติเกร (Tigre)
แผนที่อาณาจักรอักซุม ค.ศ. 300 - 700 |
แอฟริกาตะวันออกและศาสนาอิสลาม
ประมาณคริสต์ศักราช 1100 ชาวแบนทูจำนวนมากได้อพยพข้ามแอฟริกากลางไปทางชายฝั่งตะวันออก
ในแอฟริกาตะวันออก ชาวแบนทูได้สร้างหมู่บ้านเกษตรกรที่เจริญรุ่งเรืองและด่านหน้าสำหรับการค้าขาย
การปรากฏนครรัฐชายฝั่งทะเล พ่อค้าชาวแอฟริกาตะวันออก ได้แลกเปลี่ยนสินค้าข้ามมหาสมุทรอินเดียกับพ่อค้าจากอาระเบีย เปอร์เซียและอินเดีย ประมาณคริสต์ศตวรรษที่ 12 เครือข่ายของเมืองทางการค้าขายและนครรัฐก็กระจายทั่วชายฝั่ง ที่สำคัญมากที่สุดแห่งหนึ่งคือ Kilwa ก่อตั้งโดยผู้ตั้งถิ่นฐานจากอาระเบียและเปอร์เซียในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 9 พ่อค้าชาวแอฟริกัน ได้ส่งสินค้าของพวกเขาไปยัง Kilwa พ่อค้าชาวเอเชียก็ซื้อหาที่นั่น
อิทธิพลของศาสนาอิสลาม Kilwa เป็นหนึ่งในหลายนครรัฐของแอฟริกา ที่มีความสัมพันธ์กับอาหรับ ในขณะที่การค้าขายข้ามมหาสมุทรอินเดียเพิ่มขึ้น พ่อค้าชาวอาหรับก็ตั้งรกรากอยู่เมืองท่าของแอฟริกาตะวันออกเป็นจำนวนมาก เป็นผลให้ชายฝั่งทะเลแอฟริกา ได้หยิบยืมเอาลักษณะบางแง่มุมของวัฒนธรรมอาหรับ
เหตุผลหนึ่งของการปฏิสัมพันธ์ทางวัฒนธรรมระหว่างชาวอาหรับและชาวแอฟริกัน
คือการสร้างสรรค์ภาษาใหม่ที่รู้จักกันว่า ภาษาสวาฮีลี (Swahili
- swah•HEE•lee) ภาษาสวาฮีลีพัฒนาเป็นภาษาแบนทูที่ยืมคำหลายคำมาจากภาษาอาหรับ
ชาวอาหรับยังนำศาสนาอิสลามไปยังแอฟริกาตะวันออก ชาวแอฟริกันที่หันมานับถือศาสนาอิสลามมักจะเป็นพ่อค้าที่เป็นชนชั้นกลาง
พ่อค้าผู้มั่งคั่งและเจ้าหน้าที่ของรัฐ ผู้นำเหล่านี้ได้นำความคิดทางศาสนาอิสลามด้านการบริหารและกฎหมายมาใช้
นอกจากนี้บริเวณในประเทศจากเมืองชายฝั่งทะเล กลุ่มชาวแบนทูได้สร้างจักรวรรดิที่มีประสิทธิภาพขึ้นอยู่กับทรัพยากรที่มีค่าและมีประโยชน์มากที่สุดของภูมิภาคแห่งหนึ่ง
คือ ทอง ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 8 ชาวแบนทู
ที่เรียกว่า โชนา ได้ตั้งรกรากอยู่ในลุ่มแม่น้ำลิมโปโป (Limpopo)
ในแอฟริกาตอนใต้
ประมาณคริสต์ศักราช 1000 พวกเขาได้ย้ายไปยังพื้นที่การเกษตรที่อุดมสมบูรณ์ระหว่างแม่น้ำแซมเบซี
(Zambezi) และลิมโปโป ที่นั่น ชาวโชนา ได้จัดตั้งอาณาจักรที่เจริญรุ่งเรือง
อาณาจักรโชนา อาณาจักรซึ่งชาวโชนาพยายามทำทุ่งหญ้าทางใต้ของแอฟริกาประกอบด้วยบ้านหิน (zihmbabwes - zihm •BAH•bways) มากมาย หรือการตั้งถิ่นฐานล้อมรอบไปด้วยกำแพงหินขนาดใหญ่ คำว่า “ซิมบับเว” มาจากวลีภาษาโชนาว่า dzimba Dza mabwe ซึ่งหมายถึง "บ้านหิน" ซากปรักหักพังโครงสร้างดังกล่าวประมาณ 150 ชิ้น กระจายอยู่ทั่วประเทศในแอฟริกาตอนใต้ในปัจจุบัน คือ บอตสวานา โมซัมบิก และซิมบับเว
อาณาจักรซิมบับเวอันยิ่งใหญ่ (Great Zimbabwe) การตั้งถิ่นฐานของชาวโชนาที่ใหญ่ที่สุดเป็นที่รู้จักกันว่า อาณาจักรซิมบับเวอันยิ่งใหญ่ (Great Zimbabwe) มันเป็นศูนย์กลางของอาณาจักรโชนา เมืองและพื้นที่โดยรอบครอบคลุมพื้นที่มากกว่า 100 เอเคอร์ และมีประชากร 10,000 ถึง 20,000 คน ภูมิศาสตร์มีบทบาทสำคัญในการเพิ่มขึ้นของเกรทซิมบับเว ภูมิภาคถูกล้อมรอบไปด้วยที่ราบขนาดใหญ่ซึ่งชาวโชนาใช้สำหรับการเพาะปลูกและเลี้ยงวัว เกรทซิมบับเวยังตั้งอยู่ใกล้กับเส้นทางการค้าที่สำคัญ
มีส่วนหลักของเกรทซิมบับเวสามส่วน
คือ ซากปรักหักพังของหุบเขา เนินอันสลับซับซ้อนและการล้อมรอบอันยิ่งใหญ่ การล้อมรอบที่ยิ่งใหญ่เป็นส่วนที่ใหญ่ที่สุดในบรรดาส่วนเหล่านี้
นักโบราณคดีคิดว่า การล้อมรอบที่ยิ่งใหญ่ (Great Enclosure) ถูกใช้เป็นบ้านสำหรับกษัตริย์และราชินี
มองจากทางอากาศ Great
Enclosure มองดูคล้ายสร้อยคอขนาดยักษ์ กำแพงด้านนอกโดยรอบประมาณ 820 ฟุต และสูงถึง 36 ฟุต กำแพงด้านในพาดไปตามส่วนของกำแพงด้านนอก
กำแพงทั้งสองด้านก่อเป็นทางเดินแคบ ๆ นำไปสู่หอคอยรูปทรงกรวย สูง 33 ฟุต วัตถุประสงค์ของหอคอยยังคงเป็นปริศนาอยู่ ครั้งหนึ่ง
การล้อมรอบประกอบด้วยอาคารที่ซับซ้อนสร้างขึ้นมาจาก daga คืออิฐที่ทำจากโคลนหรือดินเหนียว
ผู้สร้างอาณาจักรโชนา ได้ตัดแผ่นหินเป็นกำแพงของ
Great Enclosure จากภูเขาหินแกรนิตรอบเมือง
พวกเขาแกะสลักก้อนหินด้วยความแม่นยำจริง ๆ ซึ่งไม่มีอะไรมายึดไว้กับที่ กำแพงของ Great Enclosure มากมายราบเรียบพอ ๆ กับกำแพงอิฐสมัยใหม่ กำแพงที่ซับซ้อนมากที่สุดอาจจะอยู่ในยุคคริสต์ศตวรรษที่
13 และ 14
--------------------------------------------
Great Zimbabwe
ซากปรักหักพังของ Great Zimbabwe ที่ยังเหลืออยู่มากที่สุดนี้ เรียกว่า Great Enclosure เ้ส้นผ่าศูนย์กลางสูงสุดประมาณเท่ากับความยาวของสนามฟุตบอล และกำแพงสูงประมาณ 36 ฟุต
-----------------------------------------------
ทอง การค้าขาย และการล่มสลาย เกรทซิมบับเวกลายเป็นศูนย์กลางของความมั่งคั่งและอำนาจที่มีอิทธิพล เนื่องจากเส้นทางการค้าขายที่ผ่านเมือง ผลิตภัณฑ์สำคัญที่เดินทางมาตามส้นทางเหล่านี้คือทอง ทองเป็นหนึ่งในสินค้าหลักที่ซื้อขายระหว่างทวีปแอฟริกาและในดินแดนของอินเดียและจีน เกรทซิมบับเวไม่ได้ผลิตทอง อย่างไรก็ตาม เกรทซิบับเวตั้งอยู่ระหว่างภูมิภาคที่ผลิตทองไปทางตะวันตกและเมืองการค้าตามแนวชายฝั่งทะเลตะวันออก
Great Zimbabwe
ซากปรักหักพังของ Great Zimbabwe ที่ยังเหลืออยู่มากที่สุดนี้ เรียกว่า Great Enclosure เ้ส้นผ่าศูนย์กลางสูงสุดประมาณเท่ากับความยาวของสนามฟุตบอล และกำแพงสูงประมาณ 36 ฟุต
-----------------------------------------------
ทอง การค้าขาย และการล่มสลาย เกรทซิมบับเวกลายเป็นศูนย์กลางของความมั่งคั่งและอำนาจที่มีอิทธิพล เนื่องจากเส้นทางการค้าขายที่ผ่านเมือง ผลิตภัณฑ์สำคัญที่เดินทางมาตามส้นทางเหล่านี้คือทอง ทองเป็นหนึ่งในสินค้าหลักที่ซื้อขายระหว่างทวีปแอฟริกาและในดินแดนของอินเดียและจีน เกรทซิมบับเวไม่ได้ผลิตทอง อย่างไรก็ตาม เกรทซิบับเวตั้งอยู่ระหว่างภูมิภาคที่ผลิตทองไปทางตะวันตกและเมืองการค้าตามแนวชายฝั่งทะเลตะวันออก
เป็นผลให้ผู้นำของเกรทซิมบับเวอาจเก็บภาษีผู้ที่เดินทางตามเส้นทาง
พวกเขายังสามารถเรียกร้องทองจากผู้นำที่มีประสิทธิภาพน้อยของภูมิภาค เมืองกลายเป็นศูนย์กลางของการค้าขายทองคำระหว่างประเทศ
เหล่านักปราชญ์ประเมินว่า ณ จุดสูงสุด เหล่านักเดินทางขนทองคำมากกว่า 2,000 ปอนด์ผ่านเกรทซิมบับเวทุกปี
ตัวอย่างทองชิ้นนี้ได้มาจากเหมืองแร่ในแอฟริกา |
ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 14 เกรทซิมบับเวเริ่มล่มสลาย
นักประวัติศาสตร์บางพวก กล่าวว่า ภัยแล้งและการใช้ทุ่งปศุสัตว์มากเกินไป จึงก่อให้เกิดการขาดแคลนทรัพยากร
พวกอื่น ๆ โต้แย้งว่า เกิดจากการที่ประชาชนปล่อยให้มีการยึดเอาประโยชน์จากเครือข่ายการค้าขายอย่างต่อเนื่อง
ไม่ว่าด้วยเหตุผลใดก็ตาม เกรทซิมบับเวก็ถูกทอดทิ้งประมาณคริสต์ศักราช
1500
คองโกและโปรตุเกส
กลุ่มคนที่พูดภาษาแบนทูจำนวนมากอพยพมาจากแอฟริกาตอนกลางเยื้องไปทางตะวันตกตลอดทางตอนใต้ของทวีป
ในคริสต์ศตวรรษที่ 13 ชาวแบนทู ซึ่งรู้จักกันว่า
ชาวคองโก ได้ตั้งรกรากอยู่ตามแนวชายฝั่งตะวันตก
การเจริญเติบโตของคองโก ชาวคองโกได้ตั้งรกรากอยู่ทางตอนเหนือของแม่น้ำคองโก ซึ่งไหลเกือบ 3,000 ไมล์ไปยังมหาสมุทรแอตแลนติก ชาวคองโกใช้ประโยชน์จากดินที่อุดมสมบูรณ์ เหล็กและแร่ทองแดง การตกปลาและการขนส่งผ่านแม่น้ำคองโก ประมาณคริสต์ศตวรรษที่ 14 ชาวคองโกได้ย้ายไปทางใต้ของแม่น้ำคองโกและปกครองคนที่อาศัยอยู่ในภูมิภาคนั้น ดินแดนที่พวกเขายึดครองในขณะนี้กลายเป็นอาณาจักรอันยิ่งใหญ่ที่รู้จักกันว่า คองโก ศูนย์กลางของอาณาจักรคองโกคือเมืองหลวง ชื่อ Mbanza จากที่นั่น นักปกครองชาวคองโกได้บริหารอาณาจักรอย่างเป็นระเบียบและเป็นผลดี
คองโกและโปรตุเกส ในขณะที่อาณาจักรคองโกเจริญรุ่งเรือง การเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ก็กำลังเกิดขึ้นทั่วโลก ในทวีปยุโรป คริสต์ศตวรรษที่ 14 เป็นจุดเริ่มต้นของยุคแห่งการสำรวจ ซึ่งเป็นยุคที่ชาวยุโรปเดินทางแล่นเรือในมหาสมุทรเพื่อการสำรวจดินแดนใหม่ ประเทศโปรตุเกส ซึ่งเป็นประเทศเล็ก ๆ ทางตะวันตกของสเปนในมหาสมุทรแอตแลนติก เป็นประเทศแรกที่เริ่มเดินทาง ในต้นทศวรรษที่ 1480 เหล่านักสำรวจชาวโปรตุเกสได้แล่นมาจอดที่ชายฝั่งตะวันตกของทวีปแอฟริกาและพบอาณาจักรคองโก ปฏิสัมพันธ์นี้จะนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงหลายอย่างและความยากลำบากมากมายสำหรับคองโก
ปฏิมากรรมไม้เป็นภาพผู้นำอาณาจักรคองโก |
อิทธิพลของโปรตุเกสเพิ่มขึ้นเมื่อ
Nzinga Mbemba เป็นผู้ปกครองของคองโกในคริสต์ศักราช 1506 กษัตริย์องค์ใหม่นี้ใช้ชื่อเป็นภาษายุโรปว่า Afonso ที่ 1 และลอกเลียนแบบวิธีการหลายอย่างของโปรตุเกส พระองค์ได้เรียนรู้การอ่านและเขียนภาษาโปรตุเกส
สถาปนาศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิกเป็นศาสนาทางราชการ นอกจากนี้ ยังได้เปลี่ยนแปลงระบบการเมืองของคองโกเพื่อสะท้อนให้เห็นถึงประเพณียุโรป
ในช่วงต้นของความสัมพันธ์ทางการค้า
คองโกได้เริ่มการจัดหาทาสชาวแอฟริกาให้แก่ชาวโปรตุเกส ชาวโปรตุเกสต้องการคนที่เป็นทาสไปทำงานในดินแดนที่พวกเขาพิชิตได้
เช่นบราซิลและเกาะเซาตูเม (São
Tomé) ไกลออกไปทางฝั่งตะวันตกของทวีปแอฟริกา ในการแลกเปลี่ยน ผู้ปกครองคองโกได้รับสินค้าจากยุโรปตามที่พวกเขาต้องการ
อย่างไรก็ตาม ในขณะที่ความต้องการใช้แรงงานทาสของโปรตุเกสเพิ่มขึ้น การค้าขายทาสเริ่มระบายประชากรของทวีปแอฟริกาตะวันตก
กษัตริย์ Afonso เรียกร้องให้กษัตริย์โปรตุเกสหยุดการกระทำเช่นนั้น
แต่การเรียกร้องของพระองค์ หยุดได้เพียงเล็กน้อย เมื่อกษัตริย์ Afonso เสียชีวิตในคริสต์ศักราช 1543 โปรตุเกสก็จับชาวแอฟริกันไปเป็นทาสปีละหลายพันคน
ในคริสต์ศักราช 1561 ราชอาณาจักรคองโกก็แยกตัวเองออกจากโปรตุเกส
อาณาจักรคองโกประสบความไม่มีเสถียรภาพหลังจากการเสียชีวิตของกษัตริย์
Afonso เมื่อไม่สามารถที่จะชนะสงครามกับอาณาจักรเพื่อนบ้าน
คองโกได้ขอร้องโปรตุเกสให้ช่วยเหลือ ราชอาณาจักรจึงมีเสถียรภาพอย่างช้า ๆ ในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่
16